ชำนาญ จันทร์เรือง: การบังคับให้เสียค่าสมาชิกพรรคการเมือง ขัดรัฐธรรมนูญ


Posted: 26 Apr 2017 04:11 AM PDT  (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เวบไซท์ประชาไท)

“มาตรา 27 บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย มีสิทธิและเสรีภาพและได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน
...
การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคล ... ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม... จะกระทำมิได้”

“มาตรา 45 บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการรวมกันจัดตั้งพรรคการเมืองตามวิถีทางการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามที่กฎหมายบัญญัติ


กฎหมายตามวรรคหนึ่งอย่างน้อยต้องมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการบริหารพรรคการเมือง ซึ่งต้องกำหนดให้เป็นไปโดยเปิดเผยและตรวจสอบได้ เปิดโอกาสให้สมาชิกมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางในการกำหนดนโยบายและการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง และกำหนดมาตรการให้สามารถดำเนินการโดยอิสระไม่ถูกครอบงำหรือชี้นำโดยบุคคลซึ่งมิได้เป็นสมาชิกของพรรคการเมืองนั้น รวมทั้งมาตรการกำกับดูแลมิให้สมาชิกของพรรคการเมืองกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้ง”

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560

พลันที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญได้เสนอร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองฯ เข้าสู่สภานิติบัญญัติและได้ผ่านวาระแรกซึ่งเป็นวาระของการรับหลักการไปด้วยเสียงท่วมท้นในสภา 175 ต่อ 0 โดยมีเงื่อนไขที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ตามมาอย่างอื้ออึงทั้งจากพรรคการเมืองและนักวิชาการ ซึ่งเงื่อนไขที่ว่านั้นก็เช่น ให้คนที่เป็นสมาชิกพรรคการเมืองต้องจ่ายเงินบำรุงพรรคไม่น้อยกว่า 100 บาทต่อปีหรือไม่เกิน 2,000บาทตลอดชีพ,ผู้ขอยื่นจดทะเบียนตั้งพรรคการเมืองจะต้องจ่ายเงินลงขันตั้งกองทุนประเดิม 1 ล้านบาท,ต้องหาสมาชิกพรรคไม่ต่ำกว่า 5,000 คนภายใน 1 ปี,ต้องหาสมาชิกเพิ่มให้เกิน 10,000 คน ภายใน 4 ปี ฯลฯ

ในภาพรวมทั้งฉบับถูกวิจารณ์ว่าเป็นการกีดกันการจัดตั้งพรรคการเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรคขนาดเล็กอย่างชัดเจน หรือแม้แต่พรรคขนาดใหญ่ก็มีความยากลำบากที่จะสามารถปฏิบัติตามได้ จึงเป็นที่สงสัยว่าวัตถุประสงค์ของพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฯ ฉบับนี้มีวัตถุส่งเสริมหรือทำลายพรรคการเมืองกันแน่

พรรคการเมืองคืออะไร


พรรคการเมือง(political party)มีรากศัพท์มาจากภาษาละตินว่า Par (คำเดียวกันกับที่ใช้ในสนามกอล์ฟนั่นแหล่ะครับ)ซึ่งแปลว่า “ส่วน” พรรคการเมืองจึงหมายถึงส่วนของประชากรภายในประเทศ ซึ่งก็คือการที่แยกประชากรออกเป็นส่วนๆ ตามความคิดเห็นและประโยชน์ได้เสียทางการเมือง พรรคการเมืองถือว่าเป็นสถาบันทางการเมืองที่มีบทบาทสำคัญในระบบการเมืองในระบอบประชาธิปไตย เพราะพรรคการเมืองเป็นองค์กรขนาดใหญ่ที่ประกอบไปด้วยบุคคลจำนวนมากที่มีภารกิจที่ไปสู่จุดมุ่งหมายเดียวกัน พรรคการเมืองเป็นสื่อกลางที่จะเชื่อมโยงระหว่างประชาชนกับรัฐบาล ถือว่าเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะชักนำให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง

พรรคการเมืองจึงเป็นผู้ที่รวบรวมผลประโยชน์ของประชาชนมาเขียนไว้ในนโยบายของพรรคตน ประชาชนคนใดเห็นพ้องกับนโยบายของพรรคการเมืองใดก็จะเข้าไปมีส่วนร่วมในพรรคการเมืองนั้นทั้งการสมัครเข้าไปเป็นสมาชิกพรรคนั้นด้วยตนเองหรือการเลือกสมาชิกของพรรคการเมืองนั้นเข้าไปทำหน้าที่แทนตนในรัฐสภา

จากหลักการดังกล่าวข้างต้นเมื่อนำมาประกอบเข้ากับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 45 ที่บัญญัติว่าบุคคลย่อมมีเสรีภาพในการรวมกันจัดตั้งพรรคการเมืองตามวิถีทางการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแล้วจะเห็นได้ว่าเนื้อของร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฯฉบับที่กรรมการร่างรัฐธรรมนูญเสนอต่อ สนช.นี้ขัดหลักการทางวิชาการและหลักการสำคัญในรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน เพราะเป็นจำกัดเสรีภาพของบุคคลในการรวมกันจัดตั้งพรรคการเมือง เนื่องจากเป็นการยากที่จะสามารถรวบรวมเงินค่าสมาชิกจากทุกคนได้ จริงอยู่เงิน 100 บาทอาจจะดูไม่มากนักแต่ค่าใช้จ่ายในการติดตามอาจจะมากกว่ามูลค่า 100 บาทด้วยซ้ำไปและถือได้ว่าเป็นการสร้างอุปสรรคและเลือกปฏิบัติต่อผู้ที่สนใจจะเข้าเป็นสมาชิกพรรคการเมืองที่ตนเองชื่นชอบ การที่จะอ้างเหตุผลว่าการที่สมาชิกเสียเงินแล้วจะได้มีความรูสึกเป็นเจ้าของนั้นฟังไม่ขึ้นแต่อย่างใด เพราะความรู้สึกในการเป็นเจ้าของนั้นมีได้หลายวิธีไม่จำเพาะเพียงแต่การเสียเงินค่าบำรุงเท่านั้น และยิ่งไปสร้างข้อจำกัดว่าผู้ขอยื่นจดทะเบียนตั้งพรรคการเมืองจะต้องจ่ายเงินลงขันตั้งกองทุนประเดิม 1 ล้านบาทนั้นเป็นการกีดกันคนจนอย่างเห็นได้ชัด

มิหนำซ้ำกลับมองเห็นว่าอาจจะเป็นเจตนาที่จะจับผิดหรือทำลายพรรคการเมืองด้วยซ้ำไปหากสมาชิกชำระเงินที่ไม่ได้เป็นของตนเองซึ่งอาจจะด้วยวิธีการใดก็ตาม เช่น พรรคออกให้,สมาชิกพรรคคนอื่นออกให้ ฯลฯ โอกาสที่พรรคการเมืองจะถูกลงโทษจึงเป็นไปได้สูง ที่สำคัญเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา27ที่ว่าด้วยเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคมอีกเช่นกัน


กรรมการร่างรัฐธรรมนูญเสนอร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญเองจะขัดรัฐธรรมนูญได้อย่างไร

ดูเผินๆก็น่าจะเป็นเช่นนั้น แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่เพราะตามระบบกฎหมายไทยและรัฐธรรมนูญปัจจุบันองค์กรที่อำนาจวินิจฉัยว่ากฎหมายในระดับร่าง พ.ร.บ.หรือ พ.ร.บ.ขึ้นไปใดจะขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่เป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญมิใช่อำนาจของกรรมการร่างรัฐธรรมนูญหรือ กรธ.นะครับ ที่สำคัญหากเรายังไม่ลืมตอนที่มีการส่งร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญหลังการลงประชามติจาก กรธ.ไปศาลรัฐธรรมนูญมีการส่งกันกลับไปกลับมาตั้งหลายรอบ จนมีการเปรยๆว่าเห็นทีจะมีการเอาคืนกันบ้างเสียแล้วกระมัง มิหนำซ้ำศาลรัฐธรรมนูญยังมีคำวินิจฉัยที่ 6/2559 ลว.28 ก.ย.59 ให้ กรธ.ปรับแก้บทเฉพาะกาลเพื่อให้สอดคล้องกับคำถามพ่วงประชามติ ในเรื่องการขอยกเว้นใช้ข้อบังคับในการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีนอกบัญชีที่พรรคการเมืองเสนอจากเดิมที่ กรธ.ระบุให้เฉพาะ ส.ส. จำนวนกึ่งหนึ่งเท่านั้นมีสิทธิเป็นผู้เสนอของดใช้ข้อบังคับให้ปรับแก้มาเป็นสมาชิกรัฐสภาเสียอีก กอปรกับเมื่อรัฐธรรมนูญฉบับนี้ประกาศใช้แล้วดูเหมือนว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญหลายคนจะขาดคุณสมบัติเอาเสียด้วยหาก พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าศาลรัฐธรรมนูญมีผล

อย่างไรก็ตามด้วยเหตุจำกัดของเวลาที่ สนช.จะต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน หากมีการแก้ไขก็จะต้องตั้งกรรมการร่วมระหว่าง สนช.กับกรธ.หรือหากกฎหมายฉบับนี้ตกไปก็ต้องนับหนึ่งใหม่ ผมจึงคิดว่าน่าจะมีทางออกในเรื่องนี้หากไม่อยากให้ร่างกฎหมายฉบับนี้ตกไปไม่ว่าจะเป็นในชั้นของ สนช.หรือ ศาลรัฐธรรมนูญ ผมจึงขอเสนอว่าน่าจะแบ่งประเภทของสมาชิกเป็นหลายประเภทอาจจะเป็นประเภทที่ต้องเสียค่าบำรุงหรือเป็นประเภทที่ไม่ต้องเสียค่าบำรุงแต่เป็นสมาชิกด้วยคุณสมบัติอื่น ซึ่งมีทางออกอีกเยอะแยะ

ส่วนในเรื่องอื่นๆ เอาให้พอดีๆ ก็แล้วกัน อย่าทำให้ถูกมองว่าเจตนาที่จะ “ทำหมัน”พรรคการเมืองตั้งแต่ยังไม่ได้เกิดเลยครับ เพราะแทนที่จะได้ภาคภูมิใจว่าเมื่อรัฐธรรมนูญผ่านถือว่าใช้หนี้แผ่นดินแล้ว จะกลายเป็นติดหนี้แผ่นดินจนไม่อาจชดใช้ได้ไปเสียน่ะครับ



หมายเหตุ: ปรับปรุงจากการเผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพุธที่ 26 เม.ย. 59

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.