สปท.เล็งลดโควต้าตัวแทนรั ฐในสภาวิชาชีพสื่อลงแต่ย้ำต้ องมีอยู่ หารืออีกครั้งพรุ่งนี้
Posted: 20 Feb 2017 05:37 AM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เวบไซท์ประชาไท)
ความคืบหน้าร่าง พ.ร.บ.คุมสื่อ - กมธ.สื่อ สปท.เล็งลดตัวแทนภาครัฐในสภาวิ ชาชีพสื่อลงแต่ย้ำต้องมีอยู่ หารืออีกครั้งพรุ่งนี้ ด้านองค์กรวิชาชีพสื่อยืนยันไม่ รับร่างกฎหมายให้อำนาจรั ฐลงโทษสื่อ อดีตประธานสภาการ นสพ. ยันผิดหลักการ คนถูกตรวจสอบมาอยู่ในองค์ กรตรวจสอบเสียเอง เทพชัยชี้ออก กม.คุมสื่อในภาวะไม่เป็นประชาธิ ปไตย ไม่อาจนำสู่การปกครองประชาธิ ปไตยได้
20 ก.พ. 2560 กรณีสื่อหลายสำนักรายงานตรงกั นว่า พล.อ.อ.คณิต สุวรรณเนตร ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้ านการสื่อสารมวลชน สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) แถลงความคืบหน้าการปรับปรุงร่ างพ.ร.บ.การคุ้มครองสิทธิเสรี ภาพ ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิ ชาชีพสื่อมวลชนว่า ในการประชุมคณะกรรมาธิการสื่ อสารมวลชน สปท. วันนี้ ได้ทบทวนเนื้อหาร่างกฎหมายฉบั บดังกล่าว ตามที่วิป สปท.ให้ความเป็นห่วง โดยเฉพาะโครงสร้างกรรมการสภาวิ ชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติที่มีปลั ดกระทรวง 4 คน ร่วมเป็นกรรมการฯ ซึ่ง กมธ.เห็นควรให้คงสัดส่ วนกรรมการสภาวิชาชีพไว้ที่ 13 คน ตามเดิม แต่มีการเสนอให้ลดโควตาตั วแทนภาครัฐลงจากเดิม
พล.อ.อ.คณิต กล่าวว่า ข้อเสนอครั้งนี้เป็ นการแสดงเจตนาบริสุทธิ์ใจให้เห็ นว่า สปท.สื่อสารมวลชนไม่ได้ เสนอโครงสร้างสภาวิชาชีพสื่ อมวลชนแห่งชาติเพื่ อไปแทรกแซงการทำงานสื่อ ส่วนเหตุผลที่ยังให้มีตั วแทนภาครัฐในโครงสร้างสภาวิชาชี พสื่อมวลชนแห่งชาติ เนื่องจากภาคราชการกั บภาคเอกชนต้องเดินไปด้วยกัน ไม่มีประเทศใดในโลกที่ให้ ภาคเอกชน หรือภาคราชการเดินไปเดี่ยวๆ เหมือนทำอาหารต้องใส่หลายๆ อย่างให้อาหารอร่อยขึ้น
เขาระบุว่า แนวทางที่เสนอมาหลายรูปแบบเช่น 1.การลดโควตาปลัดกระทรวง จาก 4 คน เหลือ 2 คน แล้วนำโควตาไปเพิ่มตัวแทนสื่ อและตัวแทนผู้ทรงคุณวุฒิอย่างละ 1 คน 2.การลดโควตาปลัดกระทรวง จาก 4 คน เหลือ 2 คน แล้วนำโควตาไปเพิ่มตัวแทนสื่อ 2 คน ทำให้ภาคสื่อมีตัวแทนในสภาวิ ชาชีพเพิ่มเป็น 7 คน 3.การให้มีปลัดกระทรวงเป็นตั วแทนภาครัฐ 4 คนเท่าเดิม แต่ให้เขียนบทเฉพาะกาลว่า เมื่อมีรัฐบาลจากการเลือกตั้ง ปลัดกระทรวงทั้ง 4 คนต้องพ้นหน้าที่ไป แล้วนำโควตาไปเพิ่มให้ตั วแทนภาคอื่นๆ แนวทางทั้งหมดเหล่านี้ กมธ.ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะใช้ แนวทางใด โดยจะประชุมกมธ.อีกครั้งในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ เพื่อหาข้อสรุปว่ากรรมการสภาวิ ชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ 13 คน จะมีสัดส่วนจากภาคใดบ้าง
ยันผิดหลักการ คนถูกตรวจสอบมาอยู่ในองค์ กรตรวจสอบเสียเอง
ด้านจักร์กฤษ เพิ่มพูล อดีตประธานสภาการหนังสือพิมพ์ แห่งชาติ ให้สัมภาษณ์ประชาไทว่า สิ่งที่องค์กรวิชาชีพสื่อเรี ยกร้องตั้งแต่ต้นไม่ใช่เรื่ องการลดสัดส่วนตัวแทนรัฐ แต่คือการไม่ให้มีตัวแทนรัฐเลย เพราะประเด็นสำคัญคือ สื่อมีภาระหน้าที่ต้ องตรวจสอบการทำงานของรัฐ การมีตัวแทนของรัฐซึ่งเป็นผู้ถู กตรวจสอบอยู่ในองค์กรตรวจสอบเสี ยเองนับเป็นเรื่องแปลก นอกจากนี้ เมื่อเทียบกับวิชาชีพอื่น อย่างวิศวกร หรือหมอ ในสภาวิชาชีพจะไม่มีตัวแทนรั ฐเลย
"ไม่ว่ามีตัวแทนรัฐเท่าไหร่ ผิดหลักการทั้งนั้น รับไม่ได้ทุกกรณี" จักร์กฤษกล่าว
เขากล่าวถึงประเด็นเรื่ องอำนาจในการออกและถอนใบอนุ ญาตประกอบวิชาชีพด้วยว่า ทราบมาว่า สปท.จะคงเรื่องนี้ไว้ โดยอาจเปลี่ยนเป็นใบอนุ ญาตแบบตามความสมัครใจแทน ซึ่งองค์กรวิชาชีพสื่อก็ยืนยั นเช่นกันว่าไม่ควรมีอำนาจนี้เลย
เทพชัยชี้ออก กม.คุมสื่อในภาวะไม่เป็นประชาธิ ปไตย ไม่อาจนำสู่การปกครองประชาธิ ปไตยได้
วันเดียวกัน เทพชัย หย่อง นายกสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทั ศน์ไทยในฐานะประธานคณะทำงานสื่ อเพื่อการปฏิรูป เปิดเผยภายหลังการประชุ มแกนนำองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนร่ วมกับสื่อมวลชนอาวุโส โดยยืนยันว่า ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิ ชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ. ..... ที่คณะกรรมาธิการพิ จารณาพยายามจะทบทวนแก้ไขนั้น มิได้อยู่บนพื้นฐานหลั กการของการคุ้มครองสิทธิเสรี ภาพของผู้ประกอบวิชาชีพสื่ อมวลชน โดยยังเปิดโอกาสให้มีการใช้ อำนาจรัฐเข้ามาแทรกแซงการทำหน้ าที่โดยอิสระของสื่อมวลชน และไม่สอดคล้องกับหลักการของร่ างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับที่ผ่านการลงประชามติ ซึ่งมีเจตนารมณ์ให้สื่ อมวลชนกำกับดูแลกันเองโดยอิ สระและปราศจากการแทรกแซงจากภาครั ฐ
เทพชัย กล่าวอีกว่า ที่ประชุมมีมติยืนยันไม่เห็นด้ วยกับการออกกฎหมายให้อำนาจองค์ กรใดองค์กรหนึ่งมาลงโทษสื่ อมวลชน ไม่ว่าจะเป็นโทษทางอาญาหรื อโทษทางปกครอง เพราะเท่ากับเป็นการเปิดช่องให้ อำนาจรัฐเข้ามาแทรกแซงการทำหน้ าที่ของสื่อมวลชน ซึ่งเท่ากับเป็นการจำกัดสิทธิ การรับรู้ข้อมูลข่ าวสารของประชาชน พร้อมทั้งยืนยันหลักการการกำกั บดูแลกันเองของสื่อมวลชน โดยในปัจจุบันได้มีปรับปรุ งกลไกการควบคุมกันเองให้มีประสิ ทธิภาพตลอดเวลาอยู่แล้ว และได้มีกระบวนการในการเปิ ดโอกาสให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่ วนร่วมในการตรวจสอบการทำหน้าที่ ของสื่อมวลชนผ่านองค์กรวิชาชี พมากขึ้น ขณะเดียวกัน มีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกำกั บควบคุมการทำหน้าที่ของสื่ อมวลชนอยู่ไม่น้อยกว่า 30 ฉบับ
“ความพยายามในการออกกฎหมายควบคุ มสื่อมวลชนภายใต้บรรยากาศที่ยั งไม่เป็นประชาธิปไตย ย่อมไม่สามารถนำไปสู่ การปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่ สมบูรณ์ได้ เราจึงขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่ เกี่ยวข้องยุติการออกกฎหมายจำกั ดเสรีภาพในการทำหน้าที่ของสื่ อมวลชน” เทพชัยกล่าว
เทพชัย กล่าวด้วยว่า องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน มีมติร่วมกันให้มีการจั ดการประชุมสมัชชาสื่อมวลชนแห่ งชาติเพื่อกำหนดท่าทีของผู้ ประวิชาชีพสื่อมวลชนทั่ วประเทศในเรื่องการปฏิรูปสื่ อและยืนยันหลักการกำกับดูแลกั นเองให้มีประสิทธิภาพมากขึ้ นตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญฉบั บใหม่
แสดงความคิดเห็น