มองคราฟต์เบียร์ไทยให้ไกลกว่า "ผิดกฎหมาย"
Posted: 28 Jan 2017 11:03 PM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เวบไซท์ประชาไท)
"กรณีจับกุมหนุ่มหมักเบียร์ผิดก ฎหมาย อ้าว เฮ้ย ไม่เข้าใจมันถามได้ยังไงวะเนี้ย ใครถามวะเนี้ย บัวใต้น้ำจริงๆ กรณีเจ้าหน้าที่จับหนุ่มหมักเบี ยร์ตัวเองผิดกฎหมาย มีการตั้งคำถามว่ากฎหมายให้ประโ ยชน์กับกลุ่มทุนมากไปหรือไม่ มันเกี่ยวกันตรงไหนวะ ฮะ แล้วเขาทำผิดกฎหมายหรือเปล่า ถ้าไม่ผิดกฎหมายก็เล่นงานเขาไม่ ได้ แล้วไอ้หมักเบียร์ตัวเองผิดกฎหม ายมั้ย ผิดมั้ย ถ้าผิดก็ดำเนินคดี ถ้าทางนู้นเขาผิดก็ดำเนินคดี เอามันกันแบบนี้ ผมว่าใช่ไม่ได้ คำถามแบบนี้"
นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กล่าวต่อหน้าสื่อมวลชน เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2560[1]
จากการตอบคำถามนักข่าวของนายกรั
แนวคิดเรื่องความยุติธรรมกับการ วางตัวต่อกฎหมาย
หลายคนอาจจะแปลกใจว่า ถ้าไม่เคารพกฎหมายแล้วบ้านเมือง จะอยู่อย่างไร สังคมคงไร้ระเบียบจนยากเกินจะจิ นตนาการหรือไม่ แต่การตั้งคำถามต่อกฎหมายอาจไม่ ใช่เรื่องแปลก เพราะหลักนิติรัฐที่พูดกันหาใช่ แค่สัตย์แต่ว่าเคารพต่อกฎหมาย สยบยอมต่อกฎหมาย แต่ใจความสำคัญคือ “ การเคารพกฎหมายที่เป็นธรรม”
ดังนั้นการวางตัวต่อกฎหมายจึงจำ เป็นต้องพิจารณาเรื่องฐานแนวคิ ดต่อความยุติธรรม ซึ่งสำนักสำคัญที่ส่งเสริมการตั้งคำถามก็คือ ‘แนวคิดธรรมชาตินิ ยม’ ที่เชื่อว่า ความยุติธรรมเป็นคุณค่าสากลที่ดำ รงอยู่คู่โลกและมนุษย์รับรู้ได้ ด้วยตัวเอง ดังนั้นรัฐต้องตรากฎหมายให้สอดค ล้องกับความยุติธรรมสากลนี้ หากกระทำตรงข้าม กฎหมายย่อมใช้ไม่ได้และคนในสังค มมีสิทธิจะฝ่าฝืน[2] อีกทั้ง การตั้งคำถามอาจจะช่วยป้องกันคว ามโหดร้ายทารุณในน้ำมือของกฎหมา ยได้อีกด้วย
ความจริงล้นเกินและการครอบงำการ ตั้งคำถาม
แม้ว่าการตั้งคำถามไม่ได้อาจจะส ะท้อนถึงสภาวะความไม่เป็นประชาธิ ปไตย แต่ในบางกรณีประเทศที่เป็นประชา ธิปไตยเองก็ถูกกล่อมเกลาให้ไม่ ตั้งคำถามได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญหน้ากับ "ความจริงล้นเกิน" ที่ถูกสร้างขึ้นและชี้นำให้คนมี ความเชื่ออย่างเกินจริง เช่น หากประชาชนยังปฏิบัติตนนอกลู่นอ กทางจากกฎเกณฑ์ของรัฐความสุขสงบ ของสังคมจะถูกบ่อนทำลายลง เป็นต้น ซึ่งปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดความจ ริงล้นเกินอาจจะพอมองได้ดังนี้
หนึ่ง ความเชื่อใจภายใต้รัฐสมัยใหม่ แม้ว่าประเทศไทยจะไม่ได้ปกครองใ นระบอบของรัฐที่เป็นสมัยใหม่นัก แต่โดยโครงสร้างแล้วก็ต้องถือว่ าฐานคิดของระเบียบการเมืองมีควา มเป็น ‘รัฐชาติ’ อันเป็นโครงสร้ างของรัฐสมัยใหม่ และประชาชนมีหน้าที่แลกเปลี่ยนค วามเชื่อใจในรูปของการเชื่อฟั งกับการได้รับการคุ้มครองโดยรัฐ แต่ปัญหาก็คือ เราคิดว่าการแลกเปลี่ยนดังกล่าว นั้นเท่าเทียม ทั้งที่รัฐกำลังใช้เครื่องมือต่ างๆ สร้างความจริงล้นเกินว่า ถ้าไม่เชื่อฟังรัฐความสุขสงบและ ไร้ระเบียบจะเกิดขึ้นกับสังคม และเมื่อคนกลัวมากเท่าไร รัฐก็ยิ่งใช้ประโยชน์ในการเรียก ร้องความเชื่อฟังได้มากขึ้นเท่ านั้น ดังนั้น ฐานคิดแบบนี้จึงไปสกัดกั้นการตั้งคำถามต่อตัวรัฐ หรือกฎหมายของรัฐด้วย
สอง เหตุผลเชิงศีลธรรม รัฐไม่ สามารถเรียกร้องความเชื่อใจโดยอ้ างความคุ้มครองอย่างพร่ำเพรื่ อได้ หากไม่มีหลังอิงเชิงคุณค่าที่ทำ ให้สังคมเชื่อโดยสนิดใจ เพราะการแค่การบังคับด้วบอำนาจแ ต่เพียงอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ ดังนั้น เหตุผลเชิงศีลธรรมจึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยสร้างความจริงล้น เกิน เพราะรัฐจะมีข้ออ้างโดยชอบธรรมว่ ากฎเกณฑ์ทั้งหมดมี ฐานมาจากความเชื่อในศีลธรรม และถ้าคนไม่เชื่อศีลธรรมเหล่านี้แล้วสังคมก็ต้องเผชิญหน้ากับควา มเสื่อมโทรม ถึงขนาดเจ้าของโรงผลิตเบียร์ยัง ออกมาโจมตีนักแสดงที่ถ่ายรูปกับ ขวดเบียร์เลยว่า “เป็นตัวอย่ างที่ไม่ดีของสังคม”
สาม การสร้างภาพจำลองของสื่อ เมื่ อพื้นฐานของประชาชนอยู่บนความไว้ วางใจต่อรัฐและรัฐมีเหตุผลเชิ งศีลธรรมในการชักจูงความเชื่อ บทบาทของสื่อก็คือการสร้างภาพจำ ลองที่สะท้อนถึงความไม่เป็ นระเบียบของสังคม เช่น ภาพโฆษณาของ สสส. ที่ผลิตแคมเปญ ‘จน-เครียด- กินเหล้า’ ที่โยงคุณภาพชีวิตกั บเหล้าเข้าด้วยกัน โดยทำให้เราอาจลืมไปว่าคนมีอันจ ะกินตั้งมากมายก็ล้วนแล้วแต่เคย ลิ้มรสแอลกอฮอล์มาแล้วทั้งสิ้น
ปัจจัยทั้งหมดเหล่านี้ จึงเป็นเครื่องมือสำคัญของรัฐใน การพยายามชักจูงประชาชนไม่ให้ตั้ งคำถามว่าทำไมถึงต้องมีการควบคุ มการผลิตเบียร์ โดยไม่เคยนำข้อเท็จจริงมากางว่า ประเทศที่ต้มเหล้าหมักเบียร์เอ งก็มีความศิวิไลซ์ได้เหมือนกัน อย่าง ญี่ปุ่น และล่าสุดคือังกฤษที่ออกมาสนับส นุนการทำคราฟต์เบียร์
ต้นทุนของการไม่ตั้งคำถามต่อกฎห มายคราฟต์เบียร์
หากบอกว่า เกือบ 60 เปอร์เซ็น ของส่วนแบ่งการตลาดเบียร์ไทยอยู่ในมือของเจ้าของเบียร์ที่ไทยแห่ งหนึ่ง และอีก 30-40 เปอร์เซ็นก็อยู่ ในมือเจ้าของเบียร์อีกเจ้าหนึ่ง คุณจะเริ่มมองเห็นแล้วใช่ไหมว่า การทำคราฟต์เบียร์กำลังส่งผลอย่ างไรต่อตลาดเบียร์หากมันได้รับค วามนิยม
แน่นอนว่า คราฟต์เบียร์ที่ได้รับความนิยมใ นไทยและมีเจ้าของในไทยก็มีอยู่ บ้าง แต่หลายแบรนด์หลายยี่ห้อกลับเลื อกจะผลิตที่ต่างประเทศและนำเข้า มาขายไทยพร้อมเสียภาษีเพราะกฎหม ายไม่เอื้อให้มีการผลิตเบียร์ ภายในประเทศ และการผลิตเบียร์ก็ผูกขาดอยู่ที่เจ้าของโรงงานไม่กี่ยี่ห้อซึ่งดำ เนินธุรกิจมาอย่างยาวนานในประเท ศ หากส่วนแบ่งตลาดเสียไป สิ่งที่ขาดหายก็คือรายได้ที่คงที่ มาเนิ่นนานกำลังถูกสั่นคลอนเท่ านั้นเอง
กล่าวโดยสรุปก็คือ สังคมควรจะรู้เท่าทัน "ความจริงล้นเกิน" หรือความจริงจำลองที่ถูกสร้างขึ้น ด้วยการลุกขึ้นมาตั้งคำถามต่อกฎ หมาย โดยไม่ต้องหวั่นกลัวว่านี่คือกา รทำลายขื่อแปของสังคม เพราะว่า เราต้องการอยู่ภายใต้กฎหมายที่เ ป็นธรรม มิเช่นนั้น การสยบยอมต่อกฎหมายจะกลายเป็นเค รื่องมือให้คนบางกลุ่มฉกฉวยผลปร ะโยชน์ไปใช้ และที่สำคัญการพยายามฉกฉวยนั้นก็ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่วงการคราฟต์ เบียร์อย่างแน่นอน
[2] วรเจตน์ ภาคีรัตน์. (2557). มายาคติว่าด้วยความยุติธรรม. ใน ถอดรื้อมายาคติ (หน้า 77).
แสดงความคิดเห็น