ร่ำไห้ระงมกันทั้งประเทศจริงๆ สำหรับ”ชาวนา”ยุคนี้ เพราะจะไม่ให้ร่ำไห้ยังไงไหว เนื่องจากราคาข้าวเปลือกตกอยู่ที่กิโลกรัมละ 5 บาท ถูกกว่าการซื้อ "มาม่า" หนึ่งห่อด้วยซ้ำ ล่าสุดมีกระแสในโลกออนไลน์ชักชวนให้ชาวนาสีข้าวขายเอง โดยเฉพาะการขายตรง และขายออนไลน์ ทางเฟซบุ๊กนั่นเอง ซึ่งบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก เพราะหนทางเดียวที่จะสู้กับโรงสีที่เอารัดเอาเปรียบ นั่นก็คือความสามัคคี จับมือรวมกลุ่มกัน ปลูกเอง ขายเอง เพียงแต่การขายข้าวบนโลกออนไลน์ หรือขายตรงทุกชนิดตามกฎหมายสามารถทำได้แค่ไหนนั้น

เรื่องนี้ล่าสุดวันที่ 29 ต.ค. "รณณรงค์ แก้วเพ็ชร์" เจ้าของเพจ “ทนายคู่ใจ” ได้เขียนข้อกฎหมายให้ความรู้เกี่ยวกับการขายของบนเฟซบุ๊ก หรือ โลกออนไลน์ โดยเฉพาะสื่อสารไปถึงชาวนาที่ต้องการขายข้าวบนเฟซบุ๊กเอาไว้อย่างน่าสนใจว่า “ขายข้าวสารผ่านเฟซบุ๊ก ระวังโดนจับนะ” กระแสข้าวเปลือกต่อกิโลราคาตกต่ำยิ่งกว่าอาหารหมา หรือมาม่าซักห่อนี่มันเจ็บปวดจริงๆ แต่จะเจ็บยิ่งกว่าถ้าเอามาขายแล้วถูกดำเนินคดีโดยไม่รู้ตัว บ้านเราจะมีกฎหมายอยู่ฉบับหนึ่ง เรียกว่า พ.ร.บ.ขายตรงและการตลาดแบบตรง ซึ่งมีสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เป็นผู้มีอำนาจดำเนินคดี การโพสต์ขายสินค้าออนไลน์นั้น ต้องยื่นเรื่องขอจดทะเบียนต่อ สคบ.ก่อน มิเช่นนั้นจะมีความผิดตามกฎหมาย ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ระวังเงินที่อุตส่าห์ขายข้าวได้ จะโดนเอามาจ่ายค่าปรับซะล่ะ

(อ้างอิง พ.ร.บ.ขายตรงและการตลาดแบบตรง) มาตรา 20 ห้ามมิให้ผู้ใดประกอบธุรกิจขายตรง เว้นแต่จะได้จดทะเบียนการประกอบธุรกิจขายตรงตามพระราชบัญญัตินี้ มาตรา 47 ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 20 ....ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ และปรับอีกวันละไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืน )

วิธีแก้ไขคือให้ชาวนาไปเสียเงินจดทะเบียนการขายตรง กับสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภคของแต่ละจังหวัดครับ จะได้ถูกต้องตามกฎหมาย
กดไลค์กดแชร์กดติดตามแฟนเพจ #ทนายคู่ใจ ไว้ไม่เสียเปรียบใคร #แชร์วนไป #ขายข้าวสาร ขายเอง โดยเฉพาะการขายทางโซเชียล ที่ตอนนี้มีความนิยมกันมาก เพราะนอกจากไม่ต้องเสียค่าโฆษณาแล้ว ยังเป็นการกระจายข่าวไปทั่วมุมโลก แต่เรื่องของการข้าวบนโลกออนไลน์ ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องง่ายเสียแล้ว..

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.