Atukkit Sawangsuk
 รัฐประหารครั้งนี้ใช้อำนาจเบ็ดเสร็จกดสังคม บนความพึงพอใจของสลิ่ม อาศัยภาพ "ประชาธิปไตยวุ่นวาย" บังคับสังคม "ไทยเฉย" ใต้วัฒนธรรมเห็บสยาม ให้หยวนยอมตามเสียดีกว่า ปัญหาจะได้จบๆ ไป บ้านเมืองจะได้ไม่วุ่นวาย จะได้ทำมาหากิน
การวางโครงสร้างอำนาจผูกขาด ไม่ว่าในระยะเฉพาะหน้า หรือในรัฐธรรมนูญ ทั้งบทเฉพาะกาลบทถาวร มันคือการบังคับพลังประชาธิปไตยว่า ถ้าไม่ยอมก็ต้องโค่นล้ม!!! ต้องรุนแรง ต้องล้มทั้งยวง ทั้งทหาร ศาล รัฐราชการ ต้องล้มระบอบไปโน่นเลย ซึ่งใครจะไปทำได้ละครับ การโค่นล้มด้วยความรุนแรง ลุกฮือ เสียเลือดเนื้อ หรือใช้อาวุธ มันฝืนธรรมชาติของพลังประชาธิปไตย และมันจะทำให้ทั้งสังคมพังพินาศ ไม่มีใครเอาด้วย
ฉะนั้ย พวกเขาจึงหวังจะบังคับขืนใจไปอย่างนี้ โดยไม่ต้องใช้ 66/23 ไม่ต้องใช้การเมืองนำการทหารด้วยซ้ำ โดยหวังว่า ในทางการเมือง เมื่อวางระบอบอยู่ยาว 2+5 ปี บดขยี้ดำเนินคดีชินวัตร-เพื่อไทย เลือกตั้งยังไงก็ไม่มีทางชนะ แล้วประชาชนก็จะเหนื่อยหน่าย ท้อแท้ ยอมแพ้ ยอมจำนนไปเอง ในทางเศรษฐกิจ จะร่วมมือกับกลุ่มทุนทั้งหลายนำประเทศก้าวกระโดดใหญ่เหมือนสมัยสฤษดิ์ เปรม ด้วยการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้าน (ปัจจุบันเป็น 3 ล้านล้านกับรถไฟจีน 3.5 กม.) ตามไอเดียเพื่อไทย ในทางสังคม วัฒนธรรม ก็จะใช้รัฐราชการสร้างคนไทยในโอวาทยุค 4.0 ขึ้นมาเป็นสลิ่มใหม่ โดยกระบวนการทั้งหมดนี้ จะไม่แยแสคน 10 ล้านเสียง เมริงอยู่ได้อยู่ไป แต่ยังไงก็ต้องทำมาหากินภายใต้อำนาจ ต้องเสียภาษี ต้องมีลูกมีหลานส่งเสียเข้าโรงเรียนเข้าทำงาน เดี๋ยวเมริงก็ยอมแพ้ไปเอง
ก็คล้ายๆ คนรุ่นหลัง 6 ตุลาละครับ แพ้ แล้วก็ต้องยอมอยู่ร่วมในสังคม (จนบางคนกลายเป็นสลิ่ม) แต่อ๊ะ ครั้งนี้ อย่างน้อยผมก็มีเพื่อน 10 ล้านเสียง ทั้งที่ถูกอำนาจปิดกั้นคุกคามทุกวิถีทาง ก็ยังมี 10.6 ล้านเสียง ซึ่งมีที่มาหลากหลาย มาวัดใจกันหน่อยเป็นไรว่าพวกเขาจะทำให้ 10.6 ล้านเสียงนี้ยอมจำนนได้ไหม
อย่างน้อยๆ สู้กันมาถึงวันนี้ก็เชื่อว่า พวกเขาไม่มีทางเอาชนะใจมวลชนประชาธิปไตย อยู่มา 2 ปีกว่า ถามจริง ชนะใจเสื้อแดงได้ซักคนไหม หรือมีแต่เพิ่มพลังประชาธิปไตยจากคนรุ่นใหม่

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.