Posted: 12 Dec 2017 09:00 AM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)

คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย แถลงสถานการณ์การเลิกจ้างคนงาน เผย 4 ปี ช่วยเหลือคดีความทางกฎหมายให้ลูกจ้างทั้งสิ้น 647 คน รวม 70 กรณี เปิด 10 ข้อจำกัดของกระบวนการยุติธรรมที่ยังรอการปฎิรูป


12 ธ.ค.2560 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่โรงแรมบางกอกพาเลซ มักกะสัน กรุงเทพมหานคร ฝ่ายกฎหมาย คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) ได้จัดแถลงข่าว “สถานการณ์การเลิกจ้างคนงานกับข้อจำกัดของกระบวนการยุติธรรมที่ยังรอการปฎิรูป” โดย คณะทำงานฝ่ายกฎหมาย ของ คสรท. ตั้งมา 4 ปีนั้น พบว่าระหว่างปี 2558-2560 ฝ่ายกฎหมาย คสรท. ได้มีการช่วยเหลือดำเนินคดีความทางกฎหมายให้ลูกจ้างทั้งสิ้น 647 คน รวม 70 กรณี ทั้งที่เป็นสมาชิก คสรท.และไม่ได้เป็นสมาชิก ในคดีแรงงาน คดีอาญา คดีแพ่ง และคดีปกครอง ซึ่งใน ปี 2556-57 มีทนายเพียงคนเดียวในการดำเนินการจึงไม่มีการบันทึกจำนวนคดีอย่างละเอียด โดยได้รับงบประมาณสนับสนุนจากองค์กรสมาชิกใน คสรท.โดยตรงจำนวน 240,550 บาท หรือเฉลี่ยคดีละ 3,436.50 บาท จากปกติอัตราค่าจ้างทนายอย่างน้อย 15,000 บาท/คดี






แถลงยังระบุว่า โดยเจตนารมณ์สูงสุดของศาลแรงงาน คือ การยึดหลักให้นายจ้างลูกจ้างทำงานร่วมกันได้อย่างสันติสุขและเป็นธรรม การพิจารณาคดีแรงงานจึงใช้ระบบไต่สวน โดยศาลจะเป็นผู้สืบเสาะหาข้อเท็จจริงเอง รวมทั้งสามารถเรียกบุคคลหรือเอกสารต่างๆเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงและพิพากษาไปตามรูปคดี โดยมีผู้พิพากษา 3 คนเป็นองค์คณะ ประกอบด้วยผู้พิพากษากลาง เจ้าของสำนวน ผู้พิพากษาสมทบฝ่ายนายจ้าง และผู้พิพากษาสมทบฝ่ายลูกจ้าง เน้นใช้ระบบไกล่เกลี่ยให้คู่ความตกลงกันได้ตลอดระยะเวลาก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษา

คสรท. ยังระบุด้วยว่า พบปัญหาที่เกิดขึ้นจากกระบวนการยุติธรรมที่ยังต้องมีการปฏิรูปต่อไป รวม 10 ประการ ประกอบด้วย 1. เป็นเรื่องยุ่งยาก หลายขั้นตอน ค่าใช้จ่ายสูง 2. ผู้พิพากษามาจากกระบวนการยุติธรรมปกติ ไม่มีความเชียวชาญเรื่องแรงงาน 3. ผู้พิพากษา 3 คน เป็นองค์คณะ มีสถานะไม่เท่าเทียมกัน 4. แนวโน้ของการไกล่เกลี่ยขัดแย้งกับสิทธิแรงงาน 5. มักให้ยอมความ มีคำตอบชัดเจนในชั้นไกล่เกลี่ย นายจ้างเสนอเงินชดเชยเลี่ยงการรับกลับเข้าทำงาน 6. คำพิพากษาศาลฎีกามีแนวโน้มที่จะนำบทบัญญัติใน ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาใช้กับคดีแรงงานอย่างเคร่งครัด 7. คดีแรงงานมีความล่าช้ามาก 8. การฎีกาคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์ให้กระทำได้เมื่อได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา 9. มีการอ้างหรือใช้ประเด็นทางอาญาเพื่อต่อรองกับผู้นำแรงงาน และ 10. ผู้พิพากษาจะพิพากษาคำร้องหรือคำฟ้องที่ลูกจ้างเป็นผู้ฟ้องมาเท่านั้น


รายละเอียดของแถลง :

สถานการณ์การเลิกจ้างคนงานกับข้อจำกัดของกระบวนการยุติธรรมที่ยังรอการปฎิรูป แถลงโดยฝ่ายกฎหมาย คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.)

นับเป็นเวลา 4 ปีกว่าที่คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) ได้มีการแต่งตั้งคณะทำงานฝ่ายกฎหมายขึ้นมาอย่างเป็นทางการตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2556 พบว่าระหว่างปี 2558-2560 ฝ่ายกฎหมาย คสรท. ได้มีการช่วยเหลือดำเนินคดีความทางกฎหมายให้ลูกจ้างทั้งสิ้น 647 คน รวม 70 กรณี ทั้งที่เป็นสมาชิก คสรท.และไม่ได้เป็นสมาชิก ในคดีแรงงาน คดีอาญา คดีแพ่ง และคดีปกครอง (ปี 2556-57 มีทนายเพียงคนเดียวในการดำเนินการจึงไม่มีการบันทึกจำนวนคดีอย่างละเอียด)

โดยได้รับงบประมาณสนับสนุนจากองค์กรสมาชิกใน คสรท.โดยตรงจำนวน 240,550 บาท หรือเฉลี่ยคดีละ 3,436.50 บาท จากปกติอัตราค่าจ้างทนายอย่างน้อย 15,000 บาท/คดี

จำแนกเป็น

§ ปี 2558 จำนวนลูกจ้างที่มาขอรับความช่วยเหลือ 10 กรณี รวมสำนวนคดี 285 สำนวน

1. เลิกจ้างและไม่จ่ายค่าชดเชย 5 กรณี รวมลูกจ้างได้รับผลกระทบ 7 คน

2. เลิกจ้างไม่เป็นธรรม 3 กรณี รวมลูกจ้างได้รับผลกระทบ 276 คน

3. ถูกลงโทษทางวินัยไม่เป็นธรรม 1 กรณี รวมลูกจ้างได้รับผลกระทบ 1 คน

4. ฟ้องดำเนินคดีอาญาลูกจ้างกรณีลักน้ำมัน 1 กรณี รวมลูกจ้างได้รับผลกระทบ 1 คน

§ ปี 2559 จำนวนลูกจ้างที่มาขอรับความช่วยเหลือ 10 กรณี รวมสำนวนคดี 125 สำนวน

1. นายจ้างเลือกปฎิบัติต่อลูกจ้าง กระทำผิดตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 14/1 เรื่องข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม 1 กรณี รวมลูกจ้างได้รับผลกระทบ 96 คน

2. เลิกจ้างไม่เป็นธรรม 1 กรณี รวมลูกจ้างได้รับผลกระทบ 19 คน

3. เลิกจ้างไม่จ่ายค่าชดเชยและค่าอื่นๆที่เกี่ยวข้อง 1 กรณี รวมลูกจ้างได้รับผลกระทบ 2 คน

4. ฟ้องเพิกถอนคำสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์เรื่องการกระทำอันไม่เป็นธรรม 1 กรณี รวมลูกจ้างได้รับผลกระทบ 1 คน

5. การนิคมอุตสาหกรรมฟ้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งกรณีสหภาพแรงงานชุมนุมหน้าโรงงาน 1 กรณี รวมลูกจ้างได้รับผลกระทบ 2 คน

6. ลูกจ้างถูกฟ้องคดีอาญาข้อหากระทำการโดยประมาททำให้เกิดเพลิงไหม้ เรียกค่าเสียหายกว่า 100 ล้านบาทเศษ 1 กรณี รวมลูกจ้างได้รับผลกระทบ 1 คน

7. ลูกจ้างฟ้องสำนักงานประกันสังคมและคณะกรรมการอุทธรณ์ กรณีสำนักงานประกันสังคมวินิจฉัยกรณีทุพพลภาพไม่ถูกต้อง 1 กรณี รวมลูกจ้างได้รับผลกระทบ 1 คน

8. บริษัทยื่นคำร้องขออำนาจศาลเลิกจ้าง 1 กรณี รวมลูกจ้างได้รับผลกระทบ 1 คน

9. ลูกจ้างฟ้องสำนักงานประกันสังคมต่อศาลปกครองกลาง 2 กรณี รวมลูกจ้างได้รับผลกระทบกรณีแรกเกี่ยวข้องกับผู้ประกันตนมาตรา 33 จำนวน 10,781,241 คน กรณีที่สองเกี่ยวข้องกับผู้ประกันตนมาตรา 39 จำนวน 1,369,083 คน

§ ปี 2560 จำนวนลูกจ้างที่มาขอรับความช่วยเหลือ 50 กรณี รวมสำนวนคดี 239 สำนวน

1. เลิกจ้างไม่จ่ายค่าชดเชยและค่าอื่นๆ 34 กรณี รวมลูกจ้างได้รับผลกระทบ 42 คน

2. ขออำนาจศาลเลิกจ้างกรรมการลูกจ้าง 2 กรณี รวมลูกจ้างได้รับผลกระทบ 2 คน

3. ศาลฎีกาให้ย้อนสำนวนสืบพยานใหม่ ในรายละเอียดเวลาทำงานและวันหยุด ของลูกจ้าง 1 กรณี รวมลูกจ้างได้รับผลกระทบ 70 คน

4. ฟ้องบริษัทเรื่องข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม กรณีการจ่ายเงินโบนัส 1 กรณี รวมลูกจ้างได้รับผลกระทบ 63 คน

5. นายจ้างฝ่าฝืนสัญญาจ้างงานและข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง โยกย้ายงานไม่เป็นธรรม 1 กรณี รวมลูกจ้างได้รับผลกระทบ 39 คน

6. ขออำนาจศาลเลิกจ้าง เหตุหมิ่นประมาทนายจ้าง 1 กรณี รวมลูกจ้างได้รับผลกระทบ 5 คน

7. ขออำนาจศาลลงโทษ เหตุกรรมการลูกจ้างมาทำงานสาย 1 กรณี รวมลูกจ้างได้รับผลกระทบ 5 คน

8. บริษัทไม่จ่ายเงินค่าจ้างย้อนหลังให้กับลูกจ้าง ตั้งแต่วันที่ศาลแรงงานมีคำพิพากษาให้บริษัทรับเข้าทำงานในอัตราค่าจ้างเดิม จำนวน 1 กรณี รวมลูกจ้างได้รับผลกระทบ 4 คน

9. ลูกจ้างขอเป็นจำเลยร่วม ในกรณีที่บริษัทขอเพิกถอนคำสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ กรณีสั่งให้รับสมาชิกสหภาพแรงงานจำนวน 2 คน กลับเข้าทำงาน 1 กรณี รวมลูกจ้างได้รับผลกระทบ 2 คน

10.ขออำนาจศาลลงโทษ เหตุกรรมการลูกจ้างฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน 1 กรณี รวมลูกจ้างได้รับผลกระทบ 1 คน

11.นายจ้างไม่คืนเงินประกันและจ่ายเงินค่าคอมมิชชั่น 1 กรณี รวมลูกจ้างได้รับผลกระทบ 1 คน

12.บริษัทแจ้งความหมิ่นประมาทและเลิกจ้าง 1 กรณี รวมลูกจ้างได้รับผลกระทบ 1 คน

13.บริษัทฎีกาคดีอาญาข้อหาลูกจ้างลักน้ำมัน 1 กรณี รวมลูกจ้างได้รับผลกระทบ 1 คน

14.เพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน 1 กรณี รวมลูกจ้างได้รับผลกระทบ 1 คน

15.ฟ้องบริษัทเรื่องคำนวณวันลาผิดพลาดและส่งผลต่อการจ่ายโบนัส 1 กรณี รวมลูกจ้างได้รับผลกระทบ 1 คน

16.ฟ้องสำนักงานประกันสังคมและคณะกรรมการอุทธรณ์ เรียกเงินตามมาตรา 39 คืน 1 กรณี รวมลูกจ้างได้รับผลกระทบ 1 คน

มีรายละเอียดเรียงตามลำดับจำนวนข้อหา 24 ข้อหา ดังนี้

1. เลิกจ้างไม่จ่ายค่าชดเชยและค่าอื่นๆ 40 กรณี รวมลูกจ้างได้รับผลกระทบ 51 คน

2. เลิกจ้างไม่เป็นธรรม 4 กรณี รวมลูกจ้างได้รับผลกระทบ 295 คน

3. ขออำนาจศาลลงโทษ เหตุกรรมการลูกจ้างฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน 3 กรณี รวมลูกจ้างได้รับผลกระทบ 3 คน

4. บริษัทแจ้งความหมิ่นประมาทและเลิกจ้าง 2 กรณี รวมลูกจ้างได้รับผลกระทบ 2 คน

5. นายจ้างเลือกปฎิบัติต่อลูกจ้าง กระทำผิดตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 14/1 เรื่องข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม 1 กรณี รวมลูกจ้างได้รับผลกระทบ 96 คน

6. ศาลฎีกาให้ย้อนสำนวนสืบพยานใหม่ ในรายละเอียดเวลาทำงานและวันหยุด ของลูกจ้าง 1 กรณี รวมลูกจ้างได้รับผลกระทบ 70 คน

7. ฟ้องบริษัทกรณีฝ่าฝืนสัญญาจ้างงานและข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง 1 กรณี รวมลูกจ้างได้รับผลกระทบ 39 คน

8. ฟ้องบริษัทเรื่องข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม กรณีการจ่ายเงินโบนัส 1 กรณี รวมลูกจ้างได้รับผลกระทบ 63 คน

9. ขออำนาจศาลลงโทษ เหตุกรรมการลูกจ้างมาทำงานสาย 1 กรณี รวมลูกจ้างได้รับผลกระทบ 5 คน

10.ขออำนาจศาลเลิกจ้าง เหตุหมิ่นประมาทนายจ้าง 1 กรณี รวมลูกจ้างได้รับผลกระทบ 5 คน

11.บริษัทไม่จ่ายเงินค่าจ้างย้อนหลังให้กับลูกจ้าง ตั้งแต่วันที่ศาลแรงงานมีคำพิพากษาให้บริษัทรับเข้าทำงานในอัตราค่าจ้างเดิม จำนวน 1 กรณี รวมลูกจ้างได้รับผลกระทบ 4 คน

12.การนิคมอุตสาหกรรมฟ้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งกรณีสหภาพแรงงานชุมนุมหน้าโรงงาน 1 กรณี รวมลูกจ้างได้รับผลกระทบ 2 คน

13.ลูกจ้างขอเป็นจำเลยร่วม ในกรณีที่บริษัทขอเพิกถอนคำสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ กรณีสั่งให้รับสมาชิกสหภาพแรงงานจำนวน 2 คน กลับเข้าทำงาน 1 กรณี รวมลูกจ้างได้รับผลกระทบ 2 คน

14.ถูกลงโทษทางวินัยไม่เป็นธรรม 1 กรณี รวมลูกจ้างได้รับผลกระทบ 1 คน

15.บริษัทฟ้องคดีศาลอาญาข้อหาลักน้ำมัน 1 กรณี รวมลูกจ้างได้รับผลกระทบ 1 คน

16.บริษัทยื่นคำร้องขออำนาจศาลเลิกจ้าง 1 กรณี รวมลูกจ้างได้รับผลกระทบ 1 คน

17.บริษัทและอัยการฟ้องคดีอาญาข้อหากระทำการโดยประมาททำให้เกิดเพลิงไหม้ เรียกค่าเสียหายกว่า 100 ล้านบาทเศษ 1 กรณี รวมลูกจ้างได้รับผลกระทบ 1 คน

18.เพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน 1 กรณี รวมลูกจ้างได้รับผลกระทบ 1 คน

19.ฟ้องบริษัทเรื่องคำนวณวันลาผิดพลาดและส่งผลต่อการจ่ายโบนัส 1 กรณี รวมลูกจ้างได้รับผลกระทบ 1 คน

20.ฟ้องบริษัทเรื่องไม่คืนเงินประกันและจ่ายเงินค่าคอมมิชชั่น 1 กรณี รวมลูกจ้างได้รับผลกระทบ 1 คน

21.ฟ้องเพิกถอนคำสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์เรื่องการกระทำอันไม่เป็นธรรม 1 กรณี รวมลูกจ้างได้รับผลกระทบ 1 คน

22.ฟ้องสำนักงานประกันสังคมและคณะกรรมการอุทธรณ์ เรียกเงินตามมาตรา 39 คืน 1 กรณี รวมลูกจ้างได้รับผลกระทบ 1 คน

23.ลูกจ้างฟ้องสำนักงานประกันสังคมและคณะกรรมการอุทธรณ์ กรณีสำนักงานประกันสังคมวินิจฉัยกรณีทุพพลภาพไม่ถูกต้อง 1 กรณี รวมลูกจ้างได้รับผลกระทบ 1 คน

24.ลูกจ้างฟ้องสำนักงานประกันสังคมต่อศาลปกครองกลาง 2 กรณี รวมลูกจ้างได้รับผลกระทบกรณีแรกเกี่ยวข้องกับผู้ประกันตนมาตรา 33 จำนวน 10,781,241 คน กรณีที่สองเกี่ยวข้องกับผู้ประกันตนมาตรา 39 จำนวน 1,369,083 คน

แม้ว่าโดยเจตนารมณ์สูงสุดของศาลแรงงาน คือ การยึดหลักให้นายจ้างลูกจ้างทำงานร่วมกันได้อย่างสันติสุขและเป็นธรรม การพิจารณาคดีแรงงานจึงใช้ระบบไต่สวน โดยศาลจะเป็นผู้สืบเสาะหาข้อเท็จจริงเอง รวมทั้งสามารถเรียกบุคคลหรือเอกสารต่างๆเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงและพิพากษาไปตามรูปคดี โดยมีผู้พิพากษา 3 คนเป็นองค์คณะ ประกอบด้วยผู้พิพากษากลาง (เจ้าของสำนวน) ผู้พิพากษาสมทบฝ่ายนายจ้าง และผู้พิพากษาสมทบฝ่ายลูกจ้าง เน้นใช้ระบบไกล่เกลี่ยให้คู่ความตกลงกันได้ตลอดระยะเวลาก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษา

อย่างไรก็ตามกลับพบปัญหาที่เกิดขึ้นจากกระบวนการยุติธรรมที่ยังต้องมีการปฏิรูปต่อไป รวม 10 ประการ ได้แก่

(1) การเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมเป็นเรื่องยุ่งยาก มีหลายขั้นตอนในทางคดี ซึ่งแต่ละขั้นตอนทางศาลแรงงานล้วนมีต้นทุนค่าใช้จ่ายสูง และนายจ้างมักใช้ข้อเสียเปรียบนี้มาต่อรองกับลูกจ้าง

(2) ผู้พิพากษามาจากกระบวนการยุติธรรมปกติ จึงไม่มีความเชี่ยวชาญเรื่องแรงงาน และนำเอาทัศนคติหรือวิธีการปฏิบัติแบบเดิมที่เชื่อว่าลูกจ้างและนายจ้างมีสถานะเท่ากันในการพิจารณาทางคดี ศาลมีหน้าที่รับฟังผ่านข้อมูลต่างๆ จึงขึ้นอยู่กับว่าฝ่ายใดจะหาข้อมูลได้มากกว่ากัน ซึ่งในความเป็นจริงก็พบชัดเจนว่านายจ้างกับลูกจ้างไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องในการพิจารณาได้เท่าเทียมกันโดยพื้นฐานอยู่แล้ว มีลูกจ้างจำนวนมากไม่สามารถจ้างทนายความได้ หรือว่าไม่อาจนำสืบพยานหลักฐานที่สมบูรณ์ให้สามารถได้ข้อเท็จจริงที่ชัดเจนต่อสู้คดีได้เต็มที่

ทั้งที่เจตนารมณ์ของการร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มีที่มาจากการที่คดีแรงงานเป็นคดีระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง ที่เกิดจากความไม่เป็นธรรมในเรื่องค่าจ้าง สวัสดิการ และอื่นๆ ดังนั้นทำอย่างไรที่จะให้ลูกจ้างได้รับความเป็นธรรม ดังนั้นผู้พิพากษาต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญความเข้าใจในเรื่องแรงงาน กฎหมายและวิธีพิจารณาคดีแรงงานเป็นสำคัญ

(3) ผู้พิพากษา 3 คนที่เป็นองค์คณะ มีสถานะไม่เท่าเทียมกัน โดยเฉพาะตัวแทนของฝ่ายลูกจ้างนั้นพบว่า บางคนยังไม่สามารถเป็นตัวแทนลูกจ้างที่สามารถรักษาผลประโยชน์ของลูกจ้างได้จริง และยังขาดความรู้ทางกฎหมายด้านแรงงานที่เกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้ง

(4) แนวโน้มของการไกล่เกลี่ยที่เกิดขึ้น บางครั้งขัดแย้งกับสิทธิแรงงาน ไม่คำนึงเรื่องข้อเท็จจริง เช่น ค่าเสียหายที่ศาลกำหนดให้ไม่ได้สัดส่วนกับความเสียหายที่ลูกจ้างได้รับจากการถูกเลิกจ้าง เพราะผู้ที่ทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยในศาลแรงงาน จำนวนไม่น้อยที่ยังขาดความเข้าใจต่อปัญหาแรงงาน ไม่มีความเป็นมืออาชีพ การไกล่เกลี่ยจึงเป็นไปในลักษณะให้คดีจบโดยไว และเป็นไปในลักษณะคดีแพ่งหรือเรื่องระหว่างบุคคลเท่านั้น ขาดการมองในเชิงความมั่นคงและศักดิ์ศรีของมนุษย์

(5) ศาลมักจะให้มีการประนีประนอมยอมความซึ่งไม่เป็นผลดีต่อลูกจ้าง เพื่อลดจำนวนคดีที่จะต้องพิจารณา มีคำตอบชัดเจนตั้งแต่ในชั้นไกล่เกลี่ยว่าควรจะดำเนินไปในทิศทางใดเมื่อเข้าสู่การพิจารณาในชั้นศาล ทำให้ในบางกรณีเมื่อลูกจ้างไม่แม่นข้อกฎหมาย จึงเลือกที่จะยอมความให้คดีจบไป ขณะเดียวกันมีจำนวนไม่น้อยที่ศาลได้สั่งให้นายจ้างรับลูกจ้าง ที่ถูกเลิกจ้างอย่างผิดกฎหมายกลับเข้าทำงาน แต่นายจ้างก็มักจะเสนอเงินชดเชยจำนวนมากเพื่อเลี่ยงการรับกลับเข้าทำงานแทน (ส่วนใหญ่เป็นกรรมการสหภาพแรงงานที่มีบทบาท) และศาลก็มักจะดำเนินตามขนบดังกล่าวนี้ มากกว่าเน้นเรื่องการปรับทัศนคติให้อยู่ร่วมกันได้ดี กลับมองในเรื่องการอยู่ด้วยกันไม่ได้และลูกจ้างได้ค่าชดเชยและค่าเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมเพียงพอแล้ว

(6) คำพิพากษาศาลฎีกามีแนวโน้มที่จะนำบทบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้กับคดีแรงงานอย่างเคร่งครัด แทนที่จะนำมาใช้โดยอนุโลม ทำให้การพิจารณาพิพากษาคดีแรงงานไม่แตกต่างจากการพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งเท่าใดนัก นอกจากนี้ประสิทธิภาพในการระงับข้อพิพาทแรงงานก่อนคดีสู่ศาลยังมีน้อย ทำให้ศาลแรงงานต้องพิจารณาพิพากษาคดีมากเกินไป และส่งผลโดยตรงต่อความรวดเร็วแห่งคดี

(7) คดีแรงงานมีความล่าช้ามาก ในศาลแรงงานภาคบางแห่งเลื่อนคดีแต่ละครั้ง ราว 3 เดือน หรือในช่วงที่โยกกย้ายผู้พิพากษา กว่าจะมีผู้พิพากษาใหม่มาปฏิบัติหน้าที่ ก็ใช้ระยะเวลาหลายเดือน ผู้พิพากษาที่เหลืออยู่น้อยจึงต้องทำงานหนักมากหรือไม่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คดีล่าช้า

(8) คดีแรงงานที่ขึ้นสู่ศาลฎีกาตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 27) พ.ศ. 2558 เรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมอุทธรณ์ฎีกา กำหนดว่าการฎีกาคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาลอุทธรณ์ ให้กระทําได้เมื่อได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา​​ ยิ่งทำให้เป็นข้อจำกัดของลูกจ้างในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมที่มากยิ่งขึ้น แม้มีศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงาน ก็เป็นเพียงการแก้ไขปัญหาปริมาณคดีแรงงานที่ค้างอยู่เป็นจำนวนมากในศาลฎีกาแผนกคดีแรงงาน แต่ไม่ใช่การแก้ไขปัญหาที่แท้จริงและยังเป็นการเพิ่มศาลอุทธรณ์อีกชั้นหนึ่ง ต่างจากหลักการและเจตนารมณ์เดิมของการจัดตั้งศาลแรงงาน

(9) มีการอ้างหรือใช้ประเด็นทางอาญาเพื่อต่อรองในเรื่องทางแรงงานกับผู้นำแรงงาน ทำให้เป็นภาระแก่ลูกจ้างอย่างมากในการต่อสู้คดี และไม่ได้รับความสะดวกในเรื่องการประกันตัว เช่น นายจ้างเสนอว่าถ้าไม่ลาออกจะดำเนินคดีอาญา หรือถ้ายอมลาออกจะถอนแจ้งความหรือถอนฟ้องคดีอาญา

(10) ในความเป็นจริงศาลมีอำนาจที่จะพิพากษาหรือสั่งเกินคำขอได้ อีกทั้งผู้พิพากษาก็สามารถสั่งให้มีผลผูกพันกับคู่ความได้ ทั้งนี้มีคำพิพากษาฎีกา 9139/2553 วางบรรทัดฐานไว้ว่า “ศาลแรงงานมีคำสั่งหรือพิพากษาเกินคำขอได้ หากเห็นสมควรเพื่อความเป็นธรรมแก่คู่ความ” ทั้งนี้เป็นไปตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 52 บัญญัติว่า "ห้ามมิให้ศาลแรงงานพิพากษาหรือสั่งเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง เว้นแต่ในกรณีที่ศาลแรงงานเห็นสมควรเพื่อความเป็นธรรมแก่คู่ความจะพิพากษาหรือสั่งเกินคำขอบังคับก็ได้" แต่ในทางปฏิบัติผู้พิพากษาจะพิพากษาตามคำร้องหรือคำฟ้องที่ลูกจ้างเป็นผู้ฟ้องมา ซึ่งในหลายกรณีพบว่ามีลูกจ้างจำนวนมากที่ไม่รู้ประเด็นทางกฎหมายว่ามีสิทธิฟ้องร้องว่ามีอะไรที่เกี่ยวข้องบ้าง จึงทำให้สิทธิที่ควรจะรับตกหล่นไป

ดังนั้นเพื่อให้กระบวนการยุติธรรมสามารถเป็นพื้นที่ที่สำคัญที่สุดพื้นที่หนึ่งของผู้ไร้อำนาจให้สามารถเข้าถึงสิทธิตามที่กฎหมายกำหนดไว้ได้ การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมด้านแรงงานเพื่อปลดล็อคปัญหาที่กล่าวมาทั้ง 10 ประการ จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะสุดท้ายแล้ว การทำหน้าที่ของศาลไม่ใช่แค่การพิพากษาตามตัวบทกฎหมายเท่านั้น แต่ตัวคำพิพากษาของศาลเองก็เป็นกฎหมายในตัวมันเอง ที่วางบรรทัดฐานแนวปฏิบัติให้ปฏิบัติต่อไปในอนาคตเช่นเดียวกัน ดังคำกล่าวที่ว่า “Judges make law”

[full-post]

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.