
Posted: 08 Jan 2018 06:06 PM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)
"ประชาธิปไตยที่ไม่มีธรรมะ คือหายนะมวลรวมประชาชาติ" พระภิกษุผู้มีชื่อเสียงรูปหนึ่ งเพิ่งโพสต์ลงฟบ.ของท่าน หลายคนคงนึกถามว่า "แล้วเผด็จการล่ะ?" ระบอบปกครองอะไรก็ตามที่เปิดให้ คนคนเดียว หรือกลุ่มเดียว ใช้อำนาจเด็ ดขาดโดยปราศจากการตรวจสอบต่ อรองจากใครทั้งสิ้น ยิ่งต้องการธรรมะหรือเครื่ องเหนี่ยวรั้งทางใจเสียยิ่งกว่ าระบอบประชาธิปไตยเป็นไหนๆ ทำไมถึงไม่เตือนผู้นิยมเผด็จการ กลับมาเตือนผู้นิยมประชาธิ ปไตยอยู่ฝ่ายเดียว
คำถามเดียวกันนี้สามารถใช้กั บคำกล่าวของพระภิกษุอีกท่านหนึ่ ง ซึ่งแม้มรณภาพไปแล้ว ยังมีชื่อเสียงมากกว่ารูปแรกอี กซ้ำ คำกล่าวของท่านมีว่า "เมื่อไม่มีศีลธรรมเป็นพื้ นฐานแล้ว ระบบประชาธิปไตยนั่นแหละเป็ นระบบที่เลวร้ายที่สุด"
อันที่จริงไม่ว่าระบบอะไรก็ต้ องการศีลธรรมเป็นพื้นฐานทั้งสิ้ น โดยเฉพาะระบบที่ยกอำนาจให้คนๆ เดียวหรือกลุ่มเดียว หากไร้ศีลธรรมเป็นพื้นฐานแล้วย่ อมเป็นระบบที่เลวร้ายกว่ าประชาธิปไตยแน่
จะว่าคนไทยอยากเป็นประชาธิ ปไตยนัก จึงต้องเตือนไว้ก่อน ก็ฟังไม่ขึ้นนัก นับตั้งแต่ 24 มิ.ย. 2475 จนถึงปัจจุบัน เราตกอยู่ใต้อำนาจของระบอบที่ เป็นประชาธิปไตยไม่เต็มใบ หรือระบอบเผด็จการทหาร มากเสียยิ่งกว่าได้ลิ้ มรสประชาธิปไตยจริงอย่างเทียบกั นไม่ได้ หากจะเตือนอะไรใครล่ะก็ ไม่มีใครต้องเตือนมากไปกว่ าจอมพลหรือนายพลที่ใช้อำนาจขึ้ นไปนั่งบนหัวประชาชน และคำเตือนอะไรก็ไม่เหมาะไปกว่ าคำเตือนที่อาจกำกับหรื อรอนอำนาจอันไร้ขีดจำกั ดของคนเหล่านั้น
เว้นไว้แต่"ธรรมะ"และ"ศีลธรรม" ในเมืองไทย ไม่ได้ตั้งอยู่บนความเป็นจริ งทางสังคม, เศรษฐกิจ, และการเมืองของไทยเลย และนี่แหละคือประเด็นสำคัญอี กอย่างหนึ่งที่ทำให้ประชาธิ ปไตยไทยไม่อาจตั้งมั่นขึ้นได้สั กที และจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม พระไทยนั่นแหละคือผู้สนับสนุ นเผด็จการที่เหนียวแน่นที่สุ ดกลุ่มหนึ่ง
"ธรรมะ"หรือ"ศีลธรรม"ที่หมายถึ งคืออะไรกันแน่ หากหมายถึงธรรมะและศีลธรรมของพุ ทธศาสนาเถรวาทแบบไทย ก็เห็นจะไม่ใช่แล้วละ ในสังคมประชาธิปไตยอื่นๆ อีกมากในโลก เขาก็อยู่กันโดยสงบสุขมาได้ โดยไม่ได้มีธรรมะและศี ลธรรมของพุทธเถรวาทแบบไทย
ที่น่าสนใจกว่านั้นก็คือ ธรรมะหรือศี ลธรรมของประเทศประชาธิปไตยเหล่ านั้นล้วนไม่เป็นธรรมะหรือศี ลธรรมของศาสนาใดทั้งสิ้น เพราะส่วนใหญ่ล้วนประกาศตนเป็ นรัฐฆราวาส คือความเชื่อทางศาสนาก็ตาม การจัดองค์กรทางศาสนาก็ตาม ฯลฯ เป็นเสรีภาพของบุคคล ซึ่งรัฐไม่อาจเข้าไปแทรกแซงได้ นอกจากปกป้องเสรีภาพนั้นไว้อย่ างเต็มที่
พระไทยอาจกล่าวว่า แม้ไม่เกี่ยวกับศาสนา แต่โลกเราก็มี"ธรรมะ"และ"ศี ลธรรม"อันเป็นสากล ซึ่งบางอย่างก็ตรงกับธรรมะและศี ลธรรมทางศาสนา สมมติว่าเราเห็นด้วยว่ามีศี ลธรรมที่เป็นสากลจริง ทำไมพระไทยไม่เคยสอนศีลธรรมเหล่ านี้บ้าง เช่นความเสมอภาคระหว่างเพศ, ความเท่าเทียมของคน ไม่แต่เพียงเพราะต่างมีศั กยภาพจะบรรลุพระนิพพานได้เท่านั้ น แต่ควรเข้าถึงอาหารที่ดี และปลอดภัยเหมือนกัน, การศึกษาที่ดีเหมือนกัน, การรักษาพยาบาลที่ดีเหมือนกัน, มีเวลาและโอกาสที่ จะแสวงหาความสุขในชีวิตได้เหมื อนกัน, ฯลฯ หรือเสรีภาพในการนับถือศาสนา, แสดงความคิดเห็น, เดินทาง, ประกอบการทางเศรษฐกิจ, เป็นสมาชิกขององค์กร, และเสรีภาพด้านอื่นๆ อีกหลายอย่างที่คนบางกลุ่มเชื่ อว่าเป็นศีลธรรมหรือคุณค่าอั นเป็นสากลของโลกปัจจุบัน
นอกจากพระไทยไม่สอนหรือไม่พู ดเรื่องเหล่านี้แล้ว ท่านยังมักเฉยเมยหรือบางครั้งถึ งกับสนับสนุนการล่วงละเมิดศี ลธรรมอันเป็นสากลเหล่านี้ด้วยซ้ำ (โดยส่วนตัวซึ่งอาจผิด ผมเชื่อว่าเราสามารถกลมกลื นเอาคุณค่าที่ควรเป็นสากลเช่นนี้ เข้ามาในพุทธธรรมได้ด้วย ซึ่งนักคิดชาวพุทธไทยไม่เคยทำ) พระท่านเคยสังเกตหรือไม่ว่า นักบวชหรือผู้นำทางศาสนาของเกื อบทุกสังคมในเอเชียตะวันออกเฉี ยงใต้ ล้วนเคยมีบทบาทออกมาต่อสู้กั บความไม่เป็นธรรมต่างๆ ในประเทศของตนเอง เพื่อฟื้นฟูเอกราชของชาติบ้าง ประชาธิปไตยบ้าง เสรีภาพในการนับถือศาสนาบ้าง ยับยั้งอำนาจเผด็จการบ้าง ฯลฯ แต่พระไทยไม่เคยเคลื่ อนไหวอะไรในเรื่องเหล่านี้เลย
ที่พูดนี้ไม่ได้ต้องการให้ พระเป็นผู้นำการเดินขบวน แต่ต้องการชี้ให้เห็นว่านั กบวชหรือผู้นำทางศาสนาของโลกปั จจุบัน ไม่ว่าจะที่ไหนก็ตาม ต้องเผชิญกับ"ธรรมะ-ศีลธรรม" ใหม่ที่อาจไม่ตรงกับ"ธรรมะ-ศี ลธรรม"ทางศาสนานัก กลายเป็นปัญหาที่ต้องกลมกลืนเข้ าหากัน หรือวางจุดยืนทางศาสนาของตนให้ ตั้งอยู่ได้ในสถานการณ์ทางศี ลธรรมซึ่งเปลี่ยนไปของโลกปัจจุ บัน
โดยสรุปก็คือ"ธรรมะ-ศีลธรรม"ที่ พระไทยใช้ในคำกล่าวเพื่ อทอนความสำคัญของประชาธิปไตยนั้ น ไม่เพียงพอเสียแล้ว เพราะเป็นธรรมะ-ศีลธรรมของพุ ทธลุ่นๆ โดยไม่ได้ผนวกกลืนเอาศี ลธรรมของประชาธิปไตยลงไว้ด้ วยเลย
ประชาธิปไตยมีศีลธรรมของตนเองที่ ไม่เกี่ยวกับศาสนา นักการเมืองในระบอบนี้ไม่ได้รั บผิดชอบกับพระเจ้าหรือสวรรค์ นรกที่ไหน แต่ต้องรับผิดชอบต่อประชาชน เขาจะมีศีลธรรมทางศาสนาหรือไม่ ก็ตาม ตราบเท่าที่ประชาชนเห็นว่ าเขาเป็นตัวแทนที่ดีของตน เขาก็ยังได้รับเลือกตั้งสืบมา
ดังนั้นเสรีภาพในการเสนอและรั บข่าวสารข้อมูลจึงเป็นศีลธรรมพื้ นฐานของประชาธิปไตย เพราะด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่ ประชาชนจะสามารถตรวจสอบตั วแทนของเขาได้ ตรวจสอบแล้วเห็นว่าไม่น่าพอใจ ประชาชนก็ต้องมีเสรีภาพในการจั ดองค์กรและเคลื่อนไหวทางการเมื องเพื่อให้มีผลต่อรัฐบาลและนั กการเมืองได้ เสรีภาพด้านนี้ก็เป็นศีลธรรมพื้ นฐานอีกอย่างของประชาธิปไตย ซึ่งจะล่วงละเมิดมิได้... คิดไปเถิด จะเห็นได้เองว่าประชาธิปไตยมี" ธรรมะ-ศีลธรรม"ที่สลับซับซ้ อนและจำนวนมากเหมือนกัน ซึ่งไม่อาจทดแทนได้ด้วย"ธรรมะ- ศีลธรรม"ของพระพุทธศาสนา
พระจะพูดถึงประชาธิ ปไตยโดยละเลยต่อศีลธรรมประชาธิ ปไตยไม่ได้ อย่าลืมว่ากิจกรรมที่มนุษย์ต้ องกระทำต่อคนอื่น ล้วนมีศีลธรรมกำกับทั้งสิ้น และไม่จำเป็นว่าศีลธรรมนั้นจะต้ องตรงกับศาสนาเสมอไป ผู้ที่ได้รับยกย่องเป็น" ธรรมราชา"ในอดีต จำเป็นต้องฆ่าคนก็ฆ่า (ปาณาติบาต) จำเป็นต้องจำขังคนก็จำขัง (ขาดเมตตา) จำเป็นต้องริบราชบาทว์ก็ริบ (อทินนาทาน) ไม่อย่างนั้นจะปกครองบ้านเมื องให้สงบสุข พอที่ผู้คนจะปฏิบัติธรรมได้อย่ างไร
เพราะละเลยต่อศีลธรรมของประชาธิ ปไตยเช่นนี้แหละ ที่ทำให้พระไทยเป็นปราการอันแข็ งแกร่งให้แก่ระบอบเผด็จการรู ปแบบต่างๆ ในเมืองไทยตลอดมา
ที่น่าเศร้าไม่น้อยไปกว่าพระภิ กษุก็คือ แนวคิดด้านสังคมของไทยที่อิงกั บหลักพุทธธรรม ดูจะเอื้อต่อระบอบเผด็ จการและเป็นปฏิปักษ์ต่อประชาธิ ปไตยเสมอ เช่นทฤษฎีให้อำนาจแก่คนดี หรือสังคมสงบสุขที่ทุกคนเพี ยงทำหน้าที่ของตนเอง หรือบทบาท หน้าที่และสิทธิ ล้วนมาจาก"อัตภาพ" หรือ"เสถียรภาพ"คือความไม่เปลี่ ยนแปลงใดๆ หรือ"ระเบียบ"ทางสังคมย่อมตั้ งอยู่บนฐานของช่วงชั้น
แม้แต่แนวคิดที่ไม่ได้อ้างหลั กพุทธธรรมโดยตรง แต่อิงกับหลักความสามัคคีแบบพุ ทธไทย ก็มีส่วนเอื้อให้แก่ระบอบเผด็ จการ เช่นทฤษฎีสามเหลี่ยมเขยื้อนภู เขา (ซึ่งกลายเป็นประชารัฐในปัจจุบั น) เพราะสามด้านของสามเหลี่ยมคือรั ฐ-เอกชน-ประชาชนถูกเสนอให้ ประหนึ่งเป็นเนื้อเดียวกันหมด ในขณะที่ในความเป็นจริง ใครๆ ก็รู้ดีว่า ที่เราเรียกว่า"รัฐ"นั้ นประกอบด้วยหน่วยงานจำนวนมากที่ ขัดแย้งกันเอง และแย่งอำนาจกันเอง จนไม่สามารถประสานงานกั นทำอะไรได้สักอย่าง ที่เรียกว่าเอกชนหรือภาคธุรกิจ ยิ่งแข่งขันกันอย่างหนัก ซ้ำเป็นการแข่งขันที่ไม่สร้ างสรรค์ด้วย เพราะไม่ได้อาศัยการพัฒนาเป็ นเครื่องมือในการแข่งขัน แต่อาศัยการเข้าถึง"เส้น"ด้วยวิ ธีต่างๆ เพื่อชิงข้อได้เปรียบจากอำนาจรั ฐ ส่วนประชาชนไทยไม่ได้เป็ นชาวนาขนาดเล็กที่ผลิตเพื่อเลี้ ยงตนเองอีกแล้ว แต่เข้าสู่ตลาดด้วยบทบาทที่ แตกต่างหลากหลาย และขัดแย้งกันเอง
หากมองจากความเป็นจริง สามเหลี่ยมเดียวที่อาจเขยื้อนภู เขาได้คือประชาธิปไตย ซึ่งเปิดให้ความขัดแย้งปรากฏเป็ นสาธารณะ แต่ต้องอยู่ภายใต้กติกาที่ไม่ ใช้ความรุนแรง แต่สามด้านที่ไม่มีความขัดแย้ งภายในหันหน้ามาร่วมมือกันด้ วยความสามัคคีคือภาพของนิ ทานชาดก ซึ่งต้องมีพระโพธิสัตว์มากำกั บด้วยธรรมะ-ศีลธรรมเท่านั้น
โดยสรุปก็คือ พุทธธรรมถูกใช้ในเมืองไทยโดยไม่ วางอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริ ง ทั้งพระและฆราวาสช่วยกันวางท้ องเรื่องของปัจจุบั นและอนาคตของไทย เหมือนเป็นชาดกนอกนิบาตอีกเรื่ องหนึ่ง (หรือหลายเรื่อง) แต่ละเรื่องล้วนเอื้อให้ ระบอบเผด็จการรูปแบบต่างๆ ดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงในสังคม และทำให้นักประชาธิปไตยกลายเป็ นคนบาปหรือคนพาล (คนโง่)
พุทธศาสนาซึ่งเป็นศาสนาของเจ้ าชายที่มีกำเนิดในรัฐที่เป็ นสาธารณรัฐ กลับถูกนักปราชญ์ไทยทำให้ กลายเป็นฝ่ายตรงข้ามกับประชาธิ ปไตยไปอย่างมั่นคงแน่นอน
แสดงความคิดเห็น