Posted: 24 Dec 2017 10:25 PM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)
โสภณ พรโชคชัย
25 ธันวาคม 2560
ผมไม่เคยพบคุณดำรง พุฒตาล ไม่เคยขัดแย้งหรือมีอคติกับท่านเลย ที่ผ่านมาผมชื่นชมท่านในหลายเรื่อง แต่ล่าสุดที่ท่านกลั่นความคิดจากประสบการณ์ 73 ปีเรื่องงาน การพักผ่อนและกรุงเทพมหานครนั้น ท่านควรได้รับการวิพากษ์เพราะเป็นความคิดที่สอนให้คนเสพสุขหรือไม่
เห็นคุณค่างาน อย่าสงสารตัวเอง
ในคลิปสั้นๆ ที่มีการเผยแพร่กันต่อใน Line มีข้อความตอนหนึ่งว่า "(คุณดำรง) พูดว่างานคือชีวิต ชีวิตนี่คืองาน แต่มาถึงจุดนึงแล้ว เฮ้ยมึงโง่มึงพูดอย่างนี้ไปได้อย่างไร ทำไมชีวิตมนุษย์เกิดมา มึงจะต้องทำงานตลอดจนตาย มันไม่แฟร์กับร่างกายเลย" ในข้อนี้ ผมขอแย้งว่า
1. ที่จริงมีคนมากมายที่ทำงานจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต เช่น พระพุทธเจ้า หลายคนยังจำภาพโต๊ะทำงานที่รกๆ ของไอน์สไตน์ก่อนวันเสียชีวิต ปุถุชนคนแก่ก็มีมากมายที่เมื่อวานยังทำงานอยู่ แต่วันนี้ตายเสียแล้ว
2. การทำงานเป็นการสร้างสรรค์ ชีวิตที่มีค่าก็คือชีวิตที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น การทำงานจึงเป็นที่มีเกียรติและน่าภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง
3. ที่อ้างว่าไม่แฟร์กับร่างกายนั้น ที่จริงแล้ว ร่างกายและสมองจะยิ่งดีถ้ายิ่งได้ทำงานต่างหาก ยิ่งถ้าเป็นงานที่รัก ก็ยิ่งสนุกกับงาน เพียงแต่เราไม่ควรทำงานหนักจนเกินไป
สิทธิในการ Enjoy Life
ท่านยังกล่าวว่า "ชีวิตต่อไปนี้ก็คือ Enjoy Life ผมมีบ้านอยู่ที่อังกฤษ หัวหิน พัทยา เชียงใหม่ อยุธยา เชียงราย ซื้อมา พอหาเงินได้ก็ซื้อๆๆ ต่อไปนี้ก็จะไปอยู่แถวนั้นแล้วล่ะครับ" คำพูดนี้มีข้อสังเกตว่า
1. ที่ท่านทำได้ก็เพราะมีอิสรภาพทางการเงินจากการทำงานมายาวนาน สะสมเงินมามากแล้ว
2. แต่บางคนเกษียณไม่ได้ ถูกความจำเป็นของชีวิต 'บังคับ' ให้ต้องทำงานจน (ใกล้) วันสุดท้าย ต้องเห็นใจ ต้องให้เกียรติพวกเขา แรงงานสร้างสรรค์โลก ส่วนท่านนับว่าโชคดีกว่าคนอื่นเท่านั้น
กทม. หรือ ตจว.
ตอนสุดท้าย ท่านกล่าวว่า "รกนะกรุงเทพ. . .รถมันก็ติด คนก็นิสัยไม่ดี ไปอยู่ต่างจังหวัดดีกว่าครับ. . .อายุตอนนี้ 73-74 แล้วมันจะอยู่อีกซักกี่ปี" ข้อนี้ผมขอเห็นต่างดังนี้:
1. นานาจิตตัง ในยามหนุ่มถ้าคุณดำรง ไม่เข้า กทม. ก็คงไม่มีวันนี้ แต่จะให้คนหนุ่มสาวแห่กันไปต่างจังหวัด คงไม่ได้ คงเท่ากับส่งเขาไปตายมากกว่า
2. แม้ กทม.มีปัญหารถติด ใน ตจว.มักทุรกันดาร "บ้านป่าเมืองเถื่อน" แมลงรบกวน งูเงี้ยวเขี้ยวขอ ไปเที่ยวได้แต่ไปอยู่ทุกวันคงไม่ไหว ท่านเองก็ยังเปลี่ยนที่พักไปเรื่อยๆ แต่ท่านมีเงินซื้อความสะดวกสบายได้โดยง่าย
3. ที่ว่าใน กทม.คนนิสัยไม่ดี เป็นวาทกรรมที่เข้าใจผิด จากสถิติการรับแจ้งคดีอาญา (โจรกรรม ปล้น-ชิง ข่มขืนและฆ่า ลักพาเรียกค่าไถ่ ฉ้อโกง ยักยอกทรัพย์) พ.ศ.2558 พบว่ามีการรับแจ้งความ 30,893 คดี แต่เป็นใน กทม. 7,067 คดีเท่านั้น ใน กทม.มีคนอยู่และสัญจรนับสิบล้านต่อวัน นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นับสิบล้านก็มา กทม. ดังนั้นสัดส่วนอาชญากรรมในกรุงอาจน้อยใน ตจว. เสียอีก เพราะมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีกว่า
คุณดำรงพูดเรื่องนี้ขณะยังทำนิตยสาร "คู่สร้างคู่สม" แต่ตอนนี้ท่านเลิกทำไปแล้ว อันที่จริงสื่อก็เป็นแค่ Market Place มานานแล้ว ไม่มีสื่อใดจะอยู่ได้ด้วยระบบสมาชิกอยู่แล้ว ระบบ Internet เพียงแค่มาเปลี่ยนรูปแบบ Market Place เท่านั้น แต่ท่านไม่อาจปรับตัวได้ จึงเลิกไป ในโลกนี้ก็ยังมีวารสารดังๆ อยู่รอดและเติบโตได้ คุณดำรงอาจประสบความสำเร็จจนมีทรัพย์สินมากมาย สบายไปแล้ว แต่จะดีเยี่ยมถ้าท่านทำให้ "คู่สร้างคู่สม" เป็นสถาบันที่อยู่ได้แม้ไม่มีตัวท่าน กลายเป็นอนุสรณ์สถานที่มีชีวิตและเป็นเกียรติประวัติชาติ
เราควรสอนให้เยาวชนตอบแทนชาติด้วยการทำงานรับใช้ประชาชน ไม่ฉ้อโกงหรือปล้นประชาชนเพราะเงินที่ใช้เรียนหนังสือส่วนมากมาจากภาษีของประชาชนคนเล็กคนน้อย ไม่ใช่ควักจากระเป๋าของพ่อแม่ เราควรรณรงค์ให้คนมีความสุขและเบิกบานกับการทำงานเพื่อสร้างสรรค์สังคมและอนาคตของเยาวชนอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เราไม่จำเป็นต้องหาเงินเพื่อให้ตนเองใช้ แต่เพื่อให้คนรุ่นหลังของเราได้ใช้ต่างหาก
เสพสุขเป็นเรื่องง่าย ไม่ต้องสอน ไม่ต้องส่งเสริม การทำงานด้วยความเบิกบานต่างหากที่พึงสอนให้มาก
แสดงความคิดเห็น