Posted: 11 Aug 2018 02:29 PM PDT (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท www.prachatai.com)
Submitted on Sun, 2018-08-12 04:29


รัฐมนตรีกระทรวงสิทธิมนุษยชนของเยเมนเขียนบทความเกี่ยวกับสถานการณ์สงครามกลางเมืองในประเทศตัวเอง ในขณะที่เยเมนมีการสู้รบกันระหว่างฝ่ายรัฐบาลกับกลุ่มหัวรุนแรง 2 กลุ่มคืออัลกออิดะฮ์และฮูตี วิพากษ์วิจารณ์ว่าปฏิบัติการของตะวันตกเองก็ส่งผลกระทบทำลายชีวิตของประชาชนทั่วไปที่ไม่มีส่วนในการสู้รบเช่นกัน เขาเสนอว่าประชาชนเยเมนมีความฝันอยากให้ประเทศเป็นประชาธิปไตยและเป็นประเทศที่ปลอดภัย จึงควรใช้วิธีส่งเสริมประชาธิปไตยและหลักนิติธรรมมากกว่า

11 ส.ค. 2561 โมฮัมเหม็ด อัชการ์ ผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงสิทธิมนุษยชนของเยเมนระบุว่าในช่วงที่เยเมนกำลังมีสงครามกลางเมืองที่ฝ่ายรัฐบาลกำลังสู้รบกับกลุ่มหัวรุนแรงสองกลุ่มคืออัลกออิดะฮ์และฮูตีนั้น งานของเขาคือต้องรับผิดชอบรักษาสิทธิขั้นพื้นฐานให้กับชาวเยเมนตามที่มีอยู่ในรัฐธรรมนูญ ในขณะที่ความขัดแย้งกับกลุ่มติดอาวุธทำให้ผู้คนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสู้รบเสียชีวิตไปแล้วหลายพันคน อัชการ์บอกว่าเขาก็ไม่อยากให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องต้องมาเสียชีวิตเพียงเพราะปฏิบัติการที่มาจากข่าวกรองแย่ๆ แต่มันก็เกิดขึ้นซ้ำๆ

โดยที่ อัชการ์ ยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของโฮไรดานเมื่อเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา ครอบครัวนี้กลายเป็นผู้พลัดถิ่นเมื่อกลุ่มกบฏฮูตีโจมตีหมู่บ้านของพวกเขา พวกเขาอพยพหนีไปอยู่ที่จังหวัดอัลจอวฟ์ที่ค่ายผู้พลัดถิ่นภายในประเทศซึ่งอยู่ในพื้นที่ควบคุมของรัฐบาลเยเมน แต่ในเดือน มี.ค. ครอบครัวนี้ทั้ง 8 คน รวมถึงเด็กอายุ 13 ปีกลับถูกสังหารโดยขีปนาวุธจากโดรนของสหรัฐฯ

อัชการ์เปิดเผยว่าทางการเยเมนได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีการโจมตีด้วยขีปนาวุธวันที่ 5 และ 8 มี.ค. ที่ผ่านมาโดยการสอบถามจากคนในพื้นที่ รวมถึงการรวบรวมถ้อยแถลงลงนามต่างๆ ข้อมูลเหล่านี้ระบุว่าผู้เสียชีวิตจากการโจมตีไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับกลุ่มอัลกออิดะฮ์เลย นอกจากนี้ยังมีการเก็บรวบรวมภาพวิดีโอที่มีครูของอาเมอร์ โฮไรดาน เด็กอายุ 13 ปี ที่เสียชีวิตว่าลูกศิษย์ของเขาเป็นเด็กดีมีครอบครัวเป็นชาวนาธรรมดาทั่วไป พวกเขาหนีตายจากความขัดแย้งในที่แห่งหนึ่งแต่ก็กลายเป็นเหยื่อจากการโจมตีของโดรนที่ถูกส่งมาจากพื้นที่ห่างออกไปหลายพันไมล์

อย่างไรก็ตามสมาชิกครอบครัวที่รอดชีวิตบอกว่ราพวกเขาไม่ได้ต้องการแก้แค้นในสิ่งที่เกิดขึ้นพวกเขาแค่ต้องการคำตอบและคำขอโทษ พวกเขาอยากรู้ว่าทำไมลูก, สามี, พ่อ และพี่ชายน้องชายของเขาต้องถูกสังหารด้วย พวกเขาต้องการให้คนที่เกี่ยวข้องกับการก่อเหตุยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง "ความโปร่งใสและการตรวจสอบได้เป็นสิ่งสำคัญที่จะแสดงให้ประชาชนเยเมนเห็นว่าพันธมิตรของพวกเราอย่างสหรัฐฯ ไม่ได้ปฏิบัติการแบบเดียวกับกลุ่มติดอาวุธฮูตีและอัลกออิดะฮ์" อัชการ์ระบุในบทความ

อัชการ์เปิดเผยว่าประชาชนในเยเมนเบื่อหน่ายสงครามและความทุกข์ยาก รวมถึงมีความหวังว่าจะเป็นประเทศที่มีประชาธิปไตยและเป็นประเทศที่ปลอดภัยกว่านี้ นั่นทำให้ประชาชนเยเมนไม่คล้อยตามคารมของกลุ่มก่อการร้ายอย่างอัลกออิดะฮ์ นอกจากนี้รัฐบาลเยเมนก็มีพันธกรณีในการต่อสู้เอาชนะกลุ่มก่อการร้ายแต่วิธีการชนะกลุ่มก่อการร้ายได้จะต้องมาจากการทำให้หลักนิติธรรมเข้มแข็งขึ้นไม่ใช่ทำลายหลักการนี้

อัชการ์วิจารณ์วิธีการของสหรัฐฯ ว่าการใช้โดรนโจมตีไม่ได้ทำให้ประเทศพวกเขาปลอดภัยขึ้น ถึงแม้ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะอ้างว่าทำไปเพื่อปกป้องพลเรือนแต่การโจมตีของพวกเขากลับยิ่งทำให้เกิดความเสียหายและสร้างความหวาดผวามากขึ้น มีตัวเลขพลเรือนผู้เสียชีวิตจากการโจมตีด้วยโดรนจำนวนมากจากตัวเลขในปี 2560 และชุมชนต่างๆ ที่เผชิญความสูญเสียก็รู้สึกกลัวเวลาที่มีโดรนสหรัฐฯ บินอยู่เหนือหัวพวกเขา

สำหรับอัชการ์แล้ว วิธีการต่อสู้กับการก่อการร้ายที่ดีที่สุดคือการสร้างประเทศที่เข้มแข็ง มีระบบการสืบสวนสอบสวนผู้ต้องสงสัยก่อการร้ายย่างเป็นไปตามกระบวนการที่เหมาะสม อัชการ์ยังอ้างอิงถึงการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยในช่วงอาหรับสปริงว่าคนหนุ่มสาวในประเทศของเขาได้แสดงให้เห็นแล้วว่าพวกเขาสามารถต่อสู้อย่างสันติได้ อัชการ์ระบุว่ารัฐบาลเยเมนพร้อมให้ความร่วมมือกับประเทศตะวันตกในการแก้ปัญหาก่อการร้ายแต่ควรจะมีวิธีการที่เป็นไปตามหลักนิติธรรมและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน มิเช่นนั้นแล้วก็จะทำให้มีเหยื่ออย่างอาเมอร์เกิดขึ้นอีก และทำให้โลกของพวกเราทุกคนปลอดภัยน้อยลง

เรียบเรียงจาก

Drone strikes on Yemen don’t make my country safer – or yours, Mohamed Askar, The Guardian, 10-08-2018
https://www.theguardian.com/commentisfree/2018/aug/10/yemen-open-letter-drone-strikes-us

[full-post]

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.