Posted: 07 Oct 2018 06:33 AM PDT (อ้าาอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท www.prachatai.com)
Submitted on Sun, 2018-10-07 20:33
พิชญ์ชี้ เผด็จการอาจจะสร้างความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจให้ประเทศได้ แต่ไม่กระจายความมั่งคั่ง วรเจตน์ระบุ ชนชั้นนำในสังคมมีส่วนปูทางให้อำนาจเผด็จการอยู่ยาว และการปกครองที่ห้ามถามคือเชื้อมูลแห่งการทำลายสติปัญญามวลรวมของสังคม ภาณุย้ำ เมื่อผู้คนเริ่มเห็นว่าเสรีภาพเป็นสิ่งที่น่าอึดอัด นั่นคือการเปิดทางให้เขาหวนกลับมา
เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2561 ที่ร้านหนังสือบุ๊คโมบี้ ชั้น 4 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหาคร ได้มีการจัดงานเสวนาวิขาการ “จาไวมาร์ ถึงเผด็จการวิทยา: ประชาธิปไตยไขว้เผด็จการ” โดยมีวิทยากรประกอบด้วย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เขียนหนังสือ ‘เผด็จการวิทยา’, ศาสตราจารย์ วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ และภาณุ ตรัยเวช ผู้เขียนหนังสือ ‘ในสาธารณรัฐไวมาร์ ฮิตไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง’ ดำเนินรายการโดยเอกภัทร เชิดธรรมธร
ระบอบเผด็จการ เป็นเหมือนเชื้อโรคสามารถย้
รากเหง้าของเผด็
จุดหวนกลับสู่เผด็จการเกิดจากผู้
เผด็จการอาจจะไม่ได้ทำให้
เผด็จการคือเชื้อมูลแห่
[full-post]
พิชญ์ชี้ เผด็จการอาจจะสร้างความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจให้ประเทศได้ แต่ไม่กระจายความมั่งคั่ง วรเจตน์ระบุ ชนชั้นนำในสังคมมีส่วนปูทางให้อำนาจเผด็จการอยู่ยาว และการปกครองที่ห้ามถามคือเชื้อมูลแห่งการทำลายสติปัญญามวลรวมของสังคม ภาณุย้ำ เมื่อผู้คนเริ่มเห็นว่าเสรีภาพเป็นสิ่งที่น่าอึดอัด นั่นคือการเปิดทางให้เขาหวนกลับมา
เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2561 ที่ร้านหนังสือบุ๊คโมบี้ ชั้น 4 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหาคร ได้มีการจัดงานเสวนาวิขาการ “จาไวมาร์ ถึงเผด็จการวิทยา: ประชาธิปไตยไขว้เผด็จการ” โดยมีวิทยากรประกอบด้วย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เขียนหนังสือ ‘เผด็จการวิทยา’, ศาสตราจารย์ วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ และภาณุ ตรัยเวช ผู้เขียนหนังสือ ‘ในสาธารณรัฐไวมาร์ ฮิตไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง’ ดำเนินรายการโดยเอกภัทร เชิดธรรมธร
ระบอบเผด็จการ เป็นเหมือนเชื้อโรคสามารถย้ อนกลับมาเกิดขึ้นอีกได้เสมอ เมื่อภูมิคุ้มกันประชาธิ ปไตยตกต่ำ
พิชญ์ กล่าวตอนหนึ่งในงานเสวนาว่า ในยุคสมัยปัจจุบันคำว่า เผด็จการ ดูกลายเป็นคำต้องห้ามจนในหลายๆ ครั้งมีการหยิบคำว่า อำนาจนิยม มาใช้แทน แต่เมื่อพูดถึงสองคำนี้มีสิ่งที่ ต้องอธิบายเพิ่มสามอย่างด้วยกั นคือ ระบบการเมือง-ระบอบแบบไหนที่เป็ นเผด็จการ การใช้อำนาจ-อะไรคือการใช้ อำนาจเผด็จการ และวัฒธรรมหรือตัวตนของสั งคมเผด็จการ
เขาอธิบายต่อไปว่า ระบอบการเมืองอาจดูง่ายๆ ว่าในสังคมนั้นมีการเลือกตั้ งหรือไม่ ซึ่งการเลือกตั้งในความหมายนี้ ไม่ได้ได้หมายถึงการที่ ประชาชนออกไปใช้สิทธิเลือกผู้ แทนในคูหาเท่านั้น แต่ว่าต้องมีองค์ประกอบอีก 4 อย่างคือ Free(อิสระ) Fair(เป็นธรรม) Regular(สม่ำเสมอ) และ Meaningful(มีความหมาย) เพราะการเลือกตั้งไม่ได้ดูกั นเพียงแค่ความเป็นอิสระ กับความยุติธรรม แต่ต้องดูไปถึงความสม่ำเสมอ และต้องดูว่าการเลือกตั้งมี ความหมายหรือไม่ หากเป็นการเลือกตั้งที่มีลั กษณะของการเอาเปรียบ ก็จะทำให้การเลือกเป็นสิ่งที่ ไม่มีค่าสำหรับประชาชน
นอกเหนือไปจากการเลือกตั้งแล้ วสิ่งที่ต้องดูต่อไปคือในสั งคมนั้นมีระบบที่ตรวจสอบการใช้ อำนาจหรือไม่ เขากล่าวต่อว่าทุ กระบอบการปกครองต่างมีการใช้ อำนาจในการปกครอง ซึ่งก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของ อำนาจนิยม และไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไร แต่สิ่งที่ผิดแปลกคือ การนิยมใช้ อำนาจโดยปราศจากการตรวจสอบต่ างหาก
นอกจากนี้ พิชญ์ ยังระบุว่าเผด็จการมีลั กษณะในทางวัฒนธรรมด้วย กล่าวคือ ระบอบเผด็จการจะอยู่ได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับผู้คนในสังคม ฉะนั้นระบอบเผด็จการที่อยู่ได้ นานเป็นเพราะมีกระบวนการซึ่งเข้ าไปกำหนดตัวตนของประชาชนให้ สอดรับไปกับระบบ เช่น กำหนดให้มีการร้องเพลง การถ่องคำขวัญ หรือมีการสร้างวัฒนธรรมแบบหนึ่ งขึ้นมา เผด็จการมีหลากหลายรูปแบบ แต่เผด็จการที่พยายามจะกำหนดวิ ถีชีวิตของผู้คน หรือปรับเปลี่ยนธรรมชาติของผู้ คน เราเรียกกระทำของระบอบนั้นว่า เผด็จการเบ็ดเสร็จ
“เผด็จการธรรมดา อาจจะแค่สั่งให้เราไม่ยุ่งกับการเมือง การเมืองเป็นเรื่องของคนกลุ่ มหนึ่งที่มีความชำนาญเฉพาะ หรือบอกเราว่าอย่าเพิ่งเลือกตั้ งยังไม่พร้อม แต่ถ้าเป็นเผด็จการเบ็ดเสร็จมั นเปลี่ยนธรรมชาติของเราไปด้วย มันทำให้ตัวเราต้องออกมาร้ องเพลง ออกมายืน ออกมาเต้นตามเวลา เพราะเขาต้องการให้เราเปลี่ยนตั วเองให้ฟิกกับระบอบของเขา” พิชญ์ กล่าว
เขา กล่าวด้วยว่า แม้ว่าโลกในปัจจุบันนี้จะชูอุ ดมการณ์ประชาธิปไตย แต่ระบอบเผด็จการก็สามารถย้ อนกลับมาได้เสมอถ้าระบบภูมิคุ้ มกันของระบอบประธิปไตยบกพร่อง หากเราเป็นระบอบประชาธิปไตยที่ ไม่มีการตรวจสอบ เป็นระบอบที่อ้างแต่เสียงข้ างมาก โดยไม่สนใจองค์ประกอบอื่นๆ ของระบอบประชาธิปไตย ถึงที่สุดแล้วระบอบประชาธิ ปไตยก็อาจจะใช้อำนาจแบบเผด็ จการได้เช่นกัน หากไม่ฟังเสียงคนอื่น
“หัวใจสำคัญของประชาธิปไตยคือ เสรีภาพ แต่ถ้าคุณไม่มีการรู้จักควบคุมตัวเอง มันก็เหมือนปัญหาสุขภาพ ผมผ่านความตายมาแล้ว ผมเล่าได้ ผมเข้าใจ เหมือนกับว่า คุณมีเสรีภาพที่จะกินอะไรก็ได้ แต่ถ้าคุณไม่รู้จักระมัดระวัง ไม่ดูแลตัวเอง ไม่ควบคุมตัวเอง โรคมันก็มาหาคุณไง ความฉิบหายของบ้านเมืองมันก็เกิ ดจากการที่เราไม่มีวินัย ซึ่งวินัยตัวนี้ไม่ใช่วินั ยแบบที่คนอื่นมาสั่งเรา... มันไม่ใช่ว่าประชาธิปไตยมันคื อการทำอะไรตามใจคุณก็ได้ ไม่งั้นมันก็ยุ่งเหมือนสุขภาพคุ ณนั่นแหละ” พิชญ์ กล่าว
พิชญ์ กล่าวต่อว่า ระบอบเผด็จการสามารถกลับมาได้ทุ กวัน หากเราไม่มีสติ เขายกตัวอย่างว่า ตอนที่ยังเป็นประชาธิปไตย หลายๆ คนก็ไม่ชอบนักการเมือง มีการวิพากษ์วิจารณ์นักการเมื องอยู่ตลอด ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นฐานที่ ทำให้คนไม่ศรัทธาต่ อระบอบประชาธิปไตย แต่สิ่งที่สำคัญคือ เมื่อเราไม่ชอบนักการเมือง ไม่ชอบระบอบประชาธิไตยแบบที่เป็ นอยู่ เราจะยกเลิกมัน หรือจะปรับปรุงให้มันดีขึ้น
รากเหง้าของเผด็ จการมาจากความไม่มั่ นคงของคนในสังคม ชนชั้นนำในสังคมมีส่วนทำให้เผด็ จการอยู่ยาวได้
วรเจตน์ ระบุว่า คำว่าเผด็จการ(Dictator) เริ่มใช้ครั้งแรกในสมัยโรมัน ซึ่งกฎหมายของโรมันได้ยอมให้มี ผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จในช่ วงเวลาหนึ่ง ความคิดของชาวโรมันเวลานั้นเห็ นว่า ในกรณีที่บ้านเมืองเกิดสภาวะวิ กฤติ เขาจึงเป็นต้องมอบอำนาจให้บุ คคลคนหนึ่งมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ ดขาดเพื่อแก้ไขปัญหานั้น เช่นอยู่ในภาวะสงคราม แต่ต้องมีการมอบอำนาจจากสภา ซึ่งได้แสดงถึงความเห็นพ้อง หรือฉันทามติได้ประมาณหนึ่ง เช่น จักพรรดิซีซาร์ที่ขึ้ นมาปกครองโรมันได้ ก็เกิดจากการที่โรมันกำลังเผชิ ญกับสงครามจึงมีการมอบอำนาจให้ ซีซาร์เป็นผู้มีอำนาจสูงสุด โดยมอบอำนาจจากสภา แต่จากนั้นโรมันก็กลายเป็นรั ฐเผด็จการมาโดยตลอด
เขา กล่าวต่อว่า เผด็จการ มีรากศัทพ์มาจากภาษาละติน ไม่ได้มีความหมายในแง่ลบแบบในปั จจุบันนี้ กลับมีความหมายกลางๆ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นโรมั นสามารถบอกอะไรเราได้อย่างหนึ่ งคือ อำนาจเผด็จการมักจะมาพร้อมกั บอะไรบางอย่าง คือความรู้สึกมันคงปลอดภัยในทรั พย์ส่วนบุคคล คำถามที่ว่าทำไมเผด็จการจึงเกิ ดขึ้นได้ คำตอบคือเมื่อบ้านเมืองเกิ ดภาวะผิดปกติบางอย่าง เมื่อกฎหมายหมาย และคำสั่งเริ่มไม่ทำงาน ก็เป็นสิ่งที่ทำให้คนรู้สึกว่า จำเป็นต้องมีคนที่มีอำนาจเข้ มแข็งเข้ามาแก้ไขปัญหา ฉะนั้นระบอบเผด็จการจึงมี โอกาสกลับมาได้ตลอดเวลา แต่เมื่อมาแล้วจะอยู่ได้นานแค่ ไหน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขในทางประวั ติศาสตร์ และสภาพสังคมของแต่ละสังคม
“เราลองย้อนกลับไปดูสิ่งที่มันเป็นช่วงกำเนิดประชาธิปไตย ในช่วงแรกก่อนเข้าสู่ ระบอบประชาธิปไตยประเทศส่วนใหญ่ ในโลกนี้จะมีกษัตริย์ที่มี อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ซึ่งในทัศนะของผมก็มีลักษณะเป็ นเผด็จการอย่างหนึ่ง ในยุคนั้นถามว่าทำไมระบอบแบบนี้ จึงดำรงอยู่ได้ คำตอบคือเพราะผู้คนต้ องการความมันคงปลอดภัยในชีวิต คนที่เป็นนักรบมี ความสามารถในการทำให้บ้านเมื องเป็นปึกแผ่นเขาก็ขึ้นมาปกครอง ทหารกับกษัตริย์ก็จะหลอมรวมอยู่ ในกลุ่มเดียวกัน แต่ต่อมาระบอบแบบนี้ก็จะกลายเป็ นคณาธิปไตยคือ คนที่อยู่วงในสุดของระบอบนี้ จะได้ประโยชน์มากกว่าคนทั่วไป การเลื่อนตำแหน่งก็จะดูจากชาติ กำเนิด เป็นลูกเจ้านายไหม เป็นคนที่อยู่ในตระกูลสูงหรื อเปล่า นานไปความรู้สึกว่าไม่เป็นธรรม ไม่ยุติธรรมก็จะเกิดขึ้นในหมู่ ของคนทั่วไป และการเรียกร้องประชาธิปไตยก็ จะเกิดขึ้นตามมา” วรเจตน์ กล่าว
วรเจตน์ กล่าวต่อว่า เมื่อบ้านเมืองเข้าสู่ ระบอบประชาธิปไตยแล้ว ทำไมระอบเผด็จการจึงหวนกลับมา คำตอบที่มีหลายสาเหตุ หนึ่งคือ แม้บ้านเมืองจะเป็นประชาธิ ปไตยแล้ว แต่อำนาจโครงสร้างในสังคมยังไม่ เท่ากัน เสียงของชนชั้นนำในสังคมบางสั งคมอาจจะดังกว่าคนอื่น และมีอำนาจบ่งชี้ หรือสนับสนุนให้เกิดระบอบเผด็ จการได้ จนสามรถอยู่ต่อไปได้อย่างยาวนาน ฉะนั้นชนชั้นในสังคมที่กุ มอำนาจทางเศรษกิจ และอำนาจทางการเมือง จึงมีส่วนสำคัญอย่างมากที่ทำให้ ระบบเผด็จการดำรงอยู่ได้ เว้นเสียแต่ว่าจะมีการแตกหักกั นภายใน
สาเหตุที่สอง วรเจตน์ คิดว่า เผด็จการอยู่ได้ในยุคสมัยนี้เป็ นเพราะประชาชนมีส่วน ระบบกฎหมายก็มีส่วน และความอ่อนแอของระบอบประชาธิ ปไตยก็เป็นสาเหตุอีกส่วนหนึ่ง ทั้งหมดนี้เป็นการเปิดทางที่ ทำให้ กลุ่มบุลคลสามารถสร้างความฝั นให้ผู้คนในสังคมเห็นว่า ยอมให้เขาขึ้นมาปกครองดีกว่า เขาจะเข้ามาแก้ไขปัญหาทุกอย่าง จะสังเกตุได้ว่า หลังจากการที่มีการเปลี่ ยนจากประชาธิปไตยไปเป็นเผด็จการ มักมีการสร้างความฝันใหม่ๆ ความสวยงามใหม่ๆ ให้ผู้คนตลอดเวลา เช่นมีการจัดระเบียบ จัดการความวุนวาย
“ความรู้สึกเบื่อหน่ายของประชาชนก็เป็นส่วนหนึ่งที่ ทำให้เผด็จการดำรงอยู่ได้ ซึ่งหากเขาฉลาดพอภายใต้อำนาจเบ็ ดเสร็จ เขาสามารถเปลี่ยนโครงสร้ างความคิดทางวัฒนธรรมในจิ ตใจของผู้คนได้ด้วย พอคุณมีเครื่องมือ คุณใช้กฎหมายเป็นกลไกในการหล่ อหลอมความคิดของคน ด้วยอำนาจทั้งทางกายภาพ ทางกฎหมาย อำนาจทางวัฒนธรรม ซึ่งมันมีอยู่แล้วในสังคม ความรู้สึกไม่มั่นคงมันมีอยู่ แล้วในสังคม บางสังคมถามว่าทำไมเผด็จการจึ งดำรงอยู่ได้ ตอบง่ายๆ เลยก็เป็นเพราะสังคมมันแตกแยก ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น เมื่อสังคมแตกแยกเป็นสองฝ่ ายการที่จะรวมกันเพื่อกำจัดเผด็ จการมันจะไม่เกิด สิ่งนี้แหละที่ทำให้เผด็ จการดำรงอยู่ได้” วรเจตน์ กล่าว
เขา อธิบายต่อไปว่า ระบอบเผด็จการมีหลายประเภท มีหลายระดับ สิ่งที่เกิดขึ้ นในบางประเทศอาจจะไม่ได้เข้มข้ นถึงขั้นเป็นเผด็จการเบ็ดเสร็จ เพราะอาจจะรู้สึกว่าการเป็นเผด็ จการถึงขั้นนั้นจะทำให้ไม่ สามารถทนทานต่อการต่อต้านได้ และการที่ไม่ใช้อำนาจเบ็ดเสร็จ แต่กุมอำนาจบางอย่างเอากลั บกลายเป็นเครื่องมือชั้นดี ในการกำหนดรูปร่างสั งคมในระยะยาว และถ้าเข้าทำสำเร็จ จนสามารถฝังความคิดชุดหนึ่งให้ คนได้แล้วก็จะอยู่ได้นานกว่าที่ ควรจะเป็น แม้ว่าโลกเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 แล้วก็ตาม
ที่มาภาพ: ชนกนันท์ เสรีธรรมาชน
จุดหวนกลับสู่เผด็จการเกิดจากผู้ คนเห็นว่า เสรีภาพเป็นสิ่งที่ทำให้อึดอัด
ภาณุ ระบุว่า สิ่งหนึ่งที่ได้รับจากการอ่ านหนังสือเรื่องเผด็จการวิทยา คือการได้รับคำตอบว่า ทำไมผู้คนจึงต้องการเผด็จการอยู่ ทำไมเผด็จการจึงดำรงอยู่ในโลกปั จจุบัน แม้ระบอบประชาธิปไตยจะพั ฒนามาจากความเป็นระบอบเผด็จการ แต่ความเป็นเผด็จการจะยังอยู่ ในสังคม เขากล่าวต่อว่า ภาพจินตนาการที่ง่ายที่สุดสำหรั บการมองหาความเป็นเผด็จการ คือการมองเข้าไปในความรัก ซึ่งจะพบว่าความรักแท้จริงแล้ วไม่เรียกร้องเหตุผลที่จะรัก และตราบใดที่โลกของเรายังมี ความรักอยู่ เผด็จการก็จะยังมีพื้นที่อยู่ เสมอ
เขากล่าวต่อว่า ผู้คนจำนวนหนึ่งมองเห็นว่า เสรีภาพ เป็นสิ่งที่น่าอึดอัด เพราะการมีเสรีภาพจะเปิ ดโอกาสให้มีคนสามารถที่จะไม่เห็ นด้วยกับเรา มีคนที่สามารถด่าเราแรงๆ ใช้คำพูดกับเราแรงๆ ได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่มนุ ษย์ไม่ต้องการจะเจอ ฉะนั้นเมื่อย้อนไปดูที่ไวมาร์ สิ่งที่เห็นอย่างหนึ่งคือ ชุดคำถามของคนเยอรมันจำนวนหนึ่ งที่ดังขึ้นจากทั่วทุกทิศทางว่า ทำไมคนเยอรมันจึงทะเลาะกันเอง ทำไมฝ่ายซ้าย กับฝ่ายขวาถึงทะเลาะกัน และความคิดที่ว่าหากไม่มี การทะเลาะกันจะทำให้เยอรมันมี ความยิ่งใหญ่มากก็เกิดขึ้น ซึ่งทั้งหมดเป็นเพราะเสรีภาพ และการมีเสรีภาพนี้เองที่เปิ ดโอกาสให้คนทะเลาะกัน และเมื่อมีระบอบเผด็จการเกิดขึ้ น ทุกอย่างถูกกำหนดไว้หมดแล้วว่า อะไรถูก อะไรผิด เราควรจะชอบอะไร และเราควรจะไม่ชอบอะไร ข้อถกเถียงทั้งหมดที่เคยมีมาก็ สิ้นไป
“ฉะนั้นเสรีภาพมันเป็นสิ่งที่น่าอึดอัด และมีบางแง่มุมที่เราก็โหยหาผู้ มีอำนาจที่จะเข้ามากำหนดกฎเกณฑ์ บางอย่างให้เรา เราไม่ต้องไปมองไกลที่สั งคมโดยรวมก็ได้ เรามองในหมู่ของคนที่ทำงานเพื่ อประชาธิปไตยเอง ไม่ว่าจะยุคไหนก็ตาม เราจะได้ยินบ่อยๆ ว่ามันมีดราม่ากันอีกแล้ว มันทะเลาะกันทางเฟซบุ๊กอีกแล้ว ฟังดูอาจจะเป็นเรื่องตลก สองสัปดาห์ก่อนก็เพิ่ งจะทะเลาะกันเรื่องเชอปราง ในแง่หนึ่งเราอยู่ภายใต้เสรี ภาพที่เราจะมีความเห็นต่างกัน แต่คำถามคือเราจะสามารถทำงานร่ วมกันในขณะที่เราแตกต่างกันได้ อย่างไร อันนี้มันเป็นโจทย์ที่สำคั ญของเสรีภาพที่เราต้องคิด ซึ่งถ้าเราหยุดคิดตรงนี้ และเราไปคิดว่าฉันอยากจะได้ คนมากำหนดเลย อยากได้คนมาบอกเลยว่า เราควรจะด่า หรือเราควรให้อภัยเชอปราง มันคือการที่เราได้ละทิ้ งแนวทางของเสรีภาพไปแล้ว แม้ว่ามันจะง่ายกว่าก็ตาม” ภาณุ กล่าว
เผด็จการอาจจะไม่ได้ทำให้ ประเทศล้าหลังทางเศรษฐกิจ แต่มีปัญหาที่ความก้าวหน้ าทางเศรษฐกิจไม่ถูกกระจายออกอย่ างเท่าเทียม
ต่อคำถามว่า หลายคนมักมองว่าเผด็จการเป็นสิ่ งที่ล้าหลัง แต่ก็อาจจะมีหลายคนเห็นว่ามี หลายประเทศที่เป็นเผด็จการแต่กี ความเจริญ เราสามารถอธิบายเรื่องนี้ได้อย่ างไร พิชญ์ กล่าวว่า แม้ในภาษาที่ใช้ในการเคลื่ อนไหวบนท้องถนนมักจะจับคู่เผด็ จการไว้กับคำว่า ล้าหลัง หรือคู่ไว้กับอนุรักษนิยม แต่เอาเข้าจริงและ คำว่า ประชาธิปไตย เผด็จการ ก้าวหน้า อนุรักษนิยม ที่เราพูดถึงกันในทุกวันนี้ล้ วนแล้วแต่เป็นเรื่องสมัยใหม่ทั้ งสิ้น เผด็จการในแบบของฮิตเลอร์ก็เป็ นเผด็จการที่มีความทันสมั ยนอกจากเรื่องทางวิทยาศาสตร์แล้ วก็ยังมีความทันสมัยในแง่ ของการใช้อำนาจด้วย
พิชญ์ กล่าวต่อว่า อนุรักษนิยมแบบไทย ไม่ได้เป็นการย้อนกลับไปสู่อดี ตอย่างเดียว แต่มีการปรับภาษาของตัวเองให้ เข้ากับการเป็นความเป็นสมัยใหม่ ซึ่งคือการปลดปล่อยตั วเองออกจากการชี้นำ ฉะนั้นภาษาของอนุรักษนิ ยมไทยอาจจะมีความก้าวหน้ากว่าฝ่ ายก้าวหน้าเองเสียด้วยซ้ำ เพราะหลายๆ ครั้งภาษาของฝ่ายก้าวหน้ามีลั กษณะที่บังคับ เช่น มีทางเดียวเท่านั้น เป็นไปตามหลักการสากล นี่คือคำที่ฝ่ายก้าวหน้ามักหยิ บมาใช้ ขณะที่ฝ่ายอนุรักษนิยมไทยใช้ คำว่า อย่าเป็นทาสประเทศตะวันตก ไทยมีความภูมิ ใจในประเทศของเราเอง เราต้องมีเอกราชของเราเอง ภาษาหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะคำว่า เอกราช ถูกฉกฉวยไปใช้โดยฝ่ายอนุรักษนิ ยม และกลายเป็นการสร้างตนตัวที่พิ เศษกว่าคนอื่น
“เวลาเราคุยกันเรื่องเผด็จการ เราไม่ได้หมายความเผด็จการมันไม่ทำให้ประเทศชาติเจริญ มันเป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้ ประเทศเจริญได้ แต่หัวใจสำคัญของเผด็จการคือ มันต้องแลกด้วยเสรีภาพ ซึ่งก็อย่างที่ภาณุบอก เสรีภาพในตัวมันเองก็มีปัญหา ประชาธิปไตยตัวของมันเองมันก็ อาจจะตอบได้ว่ามีเจริญในบางส่วน แต่ยังไม่มีข้อพิสูจน์ที่ตายตั วว่าประชาธิปไตยทำให้ประเทศเจริ ญมากกว่าเผด็จการในแง่ของตัวเลข ประชาธิปไตยบางครั้งก็ไม่เจริญ แต่มันเจริญกว่าในแง่ ของการกระจายความเท่าเทียม เจริญกว่าในแง่ของการเปิดเผยข้ อมูล และการเคารพซึ่งกันและกัน” พิชญ์ กล่าว
พิชญ์ กล่าวต่อว่า เผด็จการอาจจะไม่ได้ทำให้สั งคมมีความล้าหลังทางเศรษฐกิ จเสมอไป แต่สิ่งสำคัญคือ ความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจที่เกิ ดขึ้นได้กระจายออกไปหรือไม่ ปัญหาของเผด็จการเป็นปัญหาสองด้ านในตัวของมันเอง เผด็จการขายความมั่นคง เสถียรภาพ และประสิทธิภาพ แต่สิ่งที่เผด็จการต้ องการเสมอคือข้อมูลที่ถูกต้อง เพราะถ้าไม่มีข้อมูลที่ถูกต้ องก็ไม่สามารถบริหารประเทศให้ เจริญได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ข้อมูลที่ถูกต้องที่ผู้มี อำนาจได้รับกลับเป็นข้อมูลที่ ไม่ถูกใจ เขาจึงพยายามยัดข้อมูลใหม่ใส่ เข้าไป นี่คือจุดที่เผด็จการทำลายตั วเอง ถ้าเขาได้รับข้อมูลที่ถูกต้องสั งคมก็เจริญได้
“ทางหนึ่งเผด็จการสมัยใหม่มันต้องอ้างตัวว่า กูเปิดแล้วนะ อยากให้ข้อมูลก็ไปศูนย์ ดำรงธรรมดิ คือมันมีข้อมูลไม่ใช่ไม่มี แต่มันเชื่อว่าตัวเองมีข้อมูลที่ ดีกว่า และบางครั้งข้อมูลที่มีคนมาให้ มันไม่ใช่ข้อมูลที่เป็นข้อเท็ จจริง มันเป็นข้อมูลที่มีความรู้สึก ซึ่งคนที่ให้เขารับคุณไม่ได้ และคุณก็รับเขาไม่ได้ การตัดสินใจ การพูดจาก็จะดูเกรี้ยวกราดบ้าง น้อยใจว่าทำไมคนไม่เข้าใจ เพราะเผด็จการมันเชื่อว่ามันมี ข้อมูลที่ถูกต้อง สมัยที่ผมกับอาจารย์วรเจตน์ โดนเรียกไปปรับทัศนคติสิ่งที่ เขาบอกเราเสมอคือ อาจารย์ได้ข้อมูลมาผิด อาจารย์ต้องไปแก้ ไปเล่าให้นักเรียนฟังว่าสิ่งที่ จริงมันเป็น 1 2 3 4 อย่างนี้” พิชญ์ กล่าว
ที่มาภาพ: ชนกนันท์ เสรีธรรมาชน
เผด็จการคือเชื้อมูลแห่ งการทำลายสติปัญญามวลรวมของสั งคม
วรเจตน์ กล่าวต่อว่า การจะตอบคำถามว่ าเพราะอะไรประเทศบางประเทศที่ เป็นเผด็จการถึงมีความเจริญ อาจตอบอย่างชี้ขาดในทางวิ ชาการไม่ได้ เพราะเราไม่มีห้องทดลองทางสั งคมที่สามารถกำหนดปัจจัยทั้ งหมดได้ แล้วนำรอบเผด็จการ กับระบอบประชาธิปไยมาเทียบกัน แต่เราอาจจะดูแนวโน้ มจากประเทศสองประเทศคือ เยอรมันตะวันตก และเยอรมันตะวันออกในอดีต กับเกาหลีเหนือ และเกาหลีใต้ ในปัจจุบัน เยอรมันแยกกันอยู่ประมาณ 40 ปี หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มีไอเดีย มีอุดมการณ์ในการปกครองคนละแบบ รัฐหนึ่งอาจจะบอกได้ว่าเป็นเสรี นิยมประชาธิปไตย อีกรัฐหนึ่งค่อนไปทางเผด็จการ แล้วถามว่าเมื่อ 40 กว่าปีที่ผ่านเกิดอะไรขึ้น เราคงตอบไม่ได้ว่าเยอรมันตะวั นตกเจริญกว่าเยอรมันตะวันออกทุ กด้าน แต่อย่างน้อยความเจริญทางวิ ชาการ ความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจเราปฎิ เสธไม่ได้
เขาเล่าว่า ได้ไปเรียนต่อที่เยอรมันนีหลั งจากมีการทำลายกำแพง และรวมประเทศได้เพียงแค่ 3 ปี เขามีโอกาสนั่งรถไฟข้ามไปฝั่ งตะวันออก ในทางกายภาพมีความแตกต่างระหว่ างสองประเทศนี้อย่างมีนัยสำคัญ
วรเจตน์กล่าวด้วยว่า เมื่อมองกลับมาที่ฝั่งเอเชียทุ กวันนี้เราเห็นสองประเทศเกาหลี ก็พอจะบอกได้ว่าตั วระบอบการปกครองมีอิทธิพลอย่ างมากต่อบุคคลิกภาพของผู้คน ชีวิตจิตใจ การดำเนินการทางเศรษฐกิจ ความก้าวหน้าทางวิชาการ มันสามารถบอกได้ในระดับหนึ่ง
"สำหรับตัวผมเองคิดว่าประชาธิปไตยมันมีทิศทางในทางที่ดีกว่า แม้ตอนนี้เราพูดถึงจีนที่มี ความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจแต่มั นอาจจะเป็นข้อยกเว้น หรือมันอาจจะยังไม่ถึงเวลาที่ ผลของมันจะแสดงออกมา เราอาจจะไม่ได้มีชีวิตอยู่ ยาวนานมากพอที่จะเห็นความเปลี่ ยนแปลงขนาดใหญ่ในทางการเมือง เราอาจจะยู่ในจังหวะซึ่งทั้งชี วิตของเราอาจจะไม่เห็นความเปลี่ ยนแปลงทางการเมืองเลยก็ได้” วรเจตน์ กล่าว
เขากล่าวต่อว่า ระบอบประชาธิปไตยอย่างน้อยที่สุ ดดีกว่าเผด็จการในแง่ที่มี การเปิดโอกาสให้คนตั้งคำถาม เพื่อที่จะทำให้เราพิสูจน์ได้ว่ าความจริงแล้ว สิ่งที่เห็นและเป็นอยู่มันเป็ นอย่างไรกันแน่ ซึ่งระบอบเผด็จการไม่เอื้อให้ คนสามารถตั้งคำถามได้ จนถึงที่สุดจะทำให้สติปั ญญาโดยรวมของสังคมต่ำลง เพราะสิ่งที่จะทำให้สิตปั ญญาของมนุษย์พัฒนาได้คือ การมีเสรีภาพในการตั้งคำถาม
“ผมไม่ได้บอกว่าประชาธิปไตยมันคือ ความไร้วินัย ประชาธิปไตยไม่ใช่ว่าจะทำอะไรก็ ได้ทั้งหมด มันมีองค์ประกอบอะไรที่มาไปกว่ านั้น การจะพูดถึงเรื่องความมีวินั ยในระบอบประชาธิปไตย มันต้องย้อนกลับไปถามว่าวิธีคิ ดแบบเผด็จการนี่มันสร้างวินั ยเหรอ หรือมันทำให้คนไม่มีวินัยกันแน่ เราลองย้อนไปดูสมัยเราเป็นนั กเรียน สมัยผมเข้าแถวแดดร้อนๆ ครูก็ยืนอยู่ในร่ม มีร้องเพลงชาติ แล้วก็เข้าห้องเรียน นี่คือพิธีกรรมที่ทำอยู่ทุกวั นหน้าเสาธง ถามว่ามันเกิดอะไรขึ้นกั บภาพรวมของวินัยในสังคมทั่วไปบ้ างละ แปลว่ามันต้องมีอะไรผิดปกติแน่ๆ ในแง่ของการอบรมบ่มเพาะพลเมื องของเรา และแน่นอนความเข้าใจเรื่องวินั ยแบบที่ทำกันอยู่ซึ่งเมื่อไม่ นานมานี้มีมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ งที่เอาทหารเข้ามาฝึกวินัยนักศึ กษาปี 1 เพื่อให้เกิดวินัยขึ้น นี่คือความเข้าใจที่ผิดพลาดอย่ างไม่น่าเชื่อ ทั้งหมดนี้มันรวมถึงระดับปั ญญามวลรวมของสังคมด้วยที่ทำให้ เราคิดได้แค่นี้” วรเจตน์ กล่าว
แสดงความคิดเห็น