ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์

ดงพญาไฟ คือ “ประตูสู่นรก” เมื่อกว่าศตวรรษที่ผ่านมาขึ้นไป


ในวันนี้ เราได้ยินแต่เรื่องเล่าว่าเมื่อก่อนขุนเขาและป่าที่กั้นระหว่างสระบุรี ภาคกลาง กับโคราช ที่ราบสูงอีสานนั้น คือป่าที่เต็มไปด้วยอันตรายและยากลำบาก

แต่ก็ยังเป็นเส้นทางที่เหล่านายฮ้อยนักต้อนวัวควาย นำลงไปขายที่เมืองสระบุรีหรืออยุธยาเมื่อก่อน

เป็นเส้นทางที่เกวียนไม่สามารถใช้ได้ หากจะใช้เกวียนจะต้องไปใช้เส้นทางอื่นๆ ที่สามารถผ่านเขาพนมดงเร็กได้ เช่น ช่องตะโก ที่ด้านตาพระยา เชื่อมไปยังละหานทราย บุรีรัมย์ หรือช่องตาเมือน หรือช่องจอม เข้าสู่สุรินทร์ บุรีรัมย์

แต่ถ้าต้องการเดินทางไปมาระหว่างโคราชกับสระบุรีให้เร็วที่สุด ก็ต้องช่องทางผ่านดงพญาไฟนี้เท่านั้น

ความอันตรายและยากลำบากของเส้นดงพญาไฟว่าเป็นอย่างไร รายละเอียดนั้นแทบไม่มีใครสามารถบอกเล่าได้อย่างชัดเจนเห็นรูปธรรมมาก่อน

กระทั่ง เมื่ออ่านพบในบันทึกการเดินทางของอองรี มูโอต์ ชาวฝรั่งเศส นักธรรมชาติวิทยาผู้คลั่งไคล้ศึกษาพืชสัตว์ ที่ได้เดินทางมายังประเทศสยามไทยเมื่อปี 2401 หรือ 160 ปีมาแล้ว

ได้เดินทางไปยังหลายเมืองในไทย ทั้งบางกอก อยุธยา สระบุรี เพชรบุรี จันทบุรี ปราจีนบุรี โคราช ชัยภูมิ เลย เข้าไปเที่ยวในกัมพูชา เวียดนามใต้ และลาว

อองรี มูโอต์ได้ชื่อเสียงจากบันทึกการเดินทางของตน ที่พิมพ์เป็นภาษาฝรั่งเศสครั้งแรกปี 2406 ปีต่อมาแปลเป็นภาษาอังกฤษ 2407

บันทึกการเดินทางนี้ได้รับการยกย่องว่าเขียนพรรณนาและสเก็ตช์ภาพที่โดนใจกระทั่งได้ชื่อว่าเป็นผู้ค้นพบนครวัดนครธม และสร้างแรงจูงใจให้ชาวตะวันตกหลั่งไหลมายังดินแดนนี้ตลอดศตวรรษที่ผ่านมา

งานบันทึกของอองรี มูโอต์มีเรื่องเกี่ยวกับไทยมากมาย มากยิ่งกว่าเกี่ยวกับกัมพูชา นครวัดนครธม แต่เราแทบไม่ได้อ่านหรือรู้จักงานของเขามากนัก

แม้จะมีการแปลบางส่วนออกมา แต่หนังสือเหล่านั้นก็ยากจะเข้าถึง กระทั่งมีการแปลทั้งหมดทั้งเล่มเป็นไทยเมื่อปี 2558 หรือ 154 ปีหลังการสิ้นชีวิตของมูโอต์ หรือ 152 ปีที่บันทึกการเดินทางของเขาได้พิมพ์ครั้งแรก

อองรี มูโอต์ เสียชีวิตที่หลวงพระบางด้วยโรคไข้เมื่อ 10 พฤศจิกายน 2404

ส่วนบันทึกการเดินทางของเขาได้ถูกส่งไปให้ภรรยาม่ายที่ฝรั่งเศส และกลายเป็นหนังสือที่ก้องโลกตลอดกว่าหนึ่งศตวรรษถึงวันนี้

เมื่อกล่าวถึงป่าดงพญาไฟ ในบันทึกของมูโอต์ พอเลยเขตเมืองสระบุรีมาทางตะวันออก เช่นพระพุทธบาท และแก่งคอย ก็นับเป็นส่วนหนึ่งของผืนป่านี้แล้ว

แต่ถ้าเน้นถึงภัยอันตรายจริงๆ ก็เป็นช่วงตั้งแต่แก่งคอย สระบุรี ผ่านหมวกเหล็ก ปากช่อง สีคิ้ว โคราช ถ้าคิดตามระยะทางของถนนมิตรภาพ ก็ราว 150 กิโลเมตรทีเดียว

มูโอต์และคณะเดินทางจากแก่งคอยไปโคราชผ่านดงพญาไฟใช้เวลา 10 วัน

10 วันอันตรายมากๆ

การเดินทางผ่านดงพญาไฟนี้ คนสยามคนลาวเมื่อ 160 ปีในบันทึกของมูโอต์ เรียกว่า "ประตูสู่นรก" ที่แต่ละคนรู้สึกดีใจที่รอดตายในแต่ละวัน จาก ไข้ป่า สัตว์ป่า และโจร

การเดินทางที่ดีต้องเป็นหน้าแล้งหน้าหนาว หากเดินทางหน้าฝน โอกาสตายเพราะไข้ป่ามีสูงมากทีเดียว

ผู้คนชาวสยามและชาวลาวจะต้องมีเครื่องรางเพื่อปกป้องภูตผีและสัตว์ร้าย มูโอต์ว่าคนแถวนี้มี เขี้ยวเสือและเขากวางเป็นเครื่องรางของขลัง

ในขบวนของมูโอต์ มีคนจีนสองคนร่วมเดินทางไปด้วย ที่น่าจะไปทำมาค้าขายที่โคราช ที่โคราชมีชุมชนชาวจีนทำการค้าขายขนาดใหญ่ในเมือง

ในแต่ละวันเมื่อตั้งแคมป์หยุดพักค้างแรม คนจีนจะดีอกดีใจมากที่ตนยังเป็นผู้รอดชีวิต จะทำพิธีบูชาจุดเทียน เซ่นอาหาร เผากระดาษทอง สวดมนต์ โปรยใบไม้ และปักธูปหอม

แต่เมื่อถึงโคราช คนจีนคนหนึ่งตายเพราะพิษไข้ อีกคนนั้นมูโอต์ช่วยไว้ทันโดยการให้กินยาควินิน

ไข้ป่าคือภูติร้ายที่สุดบนเส้นทางนรกป่าดงพญาไฟแห่งนี้ประมาณการว่าใน 10 คน รอดแปดเสียชีวิตสองคน

วัว เป็นสัตว์ที่ใช้บรรทุกสิ่งของบนหลังวัว คนเดินเท้า เพื่อผ่านประตูสู่นรกดงพญาไฟ ในช่วงข้ามเขาชันที่ไม่มีทางใช้เกวียนได้ วัวของขบวนมูโอต์ น่าจะหลายตัว เสียชีวิตเพราะหมดแรง ซึ้งต้องทิ้งไว้ให้เป็นอาหารของสัตว์ป่า

ในทุกวันที่เดินทางในดงพญาไฟเมื่อหนึ่งศตวรรษครึ่งที่ผ่านมานั้น มูโอต์บันทึกว่า เจอกองคาราวานมีวัว 80-100 ตัว บางกองถึง 200 ตัว นำสินค้าลงไปขายยังสระบุรี

สินค้าได้แก่ ขนหนังเลียงผา หนังกวาง หนังเสือดาว ผ้าไหมดิบจากลาวฝั่งตะวันออกแม่น้ำโขง ผ้านุ่งทอจากฝ้ายและไหม ขนนกยูง งาช้าง ฟันช้าง น้ำตาลแต่ไม่มาก สินค้านั้นรวมทั้งวัวที่บรรทุกของเหล่านี้ด้วย

การค้าและสินค้า ทำให้กองคาราวานต้องหาญกล้าฝ่าดง เพื่อความมั่งคั่ง จากความต้องการสินค้าแลกเปลี่ยนกันของสองฝั่งดินแดนที่มีดงพญาไฟขวางกั้น

ที่สีคิ้ว มูโอต์บันทึกว่า กษัตริย์แห่งบางกอกได้เลี้ยงฝูงวัวไว้ที่นี้กว่า 600 ตัว มูโอต์ไม่ได้ขยายความว่าเลี้ยงไว้ทำอะไร ไว้ขายเป็นเงินตรา หรือไว้ใช้ หรือไว้บริโภคในราชสำนัก

เมื่อสู่ที่ราบที่ดอนใกล้โคราช มูโอต์จึงสามารถเช่าเกวียนเดินทางและจ้างคนขับเกวียนชาวลาว แล้วนั่งเกวียนไปกันแทนการเดิน

ดงพญาไฟ เริ่มถูกทำลายชื่อเสียง เมื่อทางรถไฟตัดผ่านป่าเขานี้สำเร็จและเปิดเดินรถไฟเมื่อปลายปี 2443 หรืออีก 40 ปีหลังการเดินทางของมูโอต์

แม้ว่าขบวนต้อนวัวควายของนายฮ้อยยังคงมีอยู่ แต่สำหรับคนทั่วไปแล้ว การขึ้นรถไฟ ก็โบกมืออำลาชื่อเสียงของประตูสู่นรก ดงพญาไฟได้ เริ่มกลายเป็นดงพญาเย็น

เมื่อต้นปี 2500 ถนนมิตรภาพ จากสระบุรีถึงโคราช ด้วยการสนับสนุนทางการเงินและการก่อสร้างของสหรัฐได้สำเร็จ ดงพญาเย็นก็กลายเป็นแหล่งธรรมชาติที่มีป่าอุดมสมบูรณ์สวยงาม

ทศวรรษ 2500-2510 ในสมัยรัฐบาลทหาร จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จอมพลถนอม กิตติขจร ผืนป่าของดงพญาไฟก็ถูกแปลงเป็นแหล่งสัมปทานไม้ของภาครัฐ

ที่ดินป่าเสื่อมโทรมก็ให้มีการครอบครองเพื่อทำไร่ข้าวโพด และไร่มันสำปะหลัง เพื่อแปลงเป็นอาหารสัตว์ราคาถูกส่งให้ตลาดยุโรป

นี้แหละตำนานดงพญาไฟที่ดับมอดแล้ว

บรรยายโดย ดร.ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์

อ้างอิง
อ็องรี มูโอต์. บันทึกการเดินทางของอ็องรี มูโอต์ ในสยาม กัมพูชา ลาว และอินโดจีนตอนกลางส่วนอื่นๆ. กรรณิกา จรรย์แสง แปล. กรุงเทพฯ: ศิลปวัฒนธรรม มติชน, 2558. หน้า 333-349.

กัณฐิกา ศรีอุดม. ตามรอย อองรี มูโอต์ สู่นครวัด จันทบูร ไปหลวงพระบาง. TAYOO eBooks, 2018.
[right-side]

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.