Posted: 24 Aug 2018 10:32 AM PDT (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท www.prachatai.com)
Submitted on Sat, 2018-08-25 00:32
ทวีศักดิ์ เกิดโภคา: รายงาน
Banrasdr Photo: ภาพภ่าย
"เขามาเยียมเยือนถึงเรือนถึงบ้านคุณๆ อย่าเพิ่งรำคาญพี่เอกชัย" เอกชัย หงส์กังวาน แถลงข่าวหน้าทำเนียบ 8 เดือนคดีนาฬิกาประวิตรไม่คืบ ขณะที่ตัวเองมาทวงถามความรับผิดชอบกลับถูกสกัด และคุกคามไปแล้ว 7 ครั้ง พร้อมถาม คสช. มีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีถูกตีหน้าบ้านหรือไม่ ย้ำถ้าเกี่ยวให้พูดมาตรงๆ ว่าต้องการให้หยุดพูด ถ้าไม่เกี่ยวช่วยหาผู้ก่อเหตุ อย่าปล่อยให้สังคมเชื่อว่า คสช. เป็นคนทำ
24 ส.ค. 2561 เป็นอีกหนึ่งวันที่ เอกชัย หงส์กันวาน นักกิจกรรมทางการเมือง เดินทางมาทำเนียบอีกครั้ง แต่รอบนี้เขามีจุดประสงค์อื่น เพราะนอกจากมาทวงถามความคืบหน้าเรื่องนาฬิกาหรู 25 เรือนมูลค่ากว่า 39.5 ล้านบาท และมองหาท่าทีการแสดงความรับผิดชอบของพล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของรัฐบาลทหาร และหนึ่งในคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เขายังมาสอบถามดังๆ ผ่านสื่อมวลชนไปด้วยว่ากรณีการทำร้ายร่างกายที่เกิดขึ้นกับเขาทุกครั้งที่ผ่านมา โดยเฉพาะสองครั้งล่าสุด ที่มีชาย 2 คนดักสาดน้ำปลาร้าใส่ และต่อมาอีกสัปดาห์ที่มีชาย 3 คนรุมทำร้ายร่างกายเขาจนกระดูกนิ้วมือข้างซ้ายแตกนั้น คสช. มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ เพราะทั้งสองเหตุการณ์เกิดขึ้นก่อนหน้า และหลังจากที่เขาเดินทางไปทำเนียบรัฐบาลเพื่อทำตามจุดประสงค์ในข้อแรก
เอกชัย พร้อมด้วยอานนท์ นำภา ทนายความอาสา จากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน โชคชัย ไพรบูลย์รัชตะ เพื่อนคู่หู่ที่ร่วมทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ทั้งเรื่อง แหวนมารดา และนาฬิกายืมเพื่อน รวมกับลุงๆ ป้าๆ ที่เห็นหน้าคราตากันมาตั้งแต่หลังรัฐประหารปี 2557 ตามเวทีชุมนุม หรือเวทีเสวนาที่ถูกจัดขึ้นโดยกลุ่มคนที่คับข้องใจกับสถานการณ์ และอนาคตของบ้านเมือง บางคนอาจจะเคยพบเจอกันมาตั้งแต่รัฐประหารปี 2549 รวมๆ แล้วประมาณ 10 คน
พวกเขาเดินทางมาถึงบริเวณด้านหน้าทำเนียบรัฐบาลตั้งแต่สิบโมงครึ่ง แต่ก็ไม่สามารถรวมกันอยู่ที่บริเวณป้ายรถเมลล์ข้างประตู 4 ทำเนียบรัฐบาลได้ ไม่ใช่เพราะแดดออกอากาศร้อน หรือฝนฟ้ากระหน่ำ แต่เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งวันนี้มีขบวนเสด็จผ่าน พวกจึงเดินเข้าไปนั่งรอในโรงอาหารของสำนักงาน ก.พ.ร. เวลาผ่านเลยไปถึงสิบเอ็ดโมงกว่าพวกเขาจึงจะสามารถเดินออกมาที่ประตู 4 ได้
ร่วมชั่วโมงที่นั่งรออยู่ตรงนั้น บรรยากาศโดยรอบให้ความรู้สึกเหมือนย้อนกลับไปในช่วงที่การแอบถ่ายดารา นักร้อง คนดังในวงการบันเทิงกำลังเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงอย่างมากผ่านจอแก้ว และหน้าหนังสือพิมพ์ของไทย คนที่ทำหน้าที่แอบถ่ายเรื่องส่วนตัวของบรรดาเซเลปเหล่านั้น ถูกเรียกทับศัพท์ด้วยคำว่า ‘ปาปารัสซี’ Paparazzi คำดังกล่าวถูกอธิบายอย่างเป็นระบบไว้ในคอลัมน์ คนสร้างคำ เขียนโดยคอลัมนิสต์นามปากกาว่า คำข้าว ตีพิมพ์ลงในนิตยสารคดีฉบับที่ 248 เดือนตุลาคม 2548
คำข้าว อธิบายว่า ปาปาราซซี เป็นพหูพจน์ของ ปาปาราซโซ (paparazzo) หมายถึงช่างภาพ-ทั้งภาพนิ่งและเคลื่อนไหว-ที่คอยติดตามดาราคนดังไปตามที่ต่างๆ เพื่อถ่ายภาพในยามที่เขาไม่ได้อยากให้ถ่าย โดยเฉพาะในเวลาที่เป็นส่วนตัว คำนี้ปรากฏเป็นครั้งแรกจากหนังเรื่อง La Dolce Vita หนังพูดถึงชีวิตของนักเขียนคอลัมน์ซุบซิบชื่อ Marcello ที่ต้องใช้ชีวิตกลางคืนในวงสังคมชนชั้นกลางในโรมเพื่อหาข่าวฉาว กับเพื่อนช่างภาพชื่อ Paparazzo เฟเดอรีโค เฟลลีนี ผู้กำกับร่างภาพตัวละครตัวนี้ไว้เป็นภาพลายเส้นให้มีลักษณะ “เหมือนมนุษย์ที่ไม่มีโครงกระดูก” กำลังยกกล้องขึ้นสูงเพื่อกดชัตเตอร์ “ดูเหมือนแมลงดูดเลือด เป็นนัยว่าพวกปาปาราซซีก็เหมือนยุง และเหมือนปรสิต”
ในช่วงเวลาที่เอกชัย กับพวกนั่งอยู่ที่โรงอาหารในสำนักกงาน ก.พ.ร. รวมทั้งช่าง และนักข่าวบางกลุ่มที่ติดตามทำข่าวการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลทหาร พวกเขาถูกสิ่งมีชีวิตจำแนกประเภทไม่ได้ว่าเป็น ยุง หรือปรสิต คอยรบกวนความเป็นส่วนตัวตลอดเวลา และเมื่อพวกเขาเดินออกจากที่นั่นมา ยุง และปรสิต เหล่านั้นก็บินตามมาที่หน้าทำเนียบด้วย
เอกชัยใช้เวลาแถลงข่าวคนเดียวประมาณ 20 นาที และเมื่อเขาพูดจบนักข่าวจากสื่อหัวต่างๆ ก็ไม่คำถามที่จะถามเพิ่มเติม นั่นอาจเป็นเพราะเขาคือ เอกชัย ไม่ก็อาจเป็นเพราะเขาอธิบายทุกอย่างครบถ้วนหมดแล้ว
หากย่อเรื่องราวคับข้องใจจากการแถลงข่าวของเอกชัย ให้เหลือเพียงคำไม่กี่คำ ก็คงพูดได้ว่า เขามาที่นี่เพราะต้องการยืนยันถึงสิทธิของในฐานะประชาชนหนึ่งคน ที่มีความเป็นเจ้าของประเทศนี้เท่ากับคนอื่นๆ อะไรไม่ถูกต้อง ประชาชนต้องมีสิทธิพูด และไม่ควรถูกปิดปากด้วยการสร้างบรรยากาศแห่งความหวาดกลัว แม้จะไม่มีความไม่กลัวออกมาจากปากเอกชัยแม้แต่คำเดียว แต่คำว่า 'ไม่หยุด' ก็ใช้แทนได้ในความหมายเดียวกัน
ขณะที่เอกชัยแถลงข่าว เขาใช้มือซ้ายที่ใส่เฝือกอ่อนประคองกระดาษ ซึ่งก่อนหน้านี้เขาใช้มือขวาจดเรื่องที่ต้องการพูดในวันนี้ไว้ และนี่คือเรื่องราวทั้งหมด
Realfame: รักเธอน้อยกว่าประชาธิปไตย 'เอกชัย หงส์กังวาน'
000000
เอกชัย เริ่มต้นว่า ทหารไม่มีความเหมาะสมในการบริหารประเทศ เนื่องจากความเป็นผู้บัญชาการ กับความเป็นผู้บริหารมีลักษณะแตกต่างกัน เมื่อทหารเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีจะมีความเป็นผู้บัญชาการสูง ซึ่งจะลักษณะของการใช้อำนาจสั่งการโดยมองดูว่ามีผู้ใต้บังคับบัญชาอยู่กี่คน ไม่ประเมินศักยภาพ และความเหมาะสมของลักษณะงานที่มอบหมายให้ผู้ใต้บังคับบัญชา ในขณะที่ผู้บริหารจะเริ่มต้นด้วยการมองว่าในจำนวนคนที่มีอยู่ใครสามารถทำอะไรได้บ้าง เพราะเห็นว่ามนุษย์แต่ละคนมีศักยภาพแตกต่างกัน มีความถนัดในแต่ละด้านแตกต่างกัน
“เราจึงไม่แปลกใจเลยว่า เวลา 4 ปี ที่ผ่านมาการบริหารงานของทหารถึงออกมาไม่ได้เรื่อง” เขากล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่เน้นเสียงที่คำว่าไม่ได้เรื่อง เอกชัยพูดต่อไปว่า ผู้นำประเทศในเวลานี้เค ยชินกับการเป็นผู้บัญชาการ ที่ไม่ว่าจะสั่งอะไรทุกคนก็ต้องทำตาม สั่งทหาร 100 คนให้ซ้ายหันก็ต้องหันตามกันหมด ถ้ามีใครสักคนไม่หันตาม จะถือว่าเป็นความผิด และจะถูกลงวินัย เมื่อผู้บัญชาการทหารมาเป็นนายกรัฐมนตรีก็เห็นประชาชนไม่ต่างไปจากทหาร
เขากล่าวต่อไปว่า สิ่งที่ทหารทำหลังจากการรัฐประหารปี 2557 คือ การประกาศเรียกแกนนำกลุ่มการเมือง รวมทั้งผู้ที่ถูกกล่าวหาในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่พ้นโทษมาแล้ว เข้ามาปรับทัศนคติ เพราะทหารมองว่าคนเหล่านี้เป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐบาล และ คสช. แม้บางคนจะไม่ได้เคลื่อนไหวทางการเมืองแล้วก็ตาม
นอกจากนี้ เอกชัยเห็นว่า คสช. ยังมีการประยุกต์ใช้กฎหมายต่างๆ เพื่อปราบปรามผู้เห็นต่างทางการเมือง โดยการตีความกฎหมายที่เกินเลย ยกตัวอย่างกรณีการชุมนุมของกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง ก็มีการแจ้งข้อหายุยงปลุกปั่น ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 และถูกแจ้งข้อกล่าวหาว่าฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับที่ 3/2558 ที่ห้ามชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คน ทั้งที่การเคลื่อนไหวที่ผ่านเป็นการใช้สิทธิในการชุมนุมตามที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้ยังมีการใช้อำนาจตามมาตรา 44 อุ้มคนเข้าค่ายทหาร ทั้งที่ยังไม่ได้มีการทำอะไรผิดกฎหมาย โดยทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้เป็นสิ่งที่ขัดกับหลักนิติรัฐ
เอกชัย กล่าวต่ออีกประเด็นว่า คสช. อ้างสาเหตุที่ทำรัฐประหารว่า รัฐบาลในชุดก่อนหน้านี้มีการทุจริตคอร์รัปชัน คสช. ต้องการเข้ามากวาดล้างทำความสะอาด ที่ผ่านมามีการดำเนินคดีหลายคดีกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ รวมถึงสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำ กปปส. ในคดีทุจริตโครงการก่อสร้างสถานนีตำรวจ หากดูผิวเผินอาจจะเห็นมีความพยายามในการจัดการปัญหาอย่างจริงจัง แต่สิ่งที่น่าสงสัยคือ เพราะเหตุใดการทุจริต หรือกระทำความผิดของทหารในหลายกรณี ไม่ว่าจะเป็นการเสียชีวิตของทหารเกณฑ์จากการซ่อม หรือกรณีทุจริตคอร์รัปชันที่เกิดขึ้นในช่องที่ผ่าน ทหารมักจะพยายามปกปิดความผิด
สำหรับประเด็นเรื่องนาฬิกาหรู 25 เรือน ไม่ได้มีการชี้แจงไว้ในบัญชีทรัพย์สินแม้แต่รายการเดียว ของพล.อ.ประวิตร ซึ่งมีการประเมินราคาได้กว่า 39.5 ล้านบาท เป็นเรื่องที่เด่นชัดที่เอกชัยเห็นว่า เป็นกรณีสร้างความสงสัยให้กับสังคมว่า เพราะอะไรจึงยังไม่มีการดำเนินการใดๆ เลย และทำไมยังปล่อยให้พล.อ.ประวิตร ดำรงตำแหน่งต่อไป ในขณะที่กรณีอื่นๆ จะมีการปลดผู้ถูกกล่าวหาเรื่องทุจริตออกจากตำแหน่งโดยทันที ในขณะที่การทำงานเผื่อตรวจสอบทุจริตกรณีนี้ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมาก็ยังไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย
ราคาที่ถูกบังคับจ่าย จากทวงถามเรื่องคอร์รัปชันของทหารในรัฐบาลเผด็จการ
“ผมเคลื่อนไหวเรื่องนี้มาตั้งแต่วันที่ 28 ธันวาคม ปีที่ผ่าน ครั้งแรกไปบ้านสี่เสาเทเวศร์ของคุณเปรม ติณสูลานนท์ (ประธานองคมนตรี) ในงานเข้าอวยพรปีใหม่ ปรากฎว่าผมไปถึงยังไม่ทันได้เข้าบ้านก็ถูกเจ้าหน้าที่ที่อยู่หน้าบ้านอุ้มเข้าไปในป้อมตำรวจ และไม่ยอมให้ผมทำอะไรทั้งนั้น นั่นคือครั้งแรกที่ผมเจอ
หลังจากนั่นผมก็ยังเคลื่อนไหวตลอดมาจนกระทั่งวันที่ 9 มกราคม (2561) ผมก็มาที่ทำเนียบรัฐบาลก็ถูกพาตัวไปที่ห้องประชุมชั้นบนของ ก.พ.ร. และก็มีนายพล 3 คน เป็นตำรวจ 1 คน เป็นทหาร 2 คน เข้ามาบอกว่าจะขอรับมอบนาฬิกานี้เพื่อหวังให้ผมหยุดเคลื่อนไหว แต่ผมไม่ยอมเพราะผมรู้ว่านาฬิกานี้จะไม่ถึงมือประวิตร แน่นอน ผมจึงปฏิเสธ หลังจากนั้นเพียงแค่ 3 วัน คุณศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล (รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ) ก็ไปขอให้ศาลอาญาออกหมายจับผม โดยอ้างความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จากการโพสต์เฟสบุ๊กในปีที่ผ่านมา ทั้งที่ผ่านไปเกือบปีแล้วเพิ่งจะมาฟ้องร้อง มันชัดเจนว่านี่คือ การใช้กฎหมายเพื่อปิดปาก แต่โชคดีที่ศาลปฏิเสธการออกหมายจับ และให้เป็นหน้าที่ ปอท. ดำเนินการออกหมายเรียก ซึ่งคดีนี้จนถึงตอนนี้ก็ยังคาอยู่ที่ ปอท. ยังไม่มีการส่งสำนวนให้อัยการแต่อย่างใด นี่คือการคุกคามช่วงแรก เขาพยายามใช้ไม้น่วมมากล่อม พอไม้น่วมใช้ไม่ได้ผลก็เอาเรื่องคดีมากล่อมแทน
หลังจากกรณีของคุณศรีวราห์ ไม่ได้ผล สัปดาห์ต่อมาเท่านั้น คุณฤทธิไกร ชัยวรรณศานส์ ก็เข้ามาทำร้ายร่างกายผมที่ป้ายรถเมลล์ พอผมลงรถเมลล์ยังไม่ทันจะได้ทำอะไรเลย แค่จะเดินไปที่ประตูเท่านั้น คุณฤทธิไกร ก็โผล่มาจากไหนไม่รู้เอาแก้วน้ำ ขว้างมาที่ผม แต่โชคดีที่ถูกตำรวจรวบตัวได้ก่อนแล้วก็ถูกจับส่งไปที่สถานีตำรวจ และถูกสั่งปรับ แต่หลังจากนั้นอีก 1 สัปดาห์เขาก็ไปดักรอผมที่ป้ายรถเมลล์ลาดพร้าว 107 ซึ่งครั้งนี้ไม่มีตำรวจกันไว้เหมือนคราวที่แล้ว เขาก็อาศัยจังหวะที่ผมไม่ทันระวังตัว ต่อยผมที่ปาก แต่โชคดีที่ผมจำหน้าเขาได้ ผมเลยไปแจ้งความ เขาก็ถูกดำเนินคดีในที่สุด ซึ่งนี่ถือเป็นการคุกคามครั้งแรกที่ถือว่ารุนแรง เพราะเป็นการปองร้ายต่อผม
หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็เริ่มเบาลง แต่ล่าสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ระหว่างที่ผมลงรถเมลล์ที่ถนนสวรรคตโลกจะเดินมาทำเนียบรัฐบาล ก็มีชายวัยรุ่น 2 คนขีมอเตอร์ไซด์มา ชายที่ซ้อนท้ายเขาก็เอาถังที่ใส่น้ำปลาร้าสาดใส่ผม อันนี้คือการคุกคามครั้งที่สองที่เป็นการทำร้ายร่างกาย เรื่องนี้ผมได้แจ้งความไปแล้ว สน.นางเลิ้งก็กำลังดำเนินการอยู่
แต่สุดท้ายที่ผมโดนคือ วันพุธที่ผ่านมา (22 ส.ค.) หลังจากผมมาเรียกร้องให้คุณประวิตร รับผิดชอบด้วยการลาออก แม้จะอ้างว่านาฬิกายืมเพื่อนมาแต่คืนแล้วมันไม่มีความผิด แต่ผมคิดว่ามันไม่ถูกต้อง ปรากฎว่าพอผมกลับก็มีวัยรุ่น 2 คนดักรอผมอยู่ที่หน้าปากซอยลาดพร้าว 107 ซึ่งตอนเดินผ่านผมก็สังเกตว่าชายคนนั้นเขามาผมแปลกๆ ผมก็รู้สึกว่าจะมีอะไรหรือเปล่า แต่เขาก็ไม่ได้อะไร จนกระทั่งผมเดินผ่านไปเข้าในซอย 2 คนนั้นก็ตามเข้ามา แล้วก็เขามาทำร้ายร่างกาย ซึ่งตรงข้ามบ้านผมเขาก่อสร้างกันอยู่ก็เลยมีเศษไม้ ก็มีชายอีกคนไปเอาไม้มาฟาด ผมหลบไม่ทันเลยเอาแขนกัน จริงๆ เขาตั้งใจจะฟาดที่หัว แต่ผมเอาแขนกันจนได้รับบาดเจ็บ เอ็กซเรย์แล้วแพทย์บอกว่า กระดูกนิ้วนาง กับกระดูกนิ้วก้อยข้างซ้ายแตก จึงต้องใส่เฝือกอย่างน้อย 1 เดือน” เอกชัยเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดออกมาอย่างไม่ติดขัด
ถ้า คสช. ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องช่วยเร่งรัดหาตัวผู้ก่อเหตุด้วย หลักฐานมีพร้อม อย่าปล่อยให้สังคมเถอะว่า คสช. อยู่เบื้องหลัง
เขา พูดต่อไปว่า การคุกคามที่เกิดขึ้นกับคนอื่นๆ ที่วิพากษ์วิจารณ์ คสช. ผ่านทางโซเชียลมีเดียนั้นส่วนมากจะโดนแจ้งความดำเนินคดีทั้งข้อหายุยงปลุกปั่น และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ แต่กรณีของเขาเองนั้น เจ้าหน้าที่ซึ่งติดตามการใช้โซเชียลมีเดียของเขาอยู่ตลอดไม่สามารถที่จะเอาผิดเขาในทางกฎหมายได้ จึงทำให้เกิดข้อสงสัยว่าได้มีการเปลี่ยนวิธีการมาใช้ความรุนแรงแทนหรือไม่
“ผมอยากจะถามกรณีที่เกิดขึ้นกับผมนี้ คสช. มีส่วนรู้เห็นหรือเปล่า หากมีส่วนรู้เห็นก็ยอมรับมาเถอะว่า สิ่งที่พวกคุณทำเป็นไปเพราะต้องการให้ผมหยุด แต่ถ้า คสช. เห็นว่าตัวเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องก็ช่วยสอบสวนหน่อย เพราะอาจจะเป็นไปได้ว่าเป็นเพียงคนบางคนที่อยากทำงานเพื่อเอาใจนาย หรืออาจจะเป็นมือที่ 3 ที่ตั้งใจมาสร้างสถานการณ์เพื่อหวังผลอะไรบางอย่าง และที่แน่ๆ ทั้งสองกรณีที่เกิดขึ้นหลังสุดมีภาพจากกล้องวงจรปิด และมีหลักฐานคือลายนิ้วมือ.... ทั้งที่มีหลักฐานมากมายขนาดนี้ผมก็ยังเห็น คสช. เพิกเฉย และตอนนี้ก็มีการพูดกันไปว่า คสช. อยู่เบื้องหลังบ้างแหละ เป็นลูกน้องของคนใน คสช. ทำเพราะต้องการเอาใจนาย หรือเป็นการกระทำของมือที่ 3 หาก คสช. จริงใจ... ไม่เพียงกรณีของผมเพียงคนเดียว ในกรณีของคนที่ถูกคุกคาม คสช. จะต้องดำเนินการจับกุมผู้ต้องหาโดยเร็ว อย่าปล่อยให้มันเงียบหายไป เพราะไม่งั้นสังคมจะตั้งข้อสังเกตุว่า คุณอาจจะมีส่วนรู้เห็นกับการทำร้ายร่างกายผมครั้งนี้” เอกชัยทิ้งทาย
แสดงความคิดเห็น