SEAPA: สื่อกับการกำกับกันเองในสังคมที่ แตกแยก
Posted: 19 Feb 2017 12:31 AM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เวบไซท์ประชาไท)
แวดวงสื่อสารมวลชนรู้กันดีว่ าระบบการกำกับดูแลกันเองของสื อมวลชนมีปัญหา ไม่สามารถควบคุมจริยธรรมกั นเองได้ ทำให้ประชาชนขาดความเชือถื อและมองข้ามความสำคัญของสื อในฐานะที่เป็นกระจกส่องสั งคมและหมาเฝ้าบ้าน อีกทั้งพัฒนาการด้านเทคโนโลยื การสื่อสารทำให้เกิดสื่อที่ หลากหลายขึ้นบนพื้นที่ออนไลน์ และสือสังคม (social media) บทบาทดั้งเดิมของสื่อในฐานะเป็ นผู้ส่งสารจึงถูกลดทอนความสำคั ญลงไปเพราะประชาชนมีทางเลือกเข้ าถึงข้อมูลข่าวสารได้อย่ างรวดเร็วและหลากหลายช่องทาง
ปรากฏการณ์เช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้ นแต่เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น แต่เป็นปัญหาทั่วโลก ขณะนี้จึงมีความพยายามหลายระดั บเพื่อหาแนวทางปรับปรุ งกลไกการกำกับดูแลกันเองของสื่ อให้ทำหน้าที่ให้สอดคล้องกั บสภาพเศรษฐกิจสังคมและภูมิทัศน์ สื่่อที่เปลี่ยนไป
เมื่อวันที่ 15 ก.พ. ที่ผ่านมา สถานทูตสวีเดนและสถานทูตฟิ นแลนด์ ร่วมกับ องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) และสมาคมเครือข่ายผู้สื่อข่ าวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ซีป้า) จัดงานฉลองครบรอบ 250ปีกฎหมายสื่อมวลชน (พ.ศ.2309) ของสองประเทศ (ก่อนฟินแลนด์จะแยกตัวออกไปในปี พ.ศ. 2352) เพื่อให้เห็นความสำคัญของเสรี ภาพสื่อมวลชนในระบอบประชาธิปไตย โดยกฎหมายฉบับดังกล่าวเป็ นกฎหมายฉบับแรกของโลกที่่รั บรองเสรี ภาพการแสดงออกของประชาชน ยกเลิกการเซ็นเซอร์สื่อ และให้ประชาชนมีสิทธิเข้าถึงข้ อมูลข่าวสารทางราชการ ทั้งสองประเทศยังเป็นต้ นแบบของการกำกับดูแลกันเองของสื่ อทีี่มีประสิทธิภาพ โดยสภาการหนังสื่อพิมพ์ของสวี เดนมีอายุครบ100 ปีเมือพ.ศ. 2559 และฟินแลนด์ฉลองครบรอบ 50 ปีในพ.ศ. 2561
งานดังกล่าวมีเวทีสาธารณะในหั วข้อ “จะพิทักษ์เสรีภาพสื่ออย่ างไรในสังคมที่แตกแยก” และเวทีเฉพาะเรื่องการกำกับดู แลกันเองของสื่อจากประเทศสแกนดิ เนเวียและประเทศในภูมิภาคเอเชี ยตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีความเห็นจากสือมวลชน ผู้เชี่ยวชาญด้านการกำกับดูแลกั นเอง และนักเคลื่อนไหว ด้านสิทธิเสรีภาพสื่ อมวลชนในประเทศไทย อินโดนีเซีย เมียนมาร์ สวีเดน และฟินแลนด์ ที่่น่าจะใช้เป็นแนวคิดเพื่อปรั บปรุงกลไกการกำกับดูแลกั นเองของสื่อมวลชนได้
ตัวอย่างการกำกับดูแลตั วเองจากนานาประเทศ
การกำกับดูแลกันเองจะมีประสิทธิ ภาพได้ต้องมี่องค์ประกอบสำคั ญสามประการคือ หนึ่ง สิ่งแวดล้อมทางกฎหมายที่ส่งเสริ มและคุ้มครองสิทธิเสรี ภาพในการแสดงออกและเสรีภาพของสื่ อ สอง กลไกการกำกับดูแลกันเองทีี่อยู่ บนหลักการของความน่าเชือถือ ความโปรงใส และเป็นประชาธิปไตย และสาม การมีส่วนร่วมของภาคประชาสั งคมและประชาชน
การกำกับดูแลกันเองจะมีประสิทธิ
องค์ประกอบดังกล่าวจะตอบคำถามว่ า ทำไมการกำดับดูแลกั นเองของประเทศสวีเดนและฟินแลนด์ จึงมีประสิทธิภาพ เนื่องจากมีระบบกฎหมายที่่คุ้ มครองและส่งเสริมสิทธิเสรี ภาพของ ประชาชน และเสรีภาพของสืออย่างเต็มที่ ประชาชนทุกคนมีสิทธิเผยแพร่ข้ อมูลข่าวสารอย่างไม่มีการปิดกั้ น แต่ถ้าไปละเมิดใครก็จะถูกจั ดการตามกรอบกฎหมายที่ให้ความเป็ นธรรมกับทุกคนเท่าๆกัน นอกจากนี้กลไกสภาการหนังสือพิ่ มพ์เป็นที่นิยมของประชาชนเพราะ เป็นระบบที่รวดเร็ว ไม่แพง น่าเชื่อถื่อ และโปร่งใส
ตัวอย่างหนึ่งในกรณีฟินแลนด์คือ สภาสื่อทั้งในฟินแลนด์และสวี เดนเปิดให้การเป็นสมาชิ กของสภาการหนังสื่อพิมพ์เป็ นไปโดยสมัครใจ โดยสร้างแรงจูงใจให้สื่อที่เป็ นสมาชิกได้รับความคุุ้ มครองจากการถูกฟ้องร้องคดีที่ ไม่เป็นธรรมเท่านั้น สภาสื่อฟินแลนด์ไม่ได้ใช้วิธี ลงโทษสื่อที่ถูกร้องเรียนว่ าละเมิดจริยธรรมด้วยวิธีการปรั บหรือเพิกถอนใบอนุญาต แต่สามารถบังคับให้สื่ อลงคำขอโทษหรือแก้ไขขัอมูลให้ถู กต้อง และในขณะที่ข้อร้องเรียนยังไม่ มีการไต่สวน ก็มีการเปิดเผยข้อมูลด้ วยการลงข่าวให้ประชาชนรั บทราบและถือเป็นสถิติเพื่อให้ เห็นความสำคัญของกลไกและสร้ างการเรียนรู้เท่าทันสื่อไปในตั ว
เมื่อย้อนกลับมาดููประเทศในภูมิ
กรณีของประเทศไทย ขณะที่สื่อถููกวิพากษ์ ความบกพร่องของสื่อก็กลายเป็นข้ ออ้างให้รัฐเข้ามาจัดการปัญหาด้ วยการผลักดันร่างกฎหมายคุ้ มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิ ชาชีพสื่อมวลชน ซึ่งขัดกับหลักการพื้นฐานที่ กำหนดว่า กลไกกำกับดูแลสื่อต้องสอดคล้ องกับกระบวนการตามครรลองประชาธิ ปไตย ไม่ใช่ใช้อำนาจรัฐเข้าจัดการ เพราะนอกจากจะทำให้การปฏิรูปสื่ อที่เคยริเริ่มไว้ตั้งแต่รั ฐธรรมนูญฉบับประชาชนปี 2540 เสียเปล่า หรือถอยหลังไป 20 ปี มันยังสวนทางกับการกลับเข้าสู่ สังคมประชาธิปไตยซึ่งรัฐบาลรั ฐประหารของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาใช้อ้างอยู่เสมอ
บางประเทศ เช่น อินโดนีเซีย กลุ่มสื่อวิชาชีพเป็นฝ่ายผลักดั นให้มีกฎหมายเพื่อรับรองการมี อยู่ของกลไกการกำกับดูแลกันเอง (legal entity) ซึ่งยังคงรูปแบบให้สื่อดูแลกั นเอง (self regulatory body) ผ่านสภาการหนังสือพิมพ์ ไม่มีตัวแทนภาครัฐหรือแต่งตั้ งจากภาครัฐอยู่ในสภาการหนังสื อพิมพ์ สื่อเป็นผู้ กำหนดมาตรฐานกลางทางจริ ยธรรมและวิชาชีพสื่อ คอยตรวจสอบว่าเพื่อนร่วมวิชาชี พทำตามมาตรฐานเหล่านั้นหรือไม่ เพื่อให้ประชาชนทีได้รับความเสี ยหายจากการทำหน้าที่ของสื่อได้ รับความเป็นธรรม และมีหน้าทีส่งเสริมและคุุ้ มครองสิทธิเสรีภาพสื่อ
ทั้งนี้ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉี ยงใต้ นอกจากอินโดนีเซียแล้ว เมียนมาร์เป็นอีกประเทศหนึ่งที่ มีกฎหมายกำหนดให้มีการกำกับดู แลกันเอง กฎหมายกำหนดให้มีสภาวิชาชีพสื่ อเพื่อบังคับให้กระบวนการไต่ สวนคำร้องเรียนเกิดขึ้นอย่างมี ประสิทธิภาพและจริงจัง ส่วนฟิลิปปินส์เป็ นประเทศแรกในภูมิภาคที่ใช้วิธี กำกับดูแลกันเองแบบสมั ครใจโดยไม่มีกฎหมายรับรอง ตามด้วยประเทศไทย
ความมีเสถียรภาพและความเป็นอิ สระทางการเงิน (fiscal autonomy) จะช่วยให้การทำงานของสภาวิชาชี พสื่อเป็นอิสระและป้องกั นการแทรกแซงจากอำนาจรั ฐและอำนาจทุน บางประเทศ เช่น อินโดนีเซีย เมียนมาร์ และติมอร์ตะวันออก มีกฎหมายระบุให้รัฐจัดสรรเงิ นเพื่ออุดหนุนการบริหารงานสภาวิ ชาชีพสื่อ แต่เงินจำนวนนั้นอาจไม่ครอบคลุ มการทำงาน ยังต้องอาศัยการลงขันจากธุรกิ จสื่อและประชาสังคมเพื่อให้เงิ นอุดหนุนสภาสื่อในการทำหน้าที่
สื่อจริง สื่อปลอม ระบบสมาชิกและใบอนุญาต
หลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉี ยงใต้เริ่มใช้การ “จัดระเบียบ” ด้วยการใช้ระบบ “ออกใบอนุญาต” สำหรับวิชาชีพสื่อ เช่นในอินโดนีเซียที่สภาการหนั งสือพิมพ์่สามารถออกใบรับรองว่า คนทำงานคนหนึ่งเป็นสื่อที่ผ่ านการตรวจสอบมาตรฐานทางวิชาชีพ (professional standard) หรือเป็นผู้สื่อข่าวที่ผ่ านการทดสอบความสามารถทางวิชาชีพ (competency test) ระบบนี้คล้ายกับสภาการหนังสือพิ มพ์ของติมอร์ตะวันออกซึ่งเป็นน้ องใหม่่ล่าสุดในเอเชียตะวั นออกเฉียงใต้ ที่สภาสื่อจะออกใบรับรองการเป็ นสือมวลชน (ID card) โดยกำหนดให้นักข่าวต้องผ่ านการฝึกงานเป็นเวลา6-18 เดือนก่อนจึงจะสามารถสอบขอใบอนุ ญาตได้
หลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉี
อย่างไรก็ตาม การระบุว่าใครเป็นสื่อหรือไม่ ก็เป็นอันตรายต่อการใช้เสรี ภาพของประชาชนด้วยเช่นกัน เพราะผู้ทำหน้าที่สื่อไม่ว่ าจะอยู่บนแพลทฟอร์มไหน ย่อมต้องได้รับความคุ้ มครองบนมาตรฐานเดียวกัน และทำงานภายใต้หลักจริยธรรมสื่ อที่ไม่ต่างกัน
แต่ในสังคมที่ยังอยู่กับความขั ดแย้ง มักมีการกล่าวหาว่าการทำงานสื่ อนั้นๆ อาจสมประโยชน์กับซีกการเมืองเพี ยงแค่บางกลุ่ม แต่เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่ปั ญหาใหญ่ในโลกเสรี ดังกรณีของฟินเลนด์ที่สื่ อการเมืองเข้ามาเป็นสมาชิ กสภาการหนังสือพิมพ์ได้ เพียงทุกคนต้องยึดมาตรฐานทางจริ ยธรรมเดียวกัน
คดีฟ้องสื่อ เรื่องคลาสสิคที่เกิดขึ้นทั่ วโลก
ในประเด็นของการฟ้องคดีต่อสื่อ ที่สวีเดนมีกฎหมายห้ามนายกรั ฐมนตรีและบริษัททางธุรกิจฟ้องร้ องสื่อ เพราะถือว่าสื่อมีบทบาทสำคั ญในการตรวจสอบความโปร่งใสของรั ฐบาล และช่วยกำจัดปัญหาคอร์รัปชั่ นในราชการและธุรกิจ ซึ่งสื่อมวลชนที่ปฎิบัติหน้าที่ ตามกรอบจริยธรรมก็จะได้รั บความคุ้มครองอย่างเต็มที่
ในประเด็นของการฟ้องคดีต่อสื่อ ที่สวีเดนมีกฎหมายห้ามนายกรั
ในกรณีของสวีเดนและฟินแลนด์ ถ้าผู้ร้องเรียนสื่อ สภาการหนังสือพิมพ์มีหน้าที่พิ จารณา และจะมีการทำความตกลงกันก่อนว่ าจะไม่ไปฟ้องร้องคดึในศาล ในกรณีของอินโดนี่เซียก็เช่นกัน สภาการหนังสื่อพิมพเป็นองค์กรที่ กฎหมายรับรอง แต่มีความเป็นอิสระในการทำหน้ าที มีการพัฒนาและปรับปรุ งกลไกการกำกับดูแลกันเองให้มี ประสิทธิภาพมากขึ้น เช่นมีการลงนามในข้อตกลงร่วมกั บตำรวจที่ว่า หากมีคดีฟ้องสื่อ ก็ให้โอนมาให้สภาการหนังสื่อพิ มพ์เป็นผู้พิจารณาไกล่เกลี่ย มีการออกจริยธรรมของสื่อออนไลน์
ส่วนกรณีของพม่า ซึ่งสภาการหนังสือพิมพ์ตั้งขึ้ นได้ไม่ถึงสองปี และกำลังถูกท้าทายจากอำนาจรัฐ โดยกฎหมายสื่อมวลชนของเมียนมาร์ ไม่ได้ระบุุชัดให้ใช้ช่องทางเดี ยวในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่ างผู้เสียหายกับสื่อ จึงเปิดโอกาสให้มีการฟ้องร้ องในศาลได้อีกทาง ซึ่งเมื่อคดีเข้าสู่ กระบวนการศาล แล้ว สภาการหนังสือพิมพ์จะเข้าไปยุ่ งเก่ี่ยวไม่ได้
อย่างไรก็ดี ปรากฏว่า อัตราการฟ้องหมิ่นประมาทออนไลน์ ในอินโดนีเซียเพิ่มสููงขึ้นทุกๆ ปี โดยคดีส่วนใหญ่เกิดขึ้นกับคนทั่ วไปที่ใช้สื่อ ไม่ใช่สื่ออาชีพ คล้ายกันที่เมียนมาร์ซึ่งมีคดี มากขึ้น หลังพรรคเอ็นแอลดีของนางออง ซาน ซูจี ชนะการเลือกตั้งเมื่อปีเดือนพย. ปีพ.ศ.2558 และมีกรณีหนังสือพิมพ์ทีมี กรอบออนไลน์ถูกฟ้องเพิ่มสูงขึ้ นโดยใช้กฎหมายโทรคมนาคมฉบับใหม่ ที่ควบคุมเนื้อหาที่เผยแพร่ ทางอินเทอร์เน็ต และมีบทลงโทษสูง
เฮทสปีช ข่าวปลอม ความท้าทายของสื่อสมัยใหม่
การกำกับดูแลกันเองของสื่ อมวลชนในสังคมประชาธิปไตยทั่ วโลกล้วนประสบปัญหาในการคุุ้ มครองเสรีภาพสื่อบนความรับผิ ดชอบและจริยธรรม และเสรีภาพในการรับรู้ข้อมูลข่ าวสารของประชาชน ท่ามกลางสภาพทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมที่มีข้อจำกัดมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาครัฐและนั กการเมืองจ้องหาโอกาสที่จะใช้ข้ ออ้างความมั่่นคง การรักษาความสงบและศีลธรรมอันดี ของประชาชนเพื่อเข้ามาควบคุมสื่ อ
การกำกับดูแลกันเองของสื่
ในฟินแลนด์ มีกระแสการต่อต้านผู้ อพยพและคนเข้าเมืองโดยใช้พื้นที่ ออนไลน์และสื่อสังคมออนไลน์ ในการสื่อสาร และสร้างเฮทสปีช (hate speech) มีเว็บไซต์ “ข่าวปลอม” เพิ่มมากขึ้น อีเลน่า กรุนสตรัม (Elina Grundström)ประธานสภาการหนังพิ มพ์ของฟินแลนด์กล่าวว่า แทนที่จะไปตามปิด ต้องทำให้สื่อมวลชนเข้มแข็ งในเรืองจริยธรรม มีการตรวจสอบข่าวข้อมูลอย่างมี ประสิทธิภาพก่อนออกข่าว ซึ่งเป็นวิธีการสร้างความน่าเชื อถือ ส่วนเนื้อหาเหล่านั้นก็ไม่ต้ องไปให้ความสนใจ
อิเลน่ายังกล่าวด้วยว่า จริยธรรมสื่อเป็นเรืองที่ต้องบ่ มเพาะมาจากจิตสำนึกข้างในของผูั สื่อข่าว ถ้าผู่้สื่อข่าวปฎิบัตหน้าที่ิ โดยชอบจะเป็นเกราะป้องกันตนเอง ท่ามกลางสังคมที่ไม่สนใจข้อเท็ จจริง และกรณีของสวีเดน อูเล เวสต์เปอรี (Olle Wästberg) อดีตบรรณาธิการบริหารของหนังสื อพิมพ์ Expresssen และอดีตผู้อำนวยการสถาบัน Swedish Instituteกล่าวว่า ต้องทำให้ประชาชนเห็นชัดว่า การทำหน้าที่สืออย่างเคร่งครั ดนั้้นแตกต่างจากการการใช้เสรี ภาพออนไลน์ทั่วไปของบุุคคลทั่ วไป และการไปตามปิดช่องทางการสื่ อสารต่าง ถือเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อเสรี ภาพในการแสดงออกของประชาชน และรัฐก็คงไม่สามารถไปตามปิดได้ ท้ั้งหมด
ด้านสตัฟฟาน แฮร์สเติร์ม (Staffan Herrström) เอกอัครราชทูตสวี เดนประจำประเทศไทย เห็นว่า แม้ในยุคที่หัวข้อข่าวถู กครอบงำโดยข่าวของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา แต่หลักพื้นฐานอย่างเรื่องสิทธิ ในการเผยแพร่ข่าวสาร สิทธิในการรับรู้ข่าวสาร การต่อต้านการเซ็นเซอร์ รวมถึงหลักพื้นฐานที่ห้ามไม่ให้ เอาตัวนักข่าวไปดำเนินคดี ยังคงเป็นหลักสำคัญที่ต้องยึดถื อเสมอทั้งนี้ ต้องส่งเสริมให้สื่อมวลชนกำกั บดูแลกันเองอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการกำกับดูแลกันเองไม่ใช่ การเซ็นเซอร์ตัวเอง
“สื่ออาจจะดีหรือแย่ ก็ยังต้องมีเสรีภาพ เพราะถ้าไม่มีเสรีภาพสื่อ สังคมก็จะไม่เหลื ออะไรเลยนอกจากเรื่องแย่ๆ” ทูตสวีเดนกล่าว
หมายเหตุ: เผยแพร่ครั้งแรกที่ https:// www.seapa.org/ protectingmediaindividedworld/
แสดงความคิดเห็น