เพื่อนฝากคุย ทำไมเราต้องตีโพยตีพายผลประชามติ หยุดได้แล้ว

เขาบอกว่าในตอนที่ใครๆ คิดว่าจะชนะ เขาก็ยังคิดว่าแพ้อยู่ดี อย่างเก่ง 60-40 อย่างเก่งสุดๆ ไปเลย 55-45 ฉะนั้นตอนรู้ผลเขาก็ไม่เสียใจอะไร (ต่างกับคนที่ลุ้นตัวโก่ง ตั้งความหวังว่าจะชนะ จึง hurt มาก)

เพื่อนรายนี้อยู่ ตจว.เขาเห็นบรรยากาศทุกอย่าง จึงเชื่อว่าแพ้แน่ รัฐประหารมา 2 ปี ทหารเต็มไปหมด ชาวบ้านอยู่ในบรรยากาศแห่งความกลัว อดีต ส.ส. หัวคะแนนไม่กล้าเคลื่อนไหว แกนนำ นปช.ต้องรายงานตัวประจำ ซ้ำประชามติ ประยุด ก. ประยุด ข. ทำให้คนทั่วๆ ไปที่เบื่อความขัดแย้ง อยากทำมาหากิน อยากกลับสู่ภาวะปกติ ยอมรับดีกว่าไม่รับแล้วไม่เห็นอนาคต

ฉะนั้น พอผลออกมา 61.3 ต่อ 38.7 เขาดีใจด้วยซ้ำ ถ้าไม่มองปริมาณ ถ้ามองที่คุณภาพ ในบรรยากาศความกลัวย่างนี้ ยังมีคนรักประชาธิปไตยเหนียวแน่นกล้าหาญเกือบ 40% ทั้งที่ถูกปิดล้อมทุกด้าน มันน่าดีใจเท่าไหร่แล้ว (แม้เทียบกับปี 50 ดูว่า % ลดลง แต่ปี 50 การปิดกั้น บรรยากาศความกลัว ต่างกันเยอะ กลไกพรรคยังเคลื่อนได้มากกว่านี้เยอะ) เราต่อสู้กับอะไร เราไม่ได้แค่ต่อสู้กับอำนาจปืน แต่ต่อสู็กับความคิดอนุรักษ์นิยมที่ฝังรากลึกในสังคมไทยมานาน นี่มันเปรียบได้กับการทำให้คนเปลี่ยนศาสนา ซึ่งลำบากยากเข็ญแต่เปลี่ยนแล้วไม่ถอยหลัง

ฉะนั้นเราไม่ควรตีโพยตีพาย และไม่ควรว่าคนตรงกลางๆ ต้องเข้าใจ เห็นใจ น้อมรับความเห็นของคนที่อยากทำมาหากิน อยากเห็นความสงบ ซึ่งคนเหล่านี้เปลี่ยนได้เสมอ

ทิศทางต่อไป แม้ยากเข็ญด้วยเงื่อนไขรัฐธรรมนูญ แต่เราก็สามารถทำให้ 40% +++ ด้วยเงื่อนไข 2 ด้าน คือ คสช.ทำให้ตัวเองตกต่ำลงไหม และพรรคเพื่อไทยจะปฏิรูปตัวเอง "ทำตัวน่ารัก" ให้คนยอมรับมากขึ้นได้อย่างไร


แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.