ปมซื้อเรือดำน้ำจีน 'พท.-ปชป.' ขอ รบ.ทบทวน อธิบายสังคมให้รอบคอบ
Posted: 26 Apr 2017 06:43 AM PDT (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เวบไซท์ประชาไท)
'ยิ่งลักษณ์' ขอ รบ.คำนึงถึงปัญหาปากท้องปชช.มากกว่าเรือดำน้ำ 'สุรพงษ์' จี้ รบ.ทบทวน ชี้ทำให้ประเทศมีหนี้สินพอกพูน 'เลขาฯ ปชป.' ขอ รบ.ออกมาอธิบายให้รอบคอบ ชี้ถ้าประหยัดให้เช่าจากสิงคโปร์-เวียดนาม ด้าน ผบ.สส.ยันเรือดำน้ำจำเป็น ผบ.ตร. เปรียบปล่อยเสือเข้าป่า
26 เม.ย. 2560 จากกรณีรัฐบาลการจัดซื้อเรือดำน้ำจากประเทศจีนเป็นเอกสารลับในราคากว่า 3.6 หมื่นล้านบาท จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมขณะนี้
ยิ่งลักษณ์ อยากให้คำนึงถึงปัญหาปากท้องของปชช.มากกว่าเรือดำน้ำ
วันนี้ (26 เม.ย.60) ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีนี้ว่า การจัดซื้อดังกล่าวต้องคำนึงถึงว่าเมื่อมีเม็ดเงินจำกัด ฝ่ายบริหารต้องพิจารณาว่าจะใช้อะไรเป็นอย่างแรก เพราะทราบว่ารัฐบาลมีความจำเป็นถึงขนาดจะยอมยกเลิก 30 บาท แต่กลับไปซื้อเรือดำน้ำตรงนี้ก็ต้องพิจารณาว่าอะไรเร่งด่วนกว่ากัน และอะไรคือความคุ้มค่า ในภาวะเช่นนี้ ทั้งนี้ ในฐานะเคยเป็นอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมก็เข้าใจในเรื่องความต้องการที่จะมีเรือดำน้ำไว้เพื่อป้องกันประเทศเพื่อความมั่นคง แต่วันนี้บ้านเมืองยังอยู่ในสภาวะปกติ อาจมีบางส่วนที่สามารถที่จะชะลอได้ แล้วนำงบประมาณนั้นไปใช้ในสิ่งที่เร่งด่วนกว่า ซึ่งในวันข้างหน้าหากมีงบประมาณและมีความสามารถในการหารายได้มากขึ้น มีงบประมาณเหลือเพียงพอ ก็สามารถที่จะซื้อสิ่งที่ต้องการหรือต้องใช้ในอนาคตได้ เพราะการซื้อเรือดำน้ำเป็นการซื้อที่มีภาระผูกพันในอนาคต เป็นภาระด้านงบประมาณรายจ่ายต่อปี ค่าบำรุงรักษา จึงเป็นภาระระยะยาว ยังไม่รวมถึงค่าบำรุงรักษา การฝึกยุทโธปกรณ์ต่างๆ และจำนวนเรือดำน้ำ ซึ่งต้องดูประกอบว่าน่านน้ำที่ต้องการจะต้องใช้กี่ลำ เท่าที่ทราบต้องมีเป็นชุดไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถทำงานป้องกันได้ ถ้าสั่งมาเพื่อทดสอบอย่างเดียวก็สามารถซื้อในช่วงที่ไม่เกิดภาวะเร่งด่วนหรือว่ารัฐมีเงินงบประมาณเหลือเพียงพอที่จะใช้ในส่วนนั้นได้ ดังนั้นสิ่งหนึ่งการใช้งบประมาณจะต้องคำนึงว่าเงินอะไรที่ใช้เร่งด่วนก็ต้องใช้สิ่งนั้นก่อน โดยเฉพาะความเป็นอยู่ เรื่องความจำเป็นในการบริหารบ้านเมืองและเรื่องปากท้องของพี่น้องประชาชนจากนั้นสิ่งที่อยากได้ ก็จะเป็นความสำคัญอันดับสองรองลงมา ซึ่งฝ่ายบริหารเท่านั้นที่ต้องใช้ดุลยพินิจในการตัดสินใจเรื่องนี้
“ณ วันนี้ ในแง่ความจำเป็นในอนาคต ดิฉันเองก็เคารพความต้องการของกองทัพเรือ แต่ก็ต้องมาพิจารณาระหว่างความเร่งด่วนและความจำเป็นในการใช้เม็ดเงิน เพื่อความมั่นคงในการที่จะฝึกซ้อมของกองทัพเรือ หรือเทียบกับงบประมาณที่บ้านเมืองมีความต้องการในการใช้เม็ดเงินที่เป็นงบประมาณจากรัฐออกไปให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างคุ้มค่า อย่างไหนคุ้มค่ากว่ากัน และมีความจำเป็นเร่งด่วน อย่างไรก็ตาม การนำเข้ามาพิจารณาในครม.ไม่ควรจะพิจารณาในลักษณะของวาระลับเพราะเรื่องนี้ประชาชนติดตามกันทั้งประเทศอย่างน้อยควรให้มีโอกาสได้รับทราบ ถ้าการใช้ริมแดงแบบนี้ตลอดจะไม่มีโอกาสได้รู้ แม้กระทั่งการตรวจสอบความคุ้มค่าในการลงทุนหรือแม้กระทั่งราคาซื้อ ประชาชนทุกคนต้องติดตามเงินงบประมาณที่เกิดจากเงินภาษีของประชาชน ยิ่งยามบ้านเมืองเช่นนี้จะต้องมาช่วยกันดู สมัยดิฉันเมื่อพิจารณาแล้วก็ได้ขอให้ทางกองทัพเรือชะลอในการจัดซื้อและเอาเงินไปพัฒนาส่วนอื่นที่มีความจำเป็นเร่งด่วนแทน” ยิ่งลักษณ์ กล่าว
สุรพงษ์ จี้ รบ.ทบทวน ชี้ทำให้ประเทศมีหนี้สินพอกพูน
สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรมว.ต่างประเทศ แกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การจัดเรือดำน้ำจากจีนนั้น เป็นการใช้เงินงบประมาณแผ่นดินแบบผูกพัน จะทำให้ประเทศมีหนี้สินพอกพูน และในอนาคตหากรัฐบาลมีความจำเป็นต้องใช้จ่ายงบประมาณแบบเร่งด่วนหรือเกิดวิกฤติทางการเงินก็จะยากลำบาก นอกจากนี้จะมีปัญหาในการปกป้องดูแลความมั่นคง ตามแนวชายฝั่งทะเลของไทยอย่างแน่นอน เนื่องจากชายฝั่งทะเลของไทยมี 2 ฝั่ง คือฝั่งอ่าวไทย และฝั่งทะเลอันดามัน แล้วฝูงเรือดำน้ำของกองทัพเรือจะดำน้ำข้ามฝั่งก็คงไม่ได้ นอกจากว่าจะต้องวิ่งอ้อมไปผ่านช่องแคบมะละกา ซึ่งจะใช้เวลาเดินทางนานและคงจะไม่ทันการที่จะปกป้องภัยคุกคามจากการรุกรานของต่างชาติ หรือไม่ก็ต้องหาเส้นทางลัด ซึ่งเท่าที่คิดได้ก็คือการขุดคอคอดกระ เพื่อเชื่อมต่อ 2 ฟากฝั่งทะเล
สุรพงษ์ ระบุด้วยว่า อยากขอให้นายกฯ พิจารณาทบทวนมติลับของครม.ในการซื้อเรือดำน้ำนี้ใหม่ จนกว่าประเทศไทยมีสภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น มีเงินรายได้เข้าประเทศมากขึ้น และประชาชนมีความอยู่ดีกินดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน หรือรอให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่ไทยแลนด์ 4.0 ได้สำเร็จก่อน
เลขาฯ ปชป. ขอ รบ.ออกมาอธิบายให้รอบคอบ
ขณะที่ จุติ ไกรฤกษ์ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีนี้เช่นกันว่า ไม่อยากให้มองมุมแคบเพียงแค่ประเด็นเดียว ว่าลักลอบซื้อหรือปล้นงบประมาณต้องมองภาพให้กว้าง ยึดผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก ซึ่งไม่เห็นมีใครพูดถึงมติทางเศรษฐกิจ มิติทางความมั่นคงของประเทศ มิติในอธิปไตยของประเทศไทย มิติของอำนาจการต่อรองทางการทหารและการต่างประเทศ รวมถึงมิติของความสมดุลระหว่างการรักษาความสัมพันธ์ของประเทศ จึงอยากให้รัฐบาลออกมาชี้แจงในประเด็นเหล่านี้ให้ประชาชนฟัง และอธิบายถึงเหตุผลที่ซื้อเรือดำน้ำว่ารอบคอบหรือไม่
เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวอีกว่า หากมีเรือดำน้ำแล้วทำให้ประเทศไทยเข้มแข็งตนก็เห็นด้วย เพราะขนาดประเทศสิงคโปร์เป็นประเทศที่มีน่านน้ำเล็กกว่าไทยยังมีเรือดำน้ำ 3 ลำ เวียดนามมี 6 ลำ เราต้องคิดถึงมูลค่าขนส่งทางทะเลที่ต้องมีการดูแลรักษาความปลอดภัย หากเห็นว่าไม่เหมาะกับสภาพเศรษฐกิจของประเทศ ถ้าจะเอาประหยัดจะใช้บริการเช่าเรือดำน้ำจากสิงคโปร์ หรือเวียดนามมารักษาอ่าวไทยได้หรือไม่
ผบ.สส.ยันเรือดำน้ำจำเป็น
ด้าน พล.อ.สุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด แถลงหลังการประชุมบัญชาการเหล่าทัพถึงการจัดซื้อเรือดำน้ำจากจีนว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนดำเนินการ และรอประสานการเซ็นสัญญากับจีน กระบวนการจัดซื้อต้องใช้ระยะเวลานาน แต่เมื่อกระบวนการเสร็จสิ้น ทางกองทัพเรือ จะแถลงข่าวชี้แจงรายละเอียดอีกครั้ง
ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ยืนยันว่า ประเทศไทยมีความจำเป็นที่จะต้องมีเรือดำน้ำ ตามยุทธศาสตร์การป้องกันประเทศ เพื่อไม่ให้ตกเป็นรองต่างประเทศมากเกินไป
รายงานข่าวระบุด้วยว่า ในระหว่างการแถลงข่าว สื่อมวลชนได้พยายามขอให้ พล.ร.อ.ณะ อารีย์นิจ ผู้บัญชาการทหารเรือ ชี้แจงการกรณีนี้ แต่ พล.อ.สุพงษ์ ได้ขอให้รอการดำเนินการต่าง ๆ ให้แล้วเสร็จก่อน จึงจะมีการแถลงอย่างเป็นทางการ
ผบ.ตร. เปรียบปล่อยเสือเข้าป่า
ด้าน พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึงกรณีนี้เช่นกันว่า ต้องดูว่าเรื่องดีหรือไม่ เหมือนเราปล่อยเสือสัก 1 ตัวเข้าในป่า ไม่รู้ว่าเสืออยู่ตรงไหน ใครจะกล้าเข้าไป เหมือนกัน ถ้าเรามีเรือดำน้ำ ปล่อยในทะเลไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน ใครจะกล้าเข้ามา
พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวด้วยว่า ไม่ขอวิจารณ์หน่วยอื่น ขอให้มองในแง่ดี ตนไม่ก้าวก่าย แต่ถ้ามีม็อบเข้ามาต้องเจอตำรวจแน่นอน ไม่ว่าจะม็อบอะไร ม็อบเรือดำน้ำมาก็เจอ ยอมรับว่าหน่วยงานความมั่นคงจับตามความเคลื่อนไหวทุกช่องทาง รวมถึงโซเชียลมีเดียด้วย เกี่ยวกับม็อบ ด้านความมั่นคง ทุกอย่าง มีการติดตามการข่าวอยู่แล้ว ช่วงนี้ตนสั่งการติดตามดูเป็นพิเศษ ไม่น่ามีอะไร เรื่องนี้ไม่กังวลเชื่อว่าจะไม่เป็นชนวนความรุนแรงหรือสร้างมวลชน
ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์, มติชนออนไลน์, กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ และโลกวันนี้ออนไลน์
แสดงความคิดเห็น