Atukkit Sawangsuk

พวกหมอมักสอนคนไข้ อย่าใช้ยาแรงจะดื้อยา แต่พอมาถึงเรื่องการเมืองสังคม พวกหมอนี่ละ ชอบยาแรง

ผมต่อต้านยาแรงมาตลอด โดยเฉพาะเรื่องความยุติธรรม ตั้งแต่สมัยอยู่ไทยโพสต์ (ที่จริงเรียกได้ว่าเป็นจุดยืนไทยโพสต์ในยุคนั้น ที่อายุษเป็น บก.ข่าว) ตั้งแต่วิสามัญ 6 ศพ โจ ด่านช้าง, กรณีกะเหรี่ยงยึด รพ.ราชบุรี แล้วถูกยิงหัวตายเรียบ, ฆ่าตัดตอนยุคทักษิณ, อุ้มฆ่าภาคใต้ หรือแม้แต่การยึดรถเด็กแว้น โดยตีความว่าเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำผิด (นี่เริ่มยุคทักกี้นะครับ มีการพูดคุยร่วมกันระหว่างตำรวจ อัยการ ศาล เพื่อหามาตรการปราบแว้น)

คนที่นิยมยาแรง มักเป็นคนชั้นกลาง ที่เกิดมาก็มีวิถีชีวิตปกติสุข ไม่มองว่าปัญหาการเมืองสังคมมันมีที่มาซึ่งต้องแก้ด้วยเงื่อนไขทางภววิสัย แก้เชิงระบบ แก้ด้วยความยุติธรรม แต่สังคมไทยมีปัญหาหมักหมมจนคนไม่อดทน (ที่จริงตอนนี้ในหลายประเทศก็เหมือนกัน ปรากฏการณ์ดูเตอร์เต ปรากฏการณ์ทรัมพ์ เกิดเพราะคนอยากเห็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า)

ยาแรงทางการเมือง ทางความยุติธรรม มีเค้าลางมาตั้งแต่รัฐธรรมนูญ 40 ในการตั้งองค์กรอิสระ ให้อำนาจ งอกอำนาจ เช่น กกต.แจกใบแดง เพียงเพราะ "เชื่อได้ว่าทุจริต" ปปช.มีอำนาจประหารชีวิตข้าราชการทางวินัย ชี้มูลแล้วต้องไล่ออกสถานเดียว ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่เป็นศาลชั้นเดียว ใช้ระบบไต่สวน ยึดสำนวน ปปช.เป็นหลัก ก็เริ่มตั้งแต่ปี 40 การตั้ง ปปง.และ DSI ซึ่งเป็นหน่วยงานพิเศษที่มีอำนาจมาก

รัฐประหาร 49 ซึ่งได้แรงหนุนจากความเกลียดชังของคนชั้นกลาง ยิ่งมุ่งใช้ยาแรง เพียงแต่ตอนแรกยังใช้ทางการเมือง ใช้กับทักษิณ พรรคไทยรักไทย และข้าราชการที่เกี่ยวข้อง เพิ่มอำนาจ กกต. ปปช. ศาลรัฐธรรมนูญ ยุบพรรค ตัดสิทธิ เกิดคำพิพากษาคำวินิจฉัย 2 มาตรฐาน จนเละกันไปหมด รัฐประหาร 57 ยิ่งเกิดท่ามกลางความรู้สึกว่าสังคมนี้มันเลวร้ายมันโกงกันไปหมด ของคนชั้นกลาง ของพวกอนุรักษ์นิยม สิ่งที่เราเห็นจึงไม่ใช่แค่การกำจัดยิ่งลักษณ์ ทักษิณ เพื่อไทย แต่ยังมีการจัดระเบียบสังคม เพิ่มอำนาจให้องค์กรปราบปราม รวมศูนย์อำนาจสู่ส่วนกลาง ซึ่งไม่ใช่เล่นงานแค่ทักษิณ เพื่อไทย เท่านั้น แต่จะกระทบหมดทั้งข้าราชการ ท้องถื่น และเอกชน

ในบทความผมยกรูปธรรมหลายเรื่อง ที่ทำให้เห็นแนวโน้มการใช้ยาแรงอย่างน่ากลัว เช่นกรณีทัวร์ศูนย์เหรียญ พอโดนตั้งข้อหา "อั้งยี่" ปปง.ก็ยึดอายีดทรัพย์ 13,000 ล้าน โดยอัยการยังไม่สั่งฟ้อง ศาลยังไม่ตัดสิน แต่ไม่ต้องรอคำตัดสินแล้วครับ ไม่ว่าผลคดีเป็นไง บริษัทนี้เจ๊งไปแล้ว ศาลอาจสั่งว่าให้ยึดทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำผิด 1 พันล้าน แต่เจ๊งไปแล้วทั้ง 13,000 ล้าน ไม่คิดบ้างหรือว่าอำนาจ ปปง.แบบนี้มันน่ากลัว ถ้าใช้กลั่นแกล้งใครก็ง่ายมาก (อย่าลืมว่า DSI ก็เละไปแล้ว ตั้งแต่ยุค ปชป.เพื่อไทย ใช้ธาริต 2 หัว)

พอดีได้อ่าน ศ.กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ เขียนบทความลงมติชน ค้านเรื่องที่คลังเสนอแก้ประมวลรัษฎากร แค่ "เชื่อได้ว่า" หลีกเลี่ยงฉ้อโกงภาษี อธิบดีสรรพากรก็สามารถยึดอายัดทรัพย์ได้ชั่วคราว นี่ก็มาสูตรเดียวกันเลย "ยาแรง" ให้อำนาจใช้ดุลพินิจอย่างกว้างขวาง ไม่คิดบ้างหรือว่าวันข้างหน้าจะมีอธิบดีสรรพากรใช้อำนาจนี้ไปตบทรัพย์

ที่บ้าพอกันคือกฎหมายจัดซื้อจัดจ้าง ที่จะให้กรมบัญชีกลางควบคุมหมด เพิ่งเห็นด้วยกับสุรพล นิติไกรพจน์ ครั้งนี้ (ที่จริงสุรพลหันกลับมาเห็นหลักการ 55) ว่าการจัดซื้อจัดจ้างจะชะงักหมด เพราะข้าราชการจะกลัวไปหมด กับกฎหมายที่ร่างมาด้วยความเชื่อว่า มันโกงกันหมด

เช่นเดียวกับกฎหมาย 4 ชั่วโคตร ซึ่งพูดไปแล้วว่าเอามาตรา 100 ที่เคยตัดสินจำคุกทักษิณมาขยายกว้าง แล้วยังตั้งศาลทุจริต ระบบไต่สวน ยึดสำนวน ปปช. (แปลว่าใครโดน ปปช.ชี้มูลสั่งฟ้อง ศาลก็จะสันนิษฐานว่าเมริงผิดไว้ก่อน เมริงต้องเป็นฝ่ายแก้ต่าง ไม่เหมือนคดีอาญาทั่วไป อัยการต้องเป็นฝ่่ายพิสูจน์ ถ้าพิสูจน์ไม่ได้ไม่สิ้นสงสัยก็ยกประโยชน์ให้จำเลย)

ถ้าเดินหน้าไปอย่างนี้ มันจะเกิดระบอบบ้าจี้ เปรียบประเทศเป็นบริษัทก็คือบริษัทที่ฝ่ายบุคคลฝ่ายบัญชีเป็นใหญ่ กางระเบียบไล่จับผิดคนไปทั่ว จนไม่มีใครอยากทำงาน ซ้ำจะมีพวกแอบแฝงฉ้อฉลใช้อำนาจกลั่นแกล้งคนหาผลประโยชน์ แต่ขณะเดียวกันก็จะมีพวกไม่ทำงานทำการ เอาแต่จัดงานอีเวนท์ต้านโกงสอนศีลธรรม มาสร้างความรำคาญอีกต่างหาก

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.