อีกึมซอน ชาวเกาหลีใต้วัย 92 ปี สวมกอดลูกชายของเธอ รีซุงซอล วัย 71 ปี (ภาพจาก AFP)
Submitted on Wed, 2018-08-22 17:04
แม่ที่พลัดพรากจากลูกตั้งแต่อายุสี่ขวบ น้องสาวกับพี่สาวที่หนีออกนอกประเทศหลังพ่อถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร และคุณแม่วัย 99 ปีกับลูกสาวสองคน ได้พบกันเป็นครั้งแรกในงานรวมญาติที่รัฐบาลสองเกาหลีร่วมกันจัด มุนแจอินเผยมีชาวเกาหลีใต้กว่าสามพันคนตายลงทุกปีโดยไม่ได้ข่าวญาติตัวเองในเกาหลีเหนือ
วันที่ 20 สิงหาคม 2561 สำนักข่าว Asia Times รายงานว่ารัฐบาลเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ได้ร่วมกันจัดงานรวมญาติให้กับครอบชาวเกาหลีที่ต้องพลัดพรากจากกันหลังการแยกประเทศในปี 1953 ณ รีสอร์ตแห่งหนึ่งที่สร้างโดยบริษัทเกาหลีใต้ที่ภูเขากังนัม ประเทศเกาหลีเหนือ กิจกรรมดังกล่าวเป็นผลพวงของการฟื้นฟูความสัมพันธ์หลังการประชุมระหว่างผู้นำเกาหลีใต้ คิมแจมุน และเกาหลีเหนือ คิมจองอิล เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่าน ซึ่งถือเป็นสัญญาณว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองเกาหลีกำลังดำเนินไปในทิศทางที่ดีขึ้น
สื่อท้องถิ่นรายงานว่ามีชาวเกาหลีใต้ลงทะเบียนเพื่อจะเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าวประมาณ 57,000 คน โดยรัฐบาลได้สุ่มเลือกผู้โชคดีจำนวน 89 คน แต่มีสี่คนไม่สามารถเดินทางมาร่วมงานได้เนื่องจากปัญหาสุขภาพ ผู้ร่วมงานส่วนใหญ่มีอายุประมาณ 80 ถึง 90 ปี โดยผู้ที่อายุมากที่สุดเป็นชายเกาหลีใต้อายุ 101 ปี และมีผู้ร่วมกิจกรรมชาวเกาหลีเหนือทั้งหมมด 189 คน กิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นเป็นระยะเวลาสามวัน โดยจะแบ่งออกเป็นสองรอบ ในรอบแรกนี้ ผู้ร่วมกิจกรรมจะเดินทางกลับบ้านในวันพุธ (22 สิงหาคม) ก่อนผู้ร่วมกิจกรรมชุดที่สองจะเดินทางไปที่รีสอร์ตดังกล่าวในวันเดียวกันและเดินทางกลับในวันเสาร์ (25 สิงหาคม)
โทรทัศน์ร่วมการเฉพาะกิจของเกาหลีใต้ได้รับอนุญาติให้เข้าไปบันทึกกิจกรรมดังกล่าว โดยรัฐบาลเกาหลีใต้ได้ขอให้เกาหลีเหนืออนุญาติให้สื่อต่างชาติเข้าร่วมด้วย แต่ถูกปฏิเสธ อย่างไรก็ตามภาพกิจกรรมดังกล่าวได้สร้างความตื้นตันใจให้กับชาวเกาหลีและผู้ชมทั่วโลกได้เป็นอย่างยิ่ง
อีกึมซอน อายุ 92 ปี จากเกาหลีใต้ เข้าสวมกอด ลูกชายวัย 71 ปีของเธอ หลังต้องพลัดพรากจากกันตั้งแต่เขาอายุ 4 ควบ แบซอนฮุย ชาวเกาหลีได้มีโอกาสพูดคุยกับพี่สาวสองคนของเธอแบซอนบก และแบซอนยอง เป็นครั้งแรกหลังหลบหนีออกจากเกาหลีเหนือเพราะพ่อของพวกเธอถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร ฮานชินจา ชาวเกาหลีใต้วัย 99 ปี ได้พบกับลูกสาวทั้งสองคนของเธอที่อยู่ในเกาหลีเหนือหลังพวกเธอต้องแยกจากกันในช่วงสงครามเกาหลี ผู้ร่วมงานท่านอื่นๆ ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ชีวิต ภาพถ่าย และเอกสารต่างๆ เพื่อบอกเล่าประสบการณ์ชีวิตของแต่ละคนหลังต้องพลัดพรากกันไปนานกว่า 70 ปี โดยหลังจากกิจกรรมในครั้งนี้ พวกเขาก็แทบจะไม่มีโอกาสได้ติดต่อกันอีกเลย
โจเฮียวโด (กลาง) ชาวเกาหลีใต้วัย 86 ปี ได้พบกับพี่สาวของเธอ โจซุนโด (ขวา) วัย 89 ปีเป็นครั้งแรก (ภาพจาก AFP)
สงครามที่นำไปสู่การพลัดพราก
คาบสมุทรเกาหลีถูกแบ่งออกเป็นสองประเทศในปี 1948 หลังพรรคคอมมิวนิสต์ที่นำโดยคิมอิลซุงเขายึดครองพื้นที่ทางภาคเหนือ และตั้งประเทศเกาหลีเหนือขึ้นในวันที่ 9 กันยายน ในช่วงแรก ชายแดนระหว่างทั้งสองเกาหลียังคงเปิดกว้างทำให้เมื่อเกิดสงครามเกาหลีขึ้นในช่วงปี 1950 ถึง 1953 มีชาวเกาหลีเหนือลี้ภัยไปยังเกาหลีใต้มากกว่า 700,000 คน แต่เมื่อสงครามสิ้นสุดลง ได้มีการวางรั้วลวดหนาม กับระเบิด และลาดตระเวนอย่างเข้มงวดตลอดแนวชายแดนของสองประเทศที่เรียกกันว่า “เขตปลอดทหาร (Demilitarized Zone)” ทำให้การลักลอบข้ามแดนแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยหลังจากนั้น
รีสอร์ตที่ถูกใช้เป็นที่จัดงานในครั้งนี้เป็นของบริษัทฮุนได ซึ่งเป็นบริษัทสัญชาติเกาหลีใต้ นอกจากรีสอร์ตดังกล่าว บริษัทฮุนไดยังได้ก่อตั้งเขตอุตสาหกรรมสองเกาหลีขึ้นที่จังหวัดเกซองซึ่งอยู่ห่างออกไปทางเหนือของเขตปลอดทหารไปเพียงเล็กน้อย แต่โครงการดังกล่าวถูกระงับในปี 2008 หลังนักท่องเที่ยวหญิงชาวเกาหลีใต้ถูกยิงเสียชีวิตโดยทหารเกาหลีเหนือเนื่องจากเดินออกไปนอกเขตปลอดภัย และถูกปิดลงอย่างถาวรด้วยคำสั่งของรัฐบาลเกาหลีใต้ในปี 2016 ในช่วงที่มีสถานการณ์ตึงเครียดของทั้งสองประเทศ
Asia Times รายงานเพิ่มเติมว่า นับตั้งแต่ปี 2000 มีชาวเกาหลีปีประมาน 23,500 คนเข้าร่วมกิจกรรมรวมญาติที่จัดโดยรัฐบาลของทั้งสองประเทศ อย่างไรก็ตามในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ชาวเกาหลีใต้หลายคนได้จ้างวานบริษัทนายหน้า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวเกาหลีเหนือที่หลบหนีมาหรือชาวเกาหลีเชื้อสายจีนให้ติดต่อกับญาติที่อยู่ในเกาหลีเหนือและนัดพบกันในประเทศที่สามซึ่งมักจะเป็นประเทศจีน
สัญญาณบวกของความสัมพันธ์สองเกาหลี
หลังกิจกรรมรวมญาติดังกล่าวประธานาธิบดีเกาหลีใต้ มุนแจอิน ซึ่งมีครอบครัวเป็นชาวเกาหลีเหนือที่ลี้ภัยในช่วงสงครามเช่นกัน กล่าวกับสื่อต่างประเทศว่า “เวลากำลังจะหมดลง” เพราะในช่วง 5 ปีที่ผ่านมามีชาวเกาหลีใต้เฉลี่ย 3,600 คนต่อปีที่เสียชีวิตลงโดยไม่มีโอกาสได้พบกับครอบครัวที่พลัดพรากของพวกเขา
“เป็นเรื่องน่าสลดใจของทั้งรัฐบาลเกาหลีเหนือและใต้ที่ผู้สมัครเข้าร่วมกิจกรรรมรวมญาติเหล่านี้ต้องตายไปพร้อมกับความโศกเศร้าโดยไม่มีโอกาสได้รู้ว่าญาติที่พลัดพรากของพวกเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่” มุนแจอินกล่าว “ช่วงเวลาแห่งการรอยคอยไม่ควรจะถูกยืดออกไปนานกว่านี้อีกแล้ว ภารกิจด้านมนุษยธรรมที่สำคัญที่สุดของทั้งสองเกาหลีในตอนนี้คือการจัดงานรวมญาติให้มากขึ้น และบ่อยขึ้น และไม่ใช่แค่งานรวมญาติเท่านั้น แต่จะต้องมีการขยายช่องทางการติดต่อสื่อสารระหว่างคนของทั้งสองประเทศด้วย”
มุนแจอินมีกำหนดพบกับผู้นำเกาหลีเหนืออีกครั้งในเดือนกันยายนนี้ ซึ่งจะเป็นการพบกับอย่างเป็นทางการรอบที่สามของผู้นำสองเกาหลี โดยสื่อท้องถิ่นของสิงคโปร์รายงานว่าประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของประเทศจีนก็วางแผนเข้าพบคิมจองอิลเช่นเดียวกันในวันที่ 9 กันยายนนี้ ซึ่งเป็นวันชาติของเกาหลีเหนือ สื่อเกาหลีใต้หลายสำนักจึงคาดการณ์ว่าทั้งสามจะได้พบกันในวันดังกล่าว
กิจกรรมรวมญาติในครั้งนี้เป็นผลของมาตรการสร้างความไว้วางใจ (confidence-building measures) ระหว่างผู้นำสองเกาหลี ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา นอกจากกิจกรรมดังกล่าวแล้ว ทั้งสองประเทศยังมีการส่งนักกีฬาร่วมทีมเดียวกันในการแข่งขันเอเชียนเกมที่ประเทศอินโดนิเซียที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ อีกทั้งยังมีโครงการที่จะสร้างศูนย์ประสานงานระหว่างสองเกาหลีในจังหวัดเกซองของเกาหลีเหนืออีกด้วย[full-post]
แสดงความคิดเห็น