ประเด็นแถม ว่าด้วยคำวินิจฉัยยึดทรัพย์เมื่อปี 53
คำวินิจฉัยยึดทรัพย์อยู่บนฐานมาตรา 4 กฎหมาย ปปช. “ร่ำรวยผิดปกติ” หมายความว่า การมีทรัพย์สินมากผิดปกติหรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติหรือการมีหนี้สินลดลงมากผิดปกติ หรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่สมควร สืบเนื่องมาจากการปฏิบัติตามหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่
คำวินิจฉัยทุกกรณีจึงลงท้ายว่า เป็นการเอื้อประโยชน์ให้ชินคอร์ป ในระหว่างทักษิณเป็นนายกฯ = ได้ทรัพย์สินมา “โดยไม่สมควร”
อ่านทั้งเกือบ 200 หน้าเราจะไม่เห็นคำว่า “ทุจริต” ซึ่งต้องพิสูจน์ เช่น ทักษิณสั่งให้ทำ ซึ่งถ้าทุจริตต้องติดคุก และยึดทรัพย์โดยคิดค่าเสียหายเป็นกรณีๆ ไป
แต่เมื่อคำพิพากษาอยู่บนฐาน “ไม่สมควร” จึงไม่มีการพิสูจน์ทุจริต ถามว่าอะไรไม่สมควร เกือบทั้งหมด คตส.ยกไปจากคำวิจารณ์ของ TDRI และคำอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน
เมื่อฐานคำพิพากษาอยู่บนมาตรา 4 ว่า อะไรที่ชินคอร์ปได้ประโยชน์ระหว่างทักษิณเป็นนายกฯ = ได้มาโดยไม่สมควร = ร่ำรวยผิดปกติทั้งหมด (เพราะศาลวินิจฉัยตั้งแต่ต้นแล้วว่า หุ้นยังเป็นของทักษิณ) การยึดทรัพย์จึงยึดที่มูลค่าหุ้นที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ทักษิณเป็นนายกฯ แม้ชาวบ้านจะงงว่า อ้าว หุ้นชินคอร์ปปี 44-49 ก็เพิ่มขึ้นในอัตราใกล้เคียงกับหุ้นบริษัทยักษ์ใหญ่อื่นๆ
ปัญหาก็คือ หลังจากศาลปี 53 วางคำพิพากษาไว้ แม้ “ไม่สมควร” ยังไม่ใช่ “ทุจริต” แต่ ปปช.ก็ย้อนไปเอาแต่ละกรณีมาเอาผิดซ้ำ โดยอ้างคำพิพากษาเป็นบรรทัดฐาน ว่าผู้เกี่ยวข้องมีความผิด แล้วเมื่อศาลตัดสินอีกครั้งก็จะอ้างคำพิพากษาเดิม เช่นคดีหมอเลี๊ยบ น่าจะเป็นเพราะคำพิพากษาเดิมมีคำว่า “มิชอบ”
ที่ยุ่งกว่านั้นคือเรื่องทางแพ่ง เมื่อศาลปี 53 บอกว่า “รัฐเสียหาย” กรณีอย่างลดค่าพรีเพด ไอ้พวกผีกระสือ ทศท.ก็เต้นแร้งจะไปเรียกค่าเสียหายจาก AIS โดยคิดย้อนหลัง สมัยนั้นค่าโทร 5 บาท สมมติมีคนใช้ 5 แสน พอลดพรีเพดค่าโทร 1 บาทมีคนใช้ 5 ล้าน มันก็จะเอา 5 ล้านคนเป็นตัวตั้ง คูณนาที คูณค่าพรีเพดที่ “เสียหาย” ไปแล้วไล่เบี้ยเอากับ AIS ดูเหมือนจะคิดเอาตั้ง 72,000 ล้านบาท
อ่านข่าววันก่อน ทศท.เสือนอนกินรักชาติ หลังหมดสัมปทาน เหลือเงินจ่ายพนักงาน 20 เดือน
แสดงความคิดเห็น