รายงาน: 'ล่องแพในกระแสเชี่ยว' สร้างสรรค์องค์กรทางสังคมท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลง
Posted: 26 Oct 2016 10:38 AM PDT  (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เวบไซท์ประชาไท)

ล่องแพในกระแสเชี่ยว เป็นหนังสือที่รวบรวมประสบการณ์และองค์ความรู้ของคนทำงานทางด้านสังคมในสหรัฐอเมริกา ทั้งกลุ่มคนรักเพศเดียวกัน กลุ่มคนผิวดำ กลุ่มคนยากจน คนไร้บ้าน กรรมกร นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม ฯลฯ คนทำงานหลากหลายกลุ่มเหล่านี้ได้มาสรุปบทเรียนร่วมกันทั้งงานเคลื่อนไหว งานจัดตั้ง ปฏิบัติการไร้ความรุนแรง รวมทั้งการจัดองค์กรแนวระนาบ จนก่อเกิดเป็นหนังสือเล่มนี้

หนังสือเล่มนี้เดินทางมายาวนานกว่าจะออกมาในภาคภาษาไทย และเมื่อคนทำงานทางด้านสังคมในไทยมีโอกาสได้อ่านก็ชวนกันมาสนทนาสิ่งที่ได้จาก ล่องแพ เกิดเป็นวงเสวนา “มองบทเรียนการขับเคลื่อนองค์กรทางสังคมผ่านหนังสือล่องแพในกระแสเชี่ยว” ขึ้นเมื่อวันที่ 24 ก.ค. ที่ผ่านมา

ชีวิน อริยะสุนทร ผู้จัดการแผนงานเสริมสร้างศักยภาพผู้นำการเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างความเป็นธรรมทางสังคมและสุขภาพ (นธส.) กล่าวถึงการจัดวงเสวนาครั้งนี้ว่า “เพื่อเป็นพื้นที่ให้คนทำงานองค์กรทางสังคมได้มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์การทำงานโดยใช้หนังสือ ล่องแพในกระแสเชี่ยว ซึ่งเป็นประสบการณ์การทำงานองค์กรภาคสังคมในอเมริกามาพูดคุยกัน และมองไปข้างหน้าว่าเราจะมีทิศทางเดินไปข้างหน้าเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมในระดับองค์กรทางสังคมอย่างไร”
ลองมาฟังประสบการณ์ของคนทำงานองค์กรทางสังคมในไทยกันบ้างว่าเหมือนหรือแตกต่างอย่างไร รวมทั้งหลากหลายมุมมองที่ได้จากการอ่านหนังสือเล่มนี้
 

วัฒนธรรมอำนาจนิยมในองค์กรทางสังคม

เราคิดว่าการเปลี่ยนแปลงข้างนอกกับข้างในมันไม่ได้แยกกัน เมื่อไรที่แยกกันแปลว่าเราไม่เข้าใจ  เมื่อไรที่เราเห็นข้างนอกกับข้างในแยกกัน เรายังไม่เข้าใจเรื่องการทำงานเพื่อการเปลี่ยนแปลง
- อวยพร เขื่อนแก้ว -

อวยพร เขื่อนแก้ว ศูนย์ผู้หญิงเพื่อสันติภาพและความยุติธรรม หนึ่งในผู้แปล เริ่มต้นวงเสวนาโดยกล่าวถึงผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ว่า “จอร์จ เลกี้ เป็นอาจารย์คนหนึ่งที่เปลี่ยนชีวิตเรา ปัจจุบันจอร์จอายุ 87 ปี อยู่ฟิลาเดลเฟีย และเป็นเควกเกอร์ (Quakers)  ที่ยอมรับเขาเป็นอาจารย์เพราะเขาไม่ได้พูดถึงความเป็นธรรมข้างนอกเท่านั้น แต่พูดถึงความเป็นธรรมข้างในด้วย จากที่เคยเข้าอบรมกับจอร์จ สิ่งที่ จอร์จ เลกี้ ทำคือ เชื่อว่าทุกคนไม่ใช่แก้วน้ำที่ว่างเปล่า อาจารย์เพียงแต่บอกว่าทุกคนมีน้ำในแก้วและน้ำไม่เหมือนกัน อาจารย์ช่วยย้ำว่าเราแต่ละคนมีน้ำในแก้ว อาจารย์เอาน้ำเหล่านั้นออกมา พอมารวมกันมันก็มากขึ้นและหลากหลาย ซึ่งนี่คือหัวใจของการศึกษาเพื่อการเปลี่ยนแปลง”

จอร์จ เลกี้ เขียนหนังสือหลายเล่มเพื่อแบ่งปัน “การศึกษาเพื่อการเปลี่ยนแปลง” อย่างที่เขาเชื่อ และ ล่องแพในกระแสเชี่ยว ก็เป็นหนึ่งในนั้น

“เล่มนี้แปลเมื่อ 22 ปีที่แล้ว ตอนนั้นแปลแล้วแปลไม่หยุดเพราะสิ่งที่แปลคือสิ่งที่เรานั่งอยู่ที่นั่นและเราเจอกับมัน เราได้เห็นว่าองค์กรทางสังคมมีการใช้อำนาจนิยมสูงมาก โครงสร้างองค์กรปิรามิด และคนที่มีอำนาจสูงสุดไม่ได้อยู่ในโครงสร้างปิรามิดด้วยซ้ำ แต่อยู่ข้างนอกปิรามิด” อวยพรเล่าถึงเมื่อครั้งแปลเล่มนี้ในช่วงที่ทำงานองค์กรทางสังคมแห่งหนึ่ง

“ตอนนั้นเริ่มค้นพบว่าเราทำงานด้วยความโกรธ โกรธกับความไม่เป็นธรรม แล้วเรารู้สึกว่ามันทำร้ายตัวเอง บวกกับการทำงานเรื่องผู้หญิงในตอนนั้นก็ไม่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางแม้กระทั่งองค์กรที่ตัวเองอยู่ และเราเองเคยถูกใช้ความรุนแรงในครอบครัว เราไม่ได้รับการเยียวยา มันเกิดการเปิดเข้าไปข้างในตัวเองเพื่อจะเยียวยา ขณะเดียวกันเราก็เห็นว่าองค์กรไม่ได้ช่วยเยียวยาคน คนที่กระโจนเข้าไปทำงานหลายคนได้รับบาดเจ็บมาก่อน แล้วกระโจนเข้ามาทำงานเรื่องความเป็นธรรมโดยไม่ได้รับการเยียวยา สอง กระโจนเข้าไปทำงานเพราะเป็นคนดี เป็นคนชั้นกลาง เป็นคนชั้นสูง

“พอแปลหนังสือเล่มนี้ก็เลยตัดสินใจกลับบ้านเพราะเชื่อว่าจะสามารถสร้างองค์กรที่ใช้อำนาจร่วมได้ โดยที่คนทำงานจะต้องพัฒนาอำนาจภายใน เพราะถ้าไม่พัฒนาอำนาจภายในจะไม่มีทางเข้าใจเรื่องการใช้อำนาจร่วม  ตอนทำงานกับพระกับแม่ชีก็เจอเรื่องอำนาจนิยมที่มาพร้อมกับการเทศนาสั่งสอน เราพบว่าแทบทุกองค์กรรากหญ้าล้วนเจอปัญหาเดียวกันคืออำนาจนิยมในองค์กร”

อวยพรตั้งคำถามสำคัญว่า “ในเมื่อสังคมทุกวันนี้เป็นสังคมปิรามิดแล้วถ้าเราสร้างองค์กรแบบปิรามิดแล้วจะเปลี่ยนแปลงสังคมได้อย่างไร”

สังคมปิรามิดในความหมายของอวยพรคือสังคมชายเป็นใหญ่แบบอำนาจนิยม “คือสังคม homophobia อำนาจนิยมแบบชายเป็นใหญ่ ซึ่งไม่ได้แปลว่าผู้หญิงไม่บ้าอำนาจ ผู้หญิงเองก็อาจมีแหล่งอำนาจอื่นเช่นฉันเป็นคนตั้งองค์กร ฉันจบดอกเตอร์ หรือฉันเป็นพี่ แล้วสามารถกดขี่ไม่ฟังเสียงผู้ชายก็ได้ ดังนั้นถ้าเราสร้างองค์กรแบบปิรามิดเราจะเปลี่ยนแปลงสังคมปิรามิดได้อย่างไร ก็เหมือนนั่งสัมมนาถ้านั่งเป็นแถวๆ แล้วสี่คนมานั่งพูดข้างหน้ามันก็ผลิตซ้ำโครงสร้างปิรามิด แต่พอเรานั่งเป็นวงกลม energy มันเปลี่ยน เราได้ยินกัน เราเห็นกัน”

ในฐานะคนจัดกระบวนการเรียนรู้ในเรื่องนี้อวยพรกล่าวปิดท้ายไว้ว่า “ทุกวันนี้ยังคงทำเรื่องอำนาจร่วม เพราะเราคิดว่าการเปลี่ยนแปลงข้างนอกกับข้างในมันไม่ได้แยกกัน เมื่อไรที่แยกกันแปลว่าเราไม่เข้าใจ เมื่อไรที่เราเห็นข้างนอกกับข้างในแยกกัน เรายังไม่เข้าใจเรื่องการทำงานเพื่อการเปลี่ยนแปลง”

วัฒนธรรมองค์กรแบบเควกเกอร์

เควกเกอร์สนใจในสัมพันธภาพของมนุษย์ต่อมนุษย์ ความจริงใจ การรับฟังอย่างลึกซึ้ง การไม่สะสมทรัพย์ การลดการบริโภค  การจับตัวเป็นองค์กรของเควกเกอร์เป็นไปเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง  เพราะเควกเกอร์ตั้งปณิธานไว้ว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสันติภาพโลก
- ธีรวัฒน์ ตันติวิริมานนท์ -
จากที่อวยพรกล่าวถึงผู้เขียน จอร์จ เลกี้ ว่าเป็นเควกเกอร์นั้น ธีรวัฒน์ ตันติวิริมานนท์ ที่ปรึกษาการบริหารแผนงาน การจัดการโครงการและการพัฒนาองค์กร ได้ขยายความให้เห็นภาพของ “เควกเกอร์” ผ่านหนังสือเล่มนี้ว่า

“เวลาผมอ่านหนังสือเล่มนี้ผมมองสมมติตัวเองว่า จอร์จ เลกี้ กำลังเขียนในวัฒนธรรมไหน ผมพบว่าเล่มนี้เขียนในวัฒนธรรมของเควกเกอร์ แต่เป็นวัฒนธรรมเควกเกอร์ที่เป็นส่วนหนึ่งของกระแสหลักของวัฒนธรรมอเมริกัน กล่าวคือวัฒนธรรมอเมริกันส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์ วัฒนธรรมอเมริกันจะเน้น performance (ฝีมือ) และ productivity (ผลผลิต) การจัดองค์กรก็จะมุ่งไปที่ตรงนี้มากและไม่เอาใจใส่สัมพันธภาพระหว่างบุคคลมากเท่าที่ควร ก็เลยเกิดคำว่า ‘ทุกคนอยู่สุดเอื้อม’ อันนี้เป็นสภาพหลักทั่วไปและอิงกับวิทยาศาสตร์ แต่เควกเกอร์เป็นอีกอย่างหนึ่ง

“ผมเคยทำงานกับพวกเควกเกอร์ในลาว องค์กรในฟิลาเดลเฟีย American Friends Service Committee และผมก็ได้สัมผัสกับวัฒนธรรมของเขา เควกเกอร์สนใจในสัมพันธภาพของมนุษย์ต่อมนุษย์ ความจริงใจ การรับฟังอย่างลึกซึ้ง การไม่สะสมทรัพย์ การลดการบริโภค การจับตัวเป็นองค์กรของเควกเกอร์เป็นไปเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง เพราะเควกเกอร์ตั้งปณิธานไว้ว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสันติภาพโลกจะมาในรูปแบบไหนก็ตาม บางคนเชื่อในรูปแบบของการต่อต้านสงครามก็เป็น pacifism (นักสันตินิยม) บางคนเชื่อเรื่องการเข้าไปช่วยเหลือคนที่อยู่ชายขอบก็เป็นนักพัฒนา  แล้วคนพวกนี้จะมีลักษณะเอาตัวเข้าแลก เขาเอาคอเขาขึ้นเขียงเพื่ออุดมการณ์ของเขา  ยกตัวอย่างเมื่อครั้งรัฐบาลบุชคนพ่อหรือเรแกนสมัยนั้นต้องการทำสงคราม พวกเควกเกอร์ก็จะไม่เสียภาษีแต่เขาจะเอาเงินภาษีเก็บเป็นกองทุนเพื่อทำสันติภาพ รัฐบาลจะจับเขาก็จับแต่เขาเสียภาษีนี่ มันก็เกิดภาวะกระอักกระอ่วนขึ้น ถ้าเขาถูกเกณฑ์ไปทำสงครามเขาก็ไม่ไป แต่ถ้าเขาจำเป็นต้องไปเขาก็จะไม่ถือปืน แต่ไปขับรถพยาบาล ไปเป็นทหารเสนารักษ์แทน หรือถ้าอเมริกาจะไปทิ้งระเบิดที่อิรัก เควกเกอร์ก็จะส่งคนไปที่อิรักไปเป็นโล่ห์มนุษย์

“ฉะนั้นการสร้างองค์กรของเขาเป็นไปเพื่อช่วยให้เขาทำการเปลี่ยนแปลงตรงนั้นได้สำเร็จ องค์กรของเขาไม่ได้เป็นไปเพื่อทำกำไรสูงสุด หรือเพื่อความมั่นคงหรือเป็นฐานอำนาจให้ตัวเอง เขาเพียงเป็นคนที่มีอุดมการณ์หรือตั้งปณิธานเพื่อ world peace หรือสันติภาพโลก  พวกเขามารวมกันแล้วหาทางปฏิสัมพัทธ์กันเพื่อให้แต่ละคนมีความสุขที่จะทำงานต่อไปได้ ก็เกิดประเพณีขนบปฏิบัติอันหนึ่งคือการตัดสินใจ เขาจะปฏิเสธฐานอำนาจโดยสิ้นเชิง คุยกันจนทุกคนตกผลึกผงกหัวยอมรับแล้วถึงทำ ถ้ามีคนหนึ่งที่ไม่ยอมรับก็จะต้องคุยกันต่อ บางทีเป็นวัน จนกระทั่งได้ฉันทามติ

“แนวคิดเรื่องเควกเกอร์มีส่วนคล้ายอย่างมากกับการนับถือศาสนาพุทธในชุมชนซึ่งมีพิธีกรรมน้อยมาก ผมคิดถึงประเพณีทอดกฐินผ้าป่าซึ่งไม่มีหัวหน้า แต่ละคนมีปณิธานร่วมกัน แล้วไม่ต้องสั่งการกัน ดูเหมือนว่าทุกคนจะทำสิ่งที่ขาดโดยไม่จำเป็นต้องมีใครมาบอกว่าต้องทำอะไร ถ้ามีอะไรผิดพลาดก็หัวเราะกันด้วยความชื่นมื่น

“สิ่งนี้ทำให้องค์กรเควกเกอร์พิเศษแตกต่างจากองค์กรกระแสหลักของอเมริกา และพิเศษต่างจากคัมภีร์พัฒนาองค์กรในเชิงวิทยาศาสตร์ที่มองในเชิงผู้สังเกตการณ์ แต่ จอร์จ เลกี้ จะมองมิติของภายในด้วย เขาจะไม่พูดถึงโครงสร้างองค์กร job description การแบ่งอำนาจหน้าที่ การไหลของเอกสารซึ่งเรื่องพวกนี้ส่วนใหญ่ก็รับมาจากทางการทหารและอุตสาหกรรม แต่เขาจะดูว่าเงื่อนไขอะไรที่จะได้ใจคน หลอมใจคน และทำให้คนทำงานมีความสุข นี่คือพูดถึงอำนาจร่วม

“อำนาจร่วมนี้ไม่เพียงแต่หาโครงสร้างกลไกอำนาจร่วมระหว่างผู้ปฏิบัติงานกับผู้ปฏิบัติงาน แต่รวมถึงอำนาจร่วมของปัจเจก ตัวตนของเขาต่ออัตตาของเขาด้วย อย่างที่ในหนังสือเล่มนี้พูดถึงการจำกัดความเครียดเวลาเกิดความขัดแย้งภายในตัวเรา แนวโน้มที่จะคาดคั้นตัวเองทำให้เราไม่เป็นสุข เป็นต้น

“ที่จริงวัฒนธรรมองค์กรเรารับมาจากต่างประเทศ แล้วเราก็รับเอาส่วนที่เป็นวิทยาศาสตร์ ส่วนที่เป็นกระแสหลักมา แล้วเราก็เข้าใจว่ากำไร ประสิทธิภาพ รวมถึงเรื่องฝีมือเป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจมากกว่าเรื่องของคนต่อคน เราคิดถึงระบบการติดตามงานและประเมินผลงาน (M&E / monitor & evaluation)ในลักษณะของการควบคุมเพื่อให้เป็นไปตามเป้าที่เราต้องการโดยลืมความเป็นมนุษย์ไป แต่แท้จริง M&E ในงานเปลี่ยนแปลงสังคมเป็นงานที่หนุนเสริมให้เกิดความสำเร็จ และไปหนุนเสริมคนต่อคน ช่วงอารมณ์จิตใจภายในของเขาเพื่อให้ได้ผล ส่วนความสำเร็จหรือล้มเหลวเรามาถอดบทเรียนกัน ตรงนั้นสำคัญกว่า คือเก็บบทเรียนจากการก้าวเดินทดลองทดสอบตามสมรภูมินั้นๆ แล้วก็ศึกษาเพื่อว่าอย่างน้อยเราก็จะได้มีข้อมูลสมรภูมิที่มันปรับเปลี่ยนแล้วก็ยุทธศาสตร์ที่มันได้ผลและไม่ได้ผล”


โครงสร้างปิรามิดในองค์กรเอ็นจีโอไทย

ผมคิดว่าจุดเปลี่ยนที่เป็นหัวใจที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงก็คือโครงสร้างของเอ็นจีโอซึ่งเป็นปิรามิดจะเปลี่ยนได้มั้ย เป็นเรื่องที่ท้าทาย...ทำอย่างไรให้เอ็นจีโอสร้างนวัตกรรมทำงานร่วมกันกับภาคประชาสังคมคนยากคนจนได้อย่างแท้จริง
- จะเด็จ เชาว์วิไล -
เมื่อมองย้อนกลับมาที่องค์กรเอ็นจีโอไทย ดังที่อวยพรได้กล่าวไปตอนต้นแล้วว่าองค์กรที่ทำงานด้านสังคมล้วนมีวัฒนธรรมอำนาจนิยม องค์กรเอ็นจีโอไทยส่วนใหญ่ก็เช่นกัน และโครงสร้างองค์กรแบบปิรามิดที่ใช้กันอยู่ก็ได้กลายเป็นเสาหลักค้ำจุนวัฒนธรรมนั้นให้ดำรงอยู่สืบเนื่องมา

ในฐานะคนทำงานและคลุกคลีอยู่ในแวดวงองค์กรพัฒนาเอกชนไทยมาหลายปี จะเด็จ เชาว์วิไล  มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล สะท้อนมุมมองประเด็นนี้ไว้ว่า

“ผมทำงานทั้งกับองค์กรที่ทำงานมานานและมาทำองค์กรใหม่ ก็มีคำถามว่าทำไมโครงสร้างองค์กรที่มีลักษณะแบบปิรามิดมันถึงเกิดปัญหา ผมพบว่าวงการเอ็นจีโอไทยขึ้นอยู่กับคนไม่กี่คน แล้วก็พูดกันวาทกรรมเดิมๆ ว่าผู้นำจะต้องยึดกุมสภาพไปเรื่อยๆ เพราะน้องๆ ประสบการณ์น้อย ยากมากที่จะเห็นทิศทางในอนาคต ซึ่งเป็นวาทกรรมที่ผมไม่เห็นด้วย

“จากประสบการณ์ที่ผมเจอมา พอถึงขั้นหนึ่งองค์กรที่ไม่มีกระบวนการมีส่วนร่วม ไม่มีกระบวนการตรวจสอบ มันทำให้คนหลุดออกไปจากขบวน คือพอไม่มีกระบวนการตรวจสอบ มีลักษณะปิรามิดเขาก็มีโอกาสหลุดออกไปทั้งจากชื่อเสียงหรือตำแหน่ง เอ็นจีโอมักคิดว่าเราไม่ใช่นักการเมืองที่ได้รับเลือกตั้งเข้ามาถูกตรวจสอบ เราเป็นคนที่ถูกอุปโลกน์ว่าตัวเองเสียสละทำงานเพื่อสังคม ดังนั้นกระบวนการตรวจสอบเราจึงมีน้อยมาก นี่คือสิ่งที่ผมคิดว่าเป็นปัญหา

“ผมทำงานมา 31 ปี แรกๆ สิ่งเหล่านี้ไม่เกิดขึ้นเพราะตอนนั้นองค์กรพัฒนาเอกชนไม่ได้รับการยอมรับ ไม่มีใครรู้จัก แต่พอหลังเหตุการณ์พฤษภา 35 บทบาทเอ็นจีโอโดดเด่นมาก ผมคิดว่านั่นเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เอ็นจีโอหลายคนเริ่มคิดว่าการทำงานเชิงโครงสร้างเป็นเรื่องสำคัญ สมัยผมทำงานไม่มีเอ็นจีโอคนไหนที่ฐานลอย ทุกคนทำงานกับกรรมกร ทำงานกับชาวไร่ชาวนา ทำงานกับคนสลัม ทำงานกับคนชายขอบ  มีทฤษฎีในการทำงานเยอะแยะเต็มไปหมด เช่นเศรษฐศาสตร์การเมือง สาธารณสุขมูลฐาน เกษตรผสมผสาน ฯลฯ ภาพรวมของเอ็นจีโอที่ผ่านมาเคยทำงานอยู่กับชาวบ้าน มีอุดมคติช่วยเหลือคนยากคนจน เพราะเราเชื่อว่าถ้าช่วยเหลือคนยากคนจนแล้วจะนำมาสู่ความเป็นธรรมทางสังคม ทำให้เกิดความเสมอภาคทางสังคม แต่พอหลังพฤษภา 35 เอ็นจีโอส่วนหนึ่งคิดว่าโครงสร้างเท่านั้นที่จะนำมาสู่การทำให้เกิดความเป็นธรรม เลิกทำงานฐาน ซึ่งผมคิดว่ามันผิดในเชิงยุทธศาสตร์ และมันก็นำมาสู่การไม่มีกระบวนการตรวจสอบจากขบวนการประชาชน
“สำหรับผม งานฐานเป็นทั้งกลุ่มเป้าหมายและพื้นที่  ถ้าเรายึดโยงกับคนไม่ได้รับความเป็นธรรม ผมเชื่อว่าคนทำงานอย่างพวกเราจะรู้สึกได้ว่าเราไม่ได้เป็นคนดี ไม่ใช่นางฟ้าไปฉุดเขามาจากนรก แต่เราเป็นคนไม่ต่างจากเขา มันสร้างสำนึกตรงนี้ให้เกิดขึ้นได้จากการลงไปสัมผัสเชิงลึก เราต้องไปใช้ชีวิตกับเขาเรียนรู้กินอยู่กับเขา แต่ถ้าเราทำงานโดยขาดตรงนี้มันก็ทำให้เรามองจากตัวเองโดยไม่มีกระบวนการตรวจสอบจากเขา ก็จะคิดแต่ว่าตัวเองทำดีอยู่แล้ว ซึ่งไม่ได้ผิดแต่ผมคิดว่าในทางจิตวิญญาณมันหายไป ผมห่วงว่าถ้าเอ็นจีโอขาดการทำงานแบบนี้ก็จะทำให้ไปคิดว่างานเชิงโครงสร้างเท่านั้นที่แก้ปัญหาซึ่งผมว่าไม่ใช่”

“เมื่อโครงสร้างองค์กรแบบปิรามิดที่มีปัญหาเพราะไม่มีกระบวนการตรวจสอบ พอมาบวกกับลักษณะความหวังดีความเป็นปัญญาชน เราก็เลยมีความเชื่อว่าเราคิดถูก ในหนังสือเล่มนี้ก็มีตัวอย่างชัดเจนที่ว่าองค์กรผู้หญิงบางส่วนที่เป็นปัญญาชนคนชั้นกลางใช้ประเด็นตัวเองไปครอบผู้หญิงยากจน ผู้หญิงยากจนเขาต้องการการแก้ปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจ แต่พอปัญญาชนคนชั้นกลางเข้าไปทำงานก็พูดเรื่องโน้นเรื่องนี้ซึ่งมันไม่ได้แก้ปัญหาความยากจน ซึ่งในเมืองไทยก็มี การเอาความหวังดีของเราไปครอบเขา นี่คือลักษณะของปัญญาชนคนชั้นกลางที่คิดว่าตัวเองติดดี

“ผมออกมาทำงานกับคนรุ่นใหม่ๆ เพราะผมเชื่อว่าต้องกล้าที่จะท้าทายเปลี่ยนโครงสร้าง การใช้อำนาจร่วมมันอาจจำเป็นแล้วสำหรับขบวนการในสังคมที่มีความสลับซับซ้อนต้องการความคิดเห็นร่วม หมดยุควีรชนเอกชนแล้ว ถ้าจะอยู่ในสังคมที่สลับซับซ้อนคุณต้องฟังคนหลากหลาย ผมคิดว่าจุดเปลี่ยนที่เป็นหัวใจที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงก็คือโครงสร้างของเอ็นจีโอซึ่งเป็นปิรามิดมันจะเปลี่ยนได้มั้ย เป็นเรื่องที่ท้าทาย  และหนังสือเล่มนี้น่าจะเป็นแรงบันดาลใจที่จะเป็นเครื่องมือให้คนรุ่นใหม่ๆ ได้มีพื้นที่ เป็นเครื่องมือหนึ่งที่จะเป็นจุดเปลี่ยนของภาคประชาสังคมเพราะมันตอบโจทย์หลายอย่าง”

จะเด็จกล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า “สุดท้ายผมไม่อยากให้เอ็นจีโอฐานลอย ทำอย่างไรให้เอ็นจีโอสร้างนวัตกรรมทำงานร่วมกันกับภาคประชาสังคมคนยากคนจนได้อย่างแท้จริง”

 

การจัดรูปองค์กรเครือข่ายแบบปลาดาว


 
การทำงานเครือข่ายในลักษณะที่มีอำนาจจากศูนย์กลางควบคุมสั่งการไปสู่พื้นที่ แล้วพื้นที่ก็ทำเหมือนกันหมด นี่คือแบบแมงมุม มีแมงมุมตรงกลางมันชักใยไปทั่ว ซึ่งผมคิดว่ามันถึงทางตันแล้ว แต่ถ้าเป็นแบบปลาดาว ปลาดาวมันไปโตแต่ละที่ อย่างน้อยเสี้ยวหนึ่งที่หักไปมันก็ไม่ตายมันไปโตต่อได้ เพราะบริบทพื้นที่ไม่เหมือนกัน
- องอาจ พรหมมงคล -

องอาจ พรหมมงคล  เครือข่ายองค์กรงดเหล้าภาคใต้ กล่าวถึงหนังสือเล่มนี้ว่า “มันเข้ามาสู่ช่วงที่ผมมีคำถามพอดีว่า ถ้าเราจะตั้งองค์กรแล้วไม่ได้วางโครงสร้างแบบปิรามิดจะทำยังไง”

เขาเล่าถึงประสบการณ์การทำงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้าในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการจัดรูปองค์กรใหม่ “ผมมีฐานเชื่อเรื่องการทำงานแบบแนวราบ ผมโชคดีที่เป็นคนรุ่นใหม่ที่เข้ามาทำงานเครือข่ายงดเหล้าในช่วงปี 2555-56 ซึ่งอยู่ในช่วงภาวะการเปลี่ยนแปลงของเครือข่ายงดเหล้าพอดี เครือข่ายงดเหล้าทำงานมา 12 ปี ปี 56 เป็นช่วงที่ครบสิบปีมันเกิดการเปลี่ยนแปลง คำที่ผมได้ยินตอนเข้ามาทำงานเครือข่ายงดเหล้าคือจะเปลี่ยนจากแมงมุมไปเป็นปลาดาว ผมก็เริ่มสงสัยแมงมุมคืออะไร ปลาดาวคืออะไร

“ความเป็นเครือข่ายงดเหล้ามันซับซ้อน เปรียบเหมือนแมงมุมตรงกลางมันชักใยไปทั่ว มันมีวิธีคิดเชิงยุทธศาสตร์ทั้งเรื่องขับเคลื่อนนโยบายที่มาจากตรงกลาง ซึ่งผมคิดว่ามันไม่สนุกสำหรับคนทำงานในพื้นที่ แต่ถ้าเป็นปลาดาวล่ะ ปลาดาวมันไปโตแต่ละที่ อย่างน้อยเสี้ยวหนึ่งที่หักไปมันก็ไม่ตายมันไปโตต่อได้ เพราะบริบทพื้นที่ไม่เหมือนกัน ภาคใต้กับอีสานก็ต่างกัน ผมว่าอย่างนี้น่าสนุก

“ตอนปี 56 ผมก็เริ่มไปก่อตั้งองค์กรทางภาคใต้ ก็หาทีมหาน้องมาช่วยแล้วก็พบว่าไม่ง่ายเลยที่จะสร้างองค์กร แต่สุดท้ายก็ฝ่ามาได้ ผมไม่เชื่อในการทำงานแนวดิ่ง ผมมีทีมงาน 8 คน รับผิดชอบ 7 จังหวัดภาคใต้ตอนบนตั้งแต่ชุมพรลงไป ผมก็แบ่งทีมแบ่งสายงานลงไป แต่ละจังหวัดก็จะมีโครงสร้างขององค์กรงดเหล้าต่างกันไป แต่ละจังหวัดก็มีเครือข่ายชุมชนอยู่ด้วย ฉะนั้นในการเคลื่อนเรื่องงานเหล้าต้องเคลื่อนเป็นขบวนใหญ่ สมมติถ้าผมสั่งว่าเจ็ดจังหวัดต้องเคลื่อนเรื่องงดเหล้าเข้าพรรษาปีนี้เรื่องพักตับ ถ้าจังหวัดชุมพรบอกว่าคนชุมพรไม่เก๊ตเรื่องพักตับ แต่เขาจะทำปฏิญาณตนบนผืนผ้ารอบพระธาตุสวี อย่างนี้เป็นต้น คือมันต้องขึ้นอยู่กับบริบทของพื้นที่ ดังนั้นผมจึงเอามติของแต่ละพื้นที่เป็นตัวตั้งแล้วถึงจะเคลื่อนร่วมกัน

“การทำงานแบบเครือข่าย การมีอำนาจจากศูนย์กลางในการถ่ายลงไปสู่ความเป็นเครือข่ายของพื้นที่ การควบคุมสั่งการอยู่ที่ส่วนกลาง แล้วก็ทำเหมือนกันหมด สิบปีที่ผ่านมาของเครือข่ายงดเหล้าเป็นแบบแมงมุม ในมุมมองผมคิดว่าไปต่ออย่างนั้นไม่ได้เพราะมันตันแล้ว แต่ถ้าเป็นปลาดาว ความเป็นบริบทของแต่ละพื้นที่ปัญหามันไม่เหมือนกัน”

 

อำนาจร่วมคือคำตอบของขบวนการเปลี่ยนแปลงสังคม

ประเด็นอำนาจร่วมเป็นทั้งโจทย์ใหญ่และคำตอบให้กับขบวนการขับเคลื่อนทางสังคมที่จะเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมในรูปแบบใหม่ ต้องสร้างอำนาจร่วมให้เกิดขึ้น เป็นจริง และประยุกต์ใช้ได้ ผมว่าความล้มเหลวของสังคมนิยมก็มาจากรากปัญหานี้
- สามารถ สระกวี -

สามารถ สระกวี  เครือข่ายเกษตรฯ จ.สงขลา กล่าวถึงหนังสือเล่มนี้ว่า “รู้สึกเสียดายที่หนังสือเล่มนี้แปลมา 20 ปีแล้วแต่ไม่มีโอกาสได้อ่านตั้งแต่ช่วงที่ตัวเองยังหนุ่ม ผมมองย้อนกลับไป 30-40 ปีที่แล้วเราถูกกล่อมเกลาให้เข้าสู่เส้นทางนี้ด้วยกระบวนการของหนังสือที่วิเคราะห์วิพากษ์เพื่อชี้ให้เห็นปัญหาเชิงโครงสร้างเรื่องความไม่เป็นธรรม เรื่องการกดขี่ การเอารัดเอาเปรียบ  คนรุ่นผมก็คงคล้ายๆ กันที่ว่าเรารู้สึกประทับใจกับหนังสือของจิตร ภูมิศักดิ์ อย่างน้อยสองเล่มคือ โฉมหน้าศักดินาไทย กับ ศิลปะเพื่อชีวิตเพื่อประชาชน ซึ่งกระตุ้นปลุกเร้าหนุ่มสาวที่เริ่มซึมซับเรื่องความไม่เป็นธรรมให้ตั้งคำถามกับปัญหาเชิงโครงสร้าง ผมจินตนาการว่าถ้าล่องแพในกระแสเชี่ยว มาเชื่อมต่อช่วงวัยที่ผมอินกับสองเล่มนั้นก็จะน่าประทับใจมาก

ล่องแพ เป็นประสบการณ์ตรงของคนทำงาน แล้วเราก็เป็นคนทำงาน พออ่านไปมันก็ซึมซับระหว่างเรื่องราวในหนังสือกับเรื่องราวของเราด้วย สิ่งที่เราเป็นเราอยู่ในขบวนเคลื่อนไหวในไทย กลายเป็นว่าความรู้ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่แบ่งเพศแบ่งวัย ผมประทับใจมากอ่านหนังสือเล่มนี้ มีทั้งอารมณ์เจ็บปวดรู้สึกผิด บางช่วงก็รู้สึกอิ่มอกอิ่มใจ หลายสิ่งเราพึ่งรู้พึ่งเข้าใจ โดยเฉพาะช่วงที่กระแสน้ำเชี่ยวแล้วเราต้องอยู่ในบทบาทที่ต้องก้าวผ่าน อ่านแล้วได้หลากหลายอารมณ์มาก เป็นความรู้ใหม่ๆ เป็นประสบการณ์ตรงของอีกที่หนึ่งแต่ก็ไม่ต่างกันเท่าไรกับสภาพของเรา

“ประเด็นที่น่าจะเป็นประเด็นแกนกลางที่สุดก็คือเรื่องอำนาจร่วม ประเด็นอำนาจร่วมเป็นทั้งโจทย์ใหญ่และคำตอบให้กับขบวนการขับเคลื่อนทางสังคมที่จะเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมในรูปแบบใหม่ แม้หนังสือเล่มนี้จะเป็นประสบการณ์ของอเมริกาแต่มันมีหลักการร่วมกันอยู่และมีความเหมือนกันอยู่บางอย่าง ดังนั้นโจทย์ใหญ่ของกลุ่มคนที่ทำงานขับเคลื่อนทางสังคมก็คือต้องสร้างอำนาจร่วมให้เกิดขึ้นได้และเป็นจริงและประยุกต์ใช้ได้ทั้งโลก ผมว่าความล้มเหลวของสังคมนิยมก็มาจากรากปัญหานี้

“เห็นชัดว่าผู้เขียนพยายามเชื่อมโยงให้เห็นว่าเรื่องทางสังคมกับเรื่องของตัวเองมันเป็นเนื้อเดียวกัน มันไม่ได้แยกจากกัน ทำให้ต้องกลับมาทบทวนว่าจริงๆ แล้วเราก็มีพฤติกรรมอำนาจนิยม มีหลายช่วงตอนของชีวิตทั้งชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว บางสถานการณ์เราก็รู้ตัว บางสถานการณ์เราก็ไม่รู้ตัวไม่เท่าทัน

“ผมมองว่าล่องแพเป็นหนังสือที่ให้กำลังใจตัวเราเอง ราวกับหนังสือรู้ว่าเรามีข้อผิดพลาดเยอะแยะไปหมด ผมชอบบทส่งท้ายของหนังสือตรงที่ว่า เรื่องราวทั้งหมดนั้นถูกขับเคลื่อนไปด้วยพลังแห่งความรัก ถ้าเราจะรักตัวเองรักสังคมนี่เป็นฐาน สิ่งที่เราเคยชินกับบริบทในสังคมที่เราถูกขัดเกลาถูกกล่อมเกลามาไม่ว่าจะเป็นเรื่องระบบอำนาจนิยมทัศนคติ สิ่งเหล่านี้มันมีอยู่ในตัวของเรา บางเรื่องเรารู้ตัวเราอยากจะออกไปจากจุดนั้นแต่มันไม่ใช่แค่เราเป็นผู้ที่จะมีสิทธิหรือมีอำนาจในการที่จะสร้างสิทธิเสรีภาพให้แก่ตัวเราเองได้เพราะเราเป็นจุดหนึ่งที่อยู่ในบริบทที่มันเป็นอยู่”

ในวงเสวนาครั้งนี้ผู้เข้าร่วมจากหลากหลายกลุ่มองค์กรยังได้แบ่งปันประสบการณ์ในการทำงานองค์กรทางสังคม รวมทั้งเสนอแนะเครื่องมือและวิธีคิดเชิงรูปธรรมในการสร้างสรรค์องค์กรเพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคมขึ้นมาใหม่ อาทิเช่น การนิยามงานตัวเองใหม่ การพยายามที่จะเปลี่ยนความสัมพันธ์ทางอำนาจแบบเดิมแบบปิรามิดมาสู่อำนาจร่วม การให้เจ้าของปัญหาพูดเองให้ได้ การที่มี facilitator คอยดึงให้ข้อมูลปรากฏตัวออกมา วัฒนธรรมล่มหัวจมท้ายที่ไม่ใช่ในนามของผู้ช่วยเหลือ ตลอดจนสมดุลของชีวิตกับการทำงาน เป็นต้น  พวกเขาก็ได้แต่หวังว่าบทสนทนาเหล่านี้จะเป็นแรงผลักดันประการหนึ่งของการสร้างสรรค์องค์กรเพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างแท้จริง
หมายเหตุ: เก็บความจากวงเสวนา “มองบทเรียนการขับเคลื่อนองค์กรทางสังคมผ่านหนังสือล่องแพในกระแสเชี่ยว” จัดโดย แผนงานเสริมสร้างศักยภาพผู้นำการเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างความเป็นธรรมทางสังคมและสุขภาพ (นธส.) โดยการสนับสนุนของสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ (สำนัก 9) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ สำนักพิมพ์ของเรา (protestista) เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2559 ณ ห้องประชุมชั้น 8 ศูนย์ศึกษาสยามคอมเพล็กซ์ มหาวิทยาลัยคริสเตียน อาคารสภาคริสตจักรในประเทศไทย ดำเนินรายการโดย กิตติชัย งามชัยพิสิฐ สำนักพิมพ์ของเรา

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.