
10 ปีผ่านไป ประเทศไทยยังรัฐประหาร
โดย ณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ
ก่อนรัฐประหารคมช. ผมเป็นแค่คนชอบการเมือง ปราศรัยหาเสียงให้น้าชายตั้งแต่อายุ 16 ปี
อยากเป็นผู้แทนราษฎร ลงสมัครไปแล้ว 2 รอบ
ปี35 เคยเป็นผู้ร่วมชุมนุมต้านเผด็จการรสช.ที่บ้านเกิด ขณะนั้นอายุ 17 ปี
ไม่เคยขึ้นเวทีชุมนุม ไม่เคยคิดว่าจะต้องเป็นแกนนำอะไรกับเขา การเมืองของผมไม่ซับซ้อน อยากเป็นผู้แทนก็ลงสมัคร ได้รับเลือกก็ทำหน้าที่ ถ้าแพ้ก็ต้องพิสูจน์ตัวเองต่อไป
หลัง 19 กันยายน 49
ผมเข้าร่วมขบวนต้านรัฐประหาร เริ่มจากรวมกลุ่มปรึกษากัน ตั้งสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม ขึ้นเวทีปราศรัย และเดินขบวน
ผ่านคืนแรกในเรือนจำ ผมถามตัวเองว่า จากเด็กบ้านนอกที่เข้ามาหาเงินเรียนเองในกรุงเทพฯ เติบโตเป็นนักพูด ดูแลตัวเองและครอบครัวได้ไม่เดือดร้อน มานอนอยู่ในนี้ได้อย่างไร
ดูเหมือนผมได้คำตอบ เป็นคำตอบสุดท้ายที่ยังยืนยันจนวันครบรอบ 10 ปี คือ ผมต้องทำสิ่งนี้
ผมต้องต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย
ผมไม่ได้เกิดมาพร้อมอุดมการณ์สูงส่งใดๆ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาสู้กันยังไง แต่วันเวลา และการเรียนรู้จากสถานการณ์จริงทำให้ผมเป็นผมวันนี้ เหมือนกับที่คนจำนวนมากค้นพบตัวเองเช่นกัน
เราอาจสนใจการเมือง หรือบางคนอาจไม่เลย แต่เหตุการณ์ในห้วง 10 ปี ทำให้เห็นและเข้าใจหลายเรื่องมากขึ้น ในที่สุดก็มากพอจนสรุปได้ว่า ตั้งแต่ต้นจนวันนี้เราสู้กันเรื่องอะไร
การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยเป็นเรื่องของคนธรรมดา แค่เชื่อมั่นว่าคนเท่าเทียมกัน และยืนยันความเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ก็ถือว่ามีคุณสมบัติของนักต่อสู้
หลายคนบอกว่า 10 ปีแล้วประเทศไทยยังย่ำอยู่กับที่ บางคนว่าถอยหลังไปหลายสิบปี
แต่คล้ายกับว่า ผู้มีอำนาจทั้งหลายไม่กังวล พวกเขามั่นใจว่าจะหยุดประเทศเอาไว้ หรือจะให้ถอยหลังไปแค่ไหนก็ทำได้ เพราะพวกเขาเท่านั้นที่จะกำหนดความเป็นไปของประเทศนี้
ผมคิดว่าผู้มีอำนาจไม่รู้จักประชาชน
ผ่านเวลา 10 ปี ประชาชนเดินมาไกลมากแล้ว และเข้าใจด้วยว่ายังต้องเดินอีกไกล แต่พวกเขาก็ไม่ยอมเดินถอยหลัง
สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนอกจากฝืนกระแสโลก ยังสวนทางกับพัฒนาการทางการเมืองของประชาชน
ไม่มีอำนาจใดยืนยงอยู่ได้ด้วยการทำเช่นนี้
หลัง 19 ก.ย. 49 นายทหารคนหนึ่งในคณะคมช.ประกาศก้องว่า เราคือวีรบุรุษ
ในคสช.ก็อาจมีบางคนกำลังคิดว่าตัวเองคือ วีรบุรุษ
แต่สำหรับประชาชน เราไม่ต้องการเป็นวีรบุรุษ เราเพียงเรียกร้องความเท่าเทียมในฐานะมนุษย์ และระบอบการปกครองที่ยอมรับและเคารพต่อสิ่งนี้
หลายคนถามว่า การเดินทางอันยาวนานนี้ เมื่อไหร่จะถึงจุดหมาย
ผมเอาภาพที่ถ่ายไว้มาลงให้ดู
ไม่ว่าแสงสีทองนั้นจะเป็นยามเช้าหรือพลบค่ำ แต่เรือลำนี้มีเส้นทางของตัวเองแล้ว และจะแล่นไปจนถึงจุดหมายอย่างแน่นอน
เราไม่ใช่ดวงอาทิตย์ เราคือเรือลำนั้น
แสดงความคิดเห็น