ทรัมป์-คลินตัน ใครพูดจริงพูดเท็จในศึกดีเบตนัดแรก
การขึ้นเวทีประชันวิสัยทัศน์ทางโทรทัศน์อย่างเป็นทางการครั้งแรกระหว่างสองผู้สมัครรับเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนพรรครีพับลิกัน และนางฮิลลารี คลินตัน คู่แข่งจากพรรคเดโมแครต ได้รับความสนใจจากบรรดาผู้ติดตามข่าวการเมืองสหรัฐฯทั่วโลก ซึ่งบีบีซีได้รวบรวมคำพูดในบางประเด็นของผู้สมัครทั้งสองว่าใครพูดความจริง หรือพูดคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริงบ้าง
บนเวทีประชันวิสัยทัศน์ครั้งนี้ นายทรัมป์ ยืนกรานว่าตนเองต่อต้านกรณีที่สหรัฐฯทำสงครามบุกอิรักเมื่อปี 2546 พร้อมชี้ว่า การที่นางคลินตันกล่าวหาว่าเขาสนับสนุนสงครามดังกล่าว เป็นการนำเรื่องไม่มีมูลความจริงไปพูดต่อสื่อมวลชน อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบของบีบีซีพบว่า นายทรัมป์ไม่เคยพูดคัดค้านสงครามดังกล่าวอย่างเปิดเผยก่อนที่สงครามจะเริ่มขึ้น มิหนำซ้ำในวันที่ 11 ก.ย. 2545 เมื่อนักจัดรายการวิทยุชื่อดัง ฮาเวิร์ด สเติร์น ถามนายทรัมป์ว่าเขาสนับสนุนความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯจะทำสงครามบุกอิรักหรือไม่ นายทรัมป์ตอบว่า “ตนก็คงให้การสนับสนุน” ซึ่งในการประชันวิสัยทัศน์ครั้งนี้นายทรัมป์พูดแก้ต่างว่า การตอบคำถามในครั้งนั้นเป็นการตอบไปอย่างไม่เต็มใจนักเพราะลึก ๆ แล้วตนไม่เห็นด้วยกับการทำสงครามดังกล่าว
อีกประเด็นที่นายทรัมป์ใช้โจมตีนางคลินตันก็คือ กรณีที่นางคลินตันเรียกความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (ทีพีพี) ว่า “ข้อตกลงการค้ามาตรฐานเหรียญทอง” ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่นางคลินตันปฏิเสธ โดยระบุว่าตนเพียงแสดงความหวังว่าข้อตกลงทีพีพีจะเป็นข้อตกลงที่ดี แต่จากการตรวจสอบของบีบีซีพบว่า นางคลินตันได้พูดตามที่นายทรัมป์กล่าวหาจริงในระหว่างการเยือนออสเตรเลียเมื่อปี 2555
ส่วนอีกเรื่องที่ดูเหมือนว่านางคลินตันจะพูดเกินความเป็นจริงก็คือการอ้างว่านโยบายของตนจะช่วยสร้างงานใหม่ 10 ล้านตำแหน่งในขณะที่นโยบายของนายทรัมป์จะทำให้คนตกงาน 3.5 ล้านตำแหน่ง บีบีซีได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและพบว่า นางคลินตันเคยกล่าวอ้างเรื่องนี้มาก่อนโดยอ้างอิงรายงานเชิงวิเคราะห์ของสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ มูดีส์ ที่ระบุว่า ตำแหน่งงานใหม่ 10 ล้านตำแหน่งที่จะเกิดขึ้นนั้นส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการที่เศรษฐกิจสหรัฐฯขยายตัว และหากนโยบายเศรษฐกิจที่นางคลินตันใช้หาเสียงได้รับความเห็นชอบให้เป็นกฎหมายจริงก็จะช่วยสร้างงานใหม่ราว 3.2 ล้านตำแหน่ง ในขณะที่นโยบายเศรษฐกิจของนายทรัมป์จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯเข้าสู่ภาวะถดถอยและทำให้คนตกงาน 3.5 ล้านตำแหน่ง
ทางด้านของนายทรัมป์ก็ถูกมองว่าพูดคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงเช่นกัน จากกรณีที่พยายามโจมตีว่านางคลินตันเป็นต้นเหตุให้กลุ่มที่เรียกตัวเองว่ารัฐอิสลาม (ไอเอส) ผงาดขึ้นมามีอิทธิพล โดยระบุว่า นางคลินตันใช้ช่วงชีวิตในวัยผู้ใหญ่ทั้งหมดไปกับการต่อสู้กับไอเอส ทั้งที่ในความเป็นจริงนางคลินตันมีอายุ 68 ปี ในขณะที่กลุ่มไอเอสเพิ่งจะก่อตั้งขึ้นเมื่อไม่ถึง 10 ปีมานี้เอง
ส่วนประเด็นสำคัญอีกประการที่สื่อมวลชนให้ความสนใจก็คือเรื่องการเปิดเผยข้อมูลการเสียภาษี ซึ่งนางคลินตันได้นำข้อมูลการเสียภาษีของตนและสามีออกมาเปิดเผยต่อสื่อมวลชน ในขณะที่นายทรัมป์ไม่ยอมเปิดเผย โดยอ้างบนเวทีประชันวิสัยทัศน์ครั้งนี้ว่า “ข้อมูลการเสียภาษีไม่ได้บอกอะไรกับสังคมมากนัก” ซึ่งที่ผ่านมานายทรัมป์อ้างว่าไม่สามารถนำข้อมูลดังกล่าวของตนมาเปิดเผยได้เพราะอยู่ในระหว่างการตรวจสอบบัญชี อย่างไรก็ตาม นางคลินตันชี้ว่าสาเหตุที่นายทรัมป์ไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลนี้ก็เพราะเกรงว่ามันจะเปิดโปงความจริงที่ว่านายทรัมป์ไม่ได้ร่ำรวยหรือบริจาคเงินเพื่อการกุศลมากตามที่อวดอ้างไว้นั่นเอง
ทั้งนี้ นายทรัมป์ระบุว่าตนบริจาคเงินเพื่อการกุศลไป 102 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา แต่จากการตรวจสอบของหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์กลับไม่พบหลักฐานว่าเขาบริจาคเงินเพื่อการกุศลมาตั้งแต่ปี 2551 ขณะที่นิตยสารฟอร์บส์ประเมินว่านายทรัมป์มีทรัพย์สิน 4,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในขณะที่เจ้าตัวอ้างว่ามีทรัพย์สินถึง 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ #USElection #Clinton #Trump
แสดงความคิดเห็น