Posted: 19 Aug 2018 07:53 AM PDT (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท www.prachatai.com)
Submitted on Sun, 2018-08-19 21:53
อนินท์ญา ขันขาว
อำนาจนิยมกับสังคมไทยเป็นของคู่กันอย่างปฏิเสธไม่ได้ ผู้ที่มีอำนาจมาก จะมีการกดขี่คุกคามผู้ที่มีอำนาจน้อยกว่าในหลายๆเรื่อง ซึ่งสืบเนื่องมาจากการที่สังคมไทยเป็นสังคมที่มีการอุปถัมภ์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีความสัมพันธ์ที่เหลื่อมล้ำในทุกสถาบัน ตั้งแต่สถาบันครอบครัวที่พ่อมักจะเป็นใหญ่(The rule of father) สถาบันการศึกษาที่ต้องเชื่อฟังครู ระบบการรับน้องที่มีการใช้อำนาจนิยมจากรุ่นต่อรุ่น สถาบันเศรฐกิจ รวยกระจุกจนกระจาย สถาบันสังคม ที่ต้องเคารพผู้ใหญ่เชื่อฟังผู้อวุโส ตำแหน่งหน้าที่ยศศักดิ์ การมีอิทธิพล ประเด็นที่น่าสนใจคือค่านิยมของสังคมเรื่อง เพศสภาพ(gender) ที่มีการใช้อำนาจต่อเพศชายและเพศหญิงอย่างไม่เท่าเทียมกันในหลายๆมิติของสังคมไทย ด้วยสภาพเหล่านี้สามารถอธิบายได้ว่าแหล่งการมีอำนาจทั้งในรูปแบบ อำนาจหน้าที่(authority) อำนาจ(Power) เกิดจากปัจจัยหลายๆอย่าง เช่น วงศ์ตระกูล รสนิยม ระดับการศึกษา ชื่อสถาบันการศึกษา ตำแหน่งหน้าที่ มวลชน วัฒนธรรม ค่านิยมของสังคมและอีกมากมายที่ทำให้คนจำนวนหนึ่งมีอำนาจที่เหนือกว่า ซึ่งแท้จริงแล้วถือว่าเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง(Structure of Society)
อำนาจที่เหนือกว่า(Power over) เป็นอำนาจที่เป็นการควบคุม เอาเปรียบ แสวงหาอำนาจ และเป็นอำนาจหนึ่งที่มีมากที่สุดในสังคมไทย ถ้าเปรียบเทียบจาก 1. การใช้อำนาจร่วม (Power sharing)คือ การรับฟัง ปรึกษา สนับสนุน ซึ่งกันและกัน 2.อำนาจภายใน(Power within)คือ การรับมือ กับปัญหา อุปสรรคและความท้าทายด้วยตัวเองโดยใช้ทักษะความสามารถของตนเอง อำนาจที่เหนือกว่า สามารถมองในหลายมิติ ซึ่งผู้เขียนจะมองใน ระดับอำนาจ(Power level) 3ระดับ คือ
1.ระดับครอบครัว จะมีการใช้อำนาจผ่านอำนาจหน้าที่(authority)และอำนาจ(Power)โดยผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่าคือ พ่อ แม่จะใช้อำนาจทั้ง2อย่าง ต่อลูก ในการตีกรอบหรือตัดสินใจแทนเช่น เรื่องเรียน คู่ครอง การปลูกฝังค่านิยมความเชื่อ หรือวัฒนธรรมอันดีงามต่อลูก ทั้งด้านบวกและบางเรื่องเป็นด้านลบ นอกจากนี้ประเด็นที่น่าสนใจในการสร้างค่านิยมเรื่องเพศหญิงเพศชายสังคมไทยมักจะยึด2เพศเป็นหลักผ่านกระบวนการขัดเกลาในครอบครัวเองและสังคมคือมักจะแบ่งเพศให้เห็นหลายเรื่อง เช่น การใช้หางเสียง คะค่ะกับครับ การแต่งกายผู้หญิงต้องมาคู่กับสีชมพู การเล่นของเด็กผู้หญิงต้องเล่นขายของ เล่นเป็นแม่ สิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งในการหล่อหลอมและการใช้อำนาจหน้าที่ของพ่อแม่ในการสร้างคนออกมาตามแนวทางที่อยากให้เป็นมากกว่าปล่อยให้เด็กมีเสรีภาพในการเลือกดำเนินชีวิตของตนเอง เลือกเอง อีกประการที่น่าสนใจคือ การที่เกิดมาแล้วถูกระบุเพศชายหญิง หรือศาสนาตามพ่อหรือแม่ลงในบัตรประชาชน เป็นต้น
2.ระดับการศึกษาและการทำงาน แน่นอนว่าสังคมมีการใช้อำนาจแบบเส้นแนวดิ่งการบังคับบัญชา(Hirachy) ทำให้มีความสัมพันธ์ในแบบของ หัวหน้า ลูกน้อง อาจารย์ นักศึกษา รุ่นพี่รุ่นน้อง นอกจากนี้ยังมีการใช้อำนาจในเรื่องของรสนิยม การใช้ของแบรนด์เนมในการเหยียดกันโดยเฉพาะในสังคมวัยทำงาน การเหยียดทางเพศโดยที่สังคมยังมีค่านิยมผู้ชายนำอยู่ ในระบบการศึกษาเอง หัวหน้าห้อง หัวหน้างาน ผู้บริหารมักจะเป็นผู้ชาย พี่ว้ากส่วนใหญ่ก็เป็นผู้ชาย ทำให้บทบาทของผู้หญิงก็ยังคงไม่เท่ากับผู้ชายในปัจจุบัน หรือการทำงานเอง หลายอาชีพก็เลือกปฏิบัติกับผู้หญิงหรือผู้ที่ข้ามเพศ(Transgender) ด้วยการกำหนดไว้ในคุณสมบัติ ด้วยอำนาจของผู้ชายที่มีมากกว่าในสังคม จึงถูกมองว่าอาชีพทหาร ตำรวจ เป็นของเพศชาย
3.ระดับสังคม ซึ่งค่อนข้างกว้างหากมองในเรื่องอำนาจจะมีคนที่มีอำนาจมาก เนื่องจากปัจจัยหลายๆอย่าง เช่นวงศ์ตระกูล ตำแหน่งหน้าที่ ฐานะทางเศรษฐกิจ ทำให้คนกลุ่มนี้สามารถใช้อำนาจและอิทธิพลกระทำต่อคนกลุ่มหนึ่งได้อย่างง่ายดาย ในมิติการเมืองปัจจุบันนี้ก็มีการใล้อำนาจนิยมอย่างเห็นได้ชัดเจนในยุคเผด็จการนี้มีกฏหมายหลายมาตราที่ปกป้องคุมครองผู้มีอำนาจไว้ทำให้การเคลื่อนไหวในประเด็นทางการเมืองหรือการชุมนุมทำได้ยาก ซึ่งมันค่อนข้างสะท้อนให้เห็นว่าสังคมไทยในขณะนี้มีอำนาจหนึ่งที่ครอบงำคนในชาติไว้ และอีกอำนาจหนึ่งทางโครงสร้างที่ควบคุมคนไว้ใต้กรอบของสิ่งที่เรียกว่า ค่านิยมความเชื่อของคนในสังคม ที่ยังคงการอุปถัมภ์และระบบเส้นสายไว้ทำให้การใช้อำนาจทั้งทางบวกและทางลบ ผูกขาดไว้กับคนเหล่านี้ มิติทางเศรษฐกิจเองคนมีทรัพย์สิน มีธุระกิจมากก็ผูกขาดในสังคมมากเพราะมีอำนาจในการต่อรองมากกว่า มีเงินมากก็มีอิทธิพลมาก หากมองในมิติทางเพศวิถี ซึ่งก็สืบเนื่องมาจากครอบครัว สถานศึกษา การการขัดเกลาทางสังคม(Socialization) รวมไปถึงการปลูกฝังจนเป็นความเชื่อ(Internalization) ทำให้การยอมรับในเรื่องเพศทางสังคมในด้าน การมองเพศสภาพอื่นแตกต่างไปไม่เหมือนกับความคิดเดิมว่ามี2เพศ แต่ก็มีการพัฒนาและยอมรับมากขึ้นจากในอดีต แต่ก็ยังคงมีกลุ่มความเชื่อ ทัศนคติเดิมหลงเหลืออยู่อย่างแน่นอนในสังคมจะไม่ค่อยพูดในเรื่องเพศ การซื้อถุงยางอนามัย หรือการให้ความรู้ที่ถูกต้องในเรื่องอนามัยเจริญพันธุ์ในครอบครัว หรือบางโรงเรียน และค่านิยมความเสียสละที่คนมักจะวิจารณ์ถึงในเรื่องการสละที่นั่งให้เพศหญิง การใล้สำนวน คำที่ดูถูกดูแคลนผู้หญิง ผู้หญิงเป็นช้างเท้าหลัง รักนวลสงวนตัวเป็นต้น มีการเชื่อมโยงถึงศาสนาผู้หญิงกับประจำเดือนเป็นของต่ำ มีพื้นที่ที่ผู้หญิงไม่สามารถเข้าได้ แต่อวัยวะเพศของผู้ชายถูกกราบไว้บูชา มันแสดงให้เห็นว่าค่านิยมและการขัดเกลาของสังคมไทยมันเกิดขึ้นตั้งแต่เกิดโดยการใช้อำนาจในครอบครัวในการกำหนดหรือครอบงำความคิด เมื่อไปสู่สถาบันการศึกษา การทำงาน สังคม ก็จะมีลักษณะแนวคิดคล้ายๆกัน
การสะท้อนความคิด ความเชื่อในการแบ่งงานทางสังคมเชิงเพศภาวะ (Gender structure) คือการที่สังคมมีวัฒนธรรมค่านิยมในเรื่องเพศเกี่ยวกับ การกำหนดบทบาทหน้าที่ผ่านการประกอบอาชีพ โดยผู้หญิงมีความเท่าเทียมไม่เท่ากับผู้ชายแม้ว่าจะมีความพยายามทำให้เท่ากันแต่ ในความเป็นจริงจากอดีตจนถึงปัจจุบันเห็นได้ว่า ผู้ชายมักจะมีบทบาทหน้าที่ในตำแหน่งที่เหนือกว่าและมีรายได้มากกว่าผู้หญิง เช่นผู้บริหารระดับสูง นักการเมือง ข้าราชการตำแหน่งสูงๆ แพทย์ ผู้พิพากษา เป็นต้น ในขณะเดียวกันผู้หญิงประกอบอาชีพบริการ ทั้งนวดแผนโบราณ ช่างตัดผม ร้านเสริมสวย ซึ่งรายได้ไม่มากเท่าผู้ชาย แสดงให้เห็นถึงอำนาจทางเพศที่ผู้ชายมักมีพลังบางอย่างที่อยู่สูงกว่าผู้หญิง อีกด้านหนึ่งในเรื่องพื้นที่ ในพื้นที่ส่วนตัว(Private spare)ผู้หญิงถูกกดอยู่ในกรอบอำนาจของสังคมที่ต้องอยู่บ้าน เลี้ยงลูก แต่ผู้ชายมักออกไปทำงานปฏิสัมพันธ์กับผู้คนในพื้นที่สาธารณะ(Public spare)มากกว่า ถึงแม้ว่าสังคมกำลังเปลี่ยนแต่ค่านิยมวัฒนธรรมของสังคมยังคงเป็นลักษณะนี้
สังคมไทยคงหนีคำว่าอำนาจนิยมไม่ได้อย่างแน่นอนเพราะค่อนข้างที่จะฝังรากลึกในทุกช่วงชีวิตตั้งแต่เกิดจนสิ้นชีวิต จะถูกหล่อหลอมตามระบบการอุปถัมภ์ ชนชั้น และค่านิยมในสังคมแบบผิดๆจนนำมาสู่การ ไดอำนาจในระดับต่างๆ และถูกผลิตซ้ำผ่านสำนวน สื่อ ความเชื่อ ประเพณี วัฒนธรรม แน่นอนว่าการหายไปของสังคมชายเป็นใหญ่อาจจะต้องใช้เวลาในระดับหนึ่ง Berenice fisher อธิบายว่าการกระทำเหล่านี้เกิดจากการผลิตซ้ำๆ อาจเรียกว่าการมอมเมาเบ็ดเสร็จ เพื่อยกระดับทางจิตสำนึก โดยสังคมและวัฒนธรรม สร้างประสบการณ์และความรู้สึกนั้นขึ้นมา สำหรับแนวทางในการแก้ปัญหาค่อนข้างยากน่าจะต้องแก้ไขในเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะค่านิยมของสังคมที่อาจจะต้องมองและเปลี่ยนทัศนคติใหม่ สถาบันครอบครัว การศึกษา เศรษฐกิจ สังคม ต้องปลูกฝังและสร้างพลเมืองที่เกิดมาใหม่ให้มีทัศนคติที่ดี ใช้อำนาจในทางที่ควรจะเป็น สร้างและขัดเหกลาคนรุ่นหลังใหม่ รวมไปถึงกฎหมายหลายข้อเกี่ยวกับการกำหนดสถานะภาพทางเพศเองก็อาจจะต้องปรับเปลี่ยน
อ้างอิง:
1.การแลกเปลี่ยน“เปลี่ยนมุมคิด สะกิดการเปลี่ยนแปลง: เพศสภาวะ เพศวิถี และความเป็น
ธรรมทางสังคม” ภายใต้โครงการ Young Feminist Thailand รุ่น 2
2.การศึกษาของผู้หญิง ตัวตนและพื้นที่ความรู้ รศ.ดร.นงเยาว์ เนาวรัตน์
แสดงความคิดเห็น