ภาพจาก Issariya Sukkeepun

Posted: 12 Aug 2018 10:06 PM PDT  (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท www.prachatai.com)
Submitted on Mon, 2018-08-13 12:06


เพจ 'สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย' โพสต์ถาม 'งานวันแม่ จำเป็นแค่ไหน' ชี้กิจกรรม กราบเท้า สวมกอด' ที่โรงเรียนจัด อาจกระทบใจในเชิงลบกับเด็กหลายๆ คน มากกว่าผลทางบวกกับเด็กจำนวนหนึ่ง แนะหากิจกรรมอื่นดีกว่า

เมื่อวันที่ 12 ส.ค.ที่ผ่านมา เฟสบุ๊กแฟนเพจ 'สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย' โพสต์ข้อความหัวข้อ 'งานวันแม่ จำเป็นแค่ไหน' โดย หมอมีฟ้า ระบุว่า ช่วงวันที่ 12 ส.ค. โรงเรียนต่าง ๆ มักจะมีการจัด "งานวันแม่" เชิญให้คุณแม่มารับการ์ดอวยพร หรือ พวงมาลัยจากลูก ๆ สมัยหมอเป็นเด็ก บรรดาคุณแม่จะนั่งเก้าอี้ ส่วนเด็ก ๆ จะนั่งที่พื้น มีการกราบเท้า สวมกอด

"หมอจำได้ค่อนข้างแม่นว่า จริง ๆ แล้วแม่ไม่สะดวกจะมาร่วมงานเท่าไหร่ เพราะต้องแว้บมาจากที่ทำงาน แต่จำไม่ได้ว่า มีเพื่อนคนไหนไหม ที่คุณแม่ไม่สามารถมาร่วมงานได้ แล้วเขาเป็นยังไงบ้าง มาถึงวันนี้ที่ต้องทำงานกับคนที่มีชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลของบาดแผลจากความสัมพันธ์ในวัยเด็ก (attachment trauma) หมอก็เริ่มเกิดคำถามในใจว่า งานวันแม่ที่โรงเรียนในลักษณะที่กล่าวมา มีผลกระทบทางใจในเชิงลบกับเด็กหลาย ๆ คน มากกว่าผลทางบวกกับเด็กอีกจำนวนหนึ่งหรือเปล่า เพราะสำหรับคนที่สนิทกันดีกับแม่ เขาก็คงจะหาโอกาสแสดงความรักความขอบคุณได้ไม่ยากอยู่แล้ว" แฟนเพจ 'สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย' โพสต์

แล้วสำหรับเด็กคนอื่นๆ เด็กที่อยู่กับญาติ หลังจากพ่อแม่แยกทางกันแล้วต่างฝ่ายต่างไปมีครอบครัวใหม่ เด็กที่แม่ทอดทิ้งทางอารมณ์ จนรู้สึกว่าสนิทกับพี่เลี้ยงมากที่สุด หรือรู้สึกว่าไม่มีใครรับฟังเท่าสุนัขที่เลี้ยง เด็กที่แม่ลำเอียง ปฏิบัติตัวกับพี่หรือน้องคนอื่นของเขาดีกว่าอย่างชัดเจน เด็กที่ถูกแม่ลงโทษด้วยวิธีรุนแรงบ่อย ๆ หากทำอะไรไม่ถูกใจ ไม่ใช่ทำอะไรผิด เด็กที่แม่กำลังป่วยหนัก ระยะสุดท้าย หรือ เสียชีวิตแล้ว ฯลฯ

"เด็ก ๆ เหล่านี้จะรู้สึกอย่างไรที่บาดแผลในใจต้องถูกย้ำด้วยบรรยากาศของงาน ยกเลิกธรรมเนียมเดิม ๆ แล้วมีกิจกรรมแบบอื่นแทน ถ้าคิดว่าจำเป็น แทนได้ไหม อาจจะเป็นการเขียนเรียงความ ในหัวข้อเกี่ยวกับแม่ ที่เหมาะกับวัยของเด็ก และไม่ทำให้เด็กรู้สึกว่าต้องเขียนแต่เรื่องดี ๆ เช่น สิ่งที่ฉันอยากบอกแม่ , สิ่งแรกที่ฉันนึกถึงเมื่อคิดถึงแม่ ซึ่งอาจจะเป็นประโยชน์ต่อคุณครูในการทำความเข้าใจนักเรียนได้มากกว่า" หมอมีฟ้า โพสต์ พร้อมเสนอว่า ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมหรืองานอะไรอยากให้ทางโรงเรียนทบทวน "จุดประสงค์ที่แท้จริง" ของงานนั้น เพื่อจะได้เลือกทำสิ่งที่เป็นประโยชน์และเหมาะสมกับบริบทของผู้ร่วมงานทุกคน



ขณะที่เวิร์คพอยด์นิวส์ รายงานโดยอ้างถึงข้อมูลจากข้อมูลจากยูนิเซฟ ประเทศไทย ว่า เด็กไทย 3 ล้านคนไม่ได้อาศัยอยู่กับพ่อแม่ โดยเฉพาะพ่อแม่ที่เป็นแรงงานนอกระบบซึ่งมีชั่วโมงทำงานไม่แน่นอนและเปราะบางต่อการถูกเลิกจ้าง[full-post]

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.