
Posted: 04 Nov 2017 07:46 PM PDT (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)
พสิษฐ์ ไชยวัฒน์
“คอร์รัปชั่น” เป็นคำแสลงหูสำหรับปัญญาชนคนรุ่นใหม่ และเป็นปัญหาที่สะสมเรื้อรังมานานจนส่งผลกระทบต่อภาพรวมของระบบเศรษฐกิจและสังคม แต่อีกด้านหนึ่งก็มีความใกล้ชิดและเกี่ยวพันกับวิถีชีวิตคนไทยมาเนิ่นนานจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมไปแล้ว ทำให้คนไทยบางส่วนมองว่าเป็นเรื่องปกติที่ยอมรับได้ คำนี้มีความหมายที่เข้าใจตรงกันว่า เป็นการทุจริตคดโกง , การไม่ซื่อสัตย์ , การฉ้อราษฎร์บังหลวง เป็นต้น
เหตุใดและทำไม การคอร์รัปชั่นจึงเป็นสิ่งที่คนไทยรู้จักมักคุ้นกันมาตั้งแต่เด็กจนกระทั่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่ สิ่งใดคือรากเหง้าที่แท้จริงที่ทำให้การคอร์รัปชั่นดำรงอยู่ได้ โดยที่สังคมส่วนใหญ่เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ เสแสร้งว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่สนใจใยดีและไม่ได้จริงจังในการแก้ไขปัญหาแต่อย่างใด และสิ่งนั้นก็คือ ระบบอุปถัมภ์ ซึ่งเป็นระบบที่ก่อตัวมาจากระบบความสัมพันธ์ทางเครือญาติในระดับย่อยของสังคม จนพัฒนามาเป็นระบบพวกพ้องน้องพี่ที่ใหญ่ขึ้นในระดับประเทศ สิ่งนี้จึงเป็นหนึ่งในต้นตอของปัญหาทั้งมวล การทำงานอย่างมีปฏิสัมพันธ์และมีประสิทธิภาพระหว่างคนในแต่ละชนชั้นเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อกันเป็นเครื่องตอกย้ำว่า ทำไมการทุจริตคอร์รัปชั่นจึงยืนยงอยู่ได้ในสังคมไทย
1. ความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นล่าง - ชนชั้นกลาง
ชนชั้นล่าง ในปัจจุบันรวมความถึงประชาชนรากหญ้าที่เป็นเกษตรกรรายย่อย , ลูกจ้างทั่วไป , คนงานในโรงงานอุตสาหกรรม , คนจนในเมือง , ผู้มีรายได้น้อยหรือคนหาเช้ากินค่ำ , ผู้ด้อยโอกาสในสังคม เป็นต้น กลุ่มคนเหล่านี้ไม่มีสิทธิ์มีเสียงในการแบ่งปันอำนาจและผลประโยชน์ทางการเมืองและเศรษฐกิจ มักโดนรังแกและเรียกรับผลประโยชน์จากเจ้าหน้าที่รัฐในระบบราชการอยู่เสมอ เช่น เข้มงวดกวดขันการบังคับใช้กฎหมายจราจร (ตรวจจับเฉพาะคนขับขี่รถจักรยานยนต์ , รถปิกอัพ , รถสิบล้อเท่านั้น) , จ่ายค่าน้ำร้อนน้ำชาเพื่อความสะดวกรวดเร็วในการติดต่อหน่วยงานราชการ เป็นต้น ถือเป็นเรื่องทุจริตเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ในขณะที่ชนชั้นกลางซึ่งตีความได้ว่า เป็นข้าราชการพลเรือนและทหาร , นักธุรกิจ เจ้าของกิจการ , นักวิชาการ , สื่อมวลชน , พนักงานบริษัทเอกชน , ดารา นักร้อง นักแสดง , ผู้มีรายได้ปานกลางจนถึงชนชั้นกลางระดับบน เป็นต้น กลุ่มคนเหล่านี้มีทั้งกำลังเงินและกำลังความสามารถ ที่พรั่งพร้อมไปด้วยเครื่องมือในการโน้มน้าวจิตใจ สร้างประเด็น และชี้นำสังคมได้อย่างมีนัยสำคัญ
สิ่งแลกเปลี่ยนให้ชนชั้นกลาง คือ แรงงาน , เงิน (ส่วย) , ความอ่อนน้อม , การเคารพเชื่อฟังผู้ใหญ่ , ความภักดีต่อเจ้านาย
สิ่งแลกเปลี่ยนให้ชนชั้นล่าง คือ การปกป้องคุ้มครอง , การช่วยเหลือเกื้อกูล , การชี้นำสังคม , การควบคุมสั่งการ
ชนชั้นกลางจะตอบแทนชนชั้นล่างด้วยการให้คุ้มครองความปลอดภัยในทรัพย์สินหรือสวัสดิภาพจากชนชั้นกลางกลุ่มอื่นที่จะมาเอาเปรียบหรือหาประโยชน์จากชนชั้นล่าง , ช่วยฝากลูกเข้าทำงานในระบบราชการหรือฝากเข้าโรงเรียนรัฐบาล เป็นต้น ถือเป็นการขยายอิทธิพลและสร้างบารมี โดยสะสมทั้งกำลังเงินและกำลังคนเพื่อตั้งตัวเองขึ้นเป็นมาเฟียในชุมชน , ผู้กว้างขวางในท้องถิ่น หรือเป็นชนชั้นสูงในอนาคต
2. ความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นกลาง - ชนชั้นสูง
ชนชั้นกลางนอกจากจะออกเงินและแรงกายเพื่อทำงานรับใช้ หรือให้ความเคารพนอบน้อมและเชื่อฟังคำแนะนำจากผู้ใหญ่แล้ว สิ่งหนึ่งที่แตกต่างก็คือ การออกแรงสมอง , ความคิดสร้างสรรค์ เพื่อสร้างความศักดิ์สิทธิ์ให้ชนชั้นสูง ซึ่งชนชั้นกลางแต่ละกลุ่มก็จะอิจฉาริษยากันเอง แย่งกันประจบสบพลอ เอาอกเอาใจเจ้านายเพื่อให้กลุ่มของตนเองเด่นกว่าหรือได้ประโยชน์มากกว่ากลุ่มอื่น ซึ่งการสรรเสริญเยินยอนี้จะเป็นการสร้างบารมีให้ชนชั้นสูงมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายแล้วชนชั้นกลางก็จะอ้างสิทธิ์อันชอบธรรมที่ได้รับการรับรองจากชนชั้นสูงเพื่อมาปกครองชนชั้นล่างต่อไป
ชนชั้นสูง เช่น ข้าราชการระดับสูงทั้งทหารและพลเรือน , กลุ่มทุนผูกขาดขนาดใหญ่ เป็นต้น จะตอบแทนความซื่อสัตย์ภักดีของชนชั้นกลางด้วยตำแหน่งหน้าที่ทางราชการ , สัญญาจัดซื้อจัดจ้างโครงการภาครัฐ หรือช่วยให้พ้นผิดด้วยอภินิหารทางกฎหมายในคดีการเมือง เป็นต้น สิ่งหนึ่งที่สำคัญก็คือ การถือสิทธิ์กำหนดมาตรฐานคุณธรรมภายใต้หลักศาสนา หรือสร้างบรรทัดฐานจริยธรรมตามจารีตประเพณีอันดีงาม เพื่อใช้กำกับสังคมทั้งในแง่การปกครองและทางจิตวิญญาณอีกชั้นหนึ่ง รวมถึงรับรองความชอบธรรมให้คนบางกลุ่มกลายเป็นอภิสิทธิ์ชนเพื่อให้มีบทบาทควบคุมชนชั้นล่างลงไปเป็นทอดๆ
อย่างไรก็ตาม ชนชั้นกลางบางส่วนและชนชั้นสูงมักดูถูกชนชั้นล่างเสมอว่า ชอบทำผิดหรือหลีกเลี่ยงกฎหมาย ซึ่งที่จริงแล้วก็เลียนแบบและเอาอย่างมาจากผู้ดีจอมปลอมพวกนี้นั่นเองที่มักทำตัวอยู่เหนือกฎหมาย มีสองมาตรฐานและมีข้อยกเว้นสำหรับพวกตนเสมอ รวมถึงสร้างวัฒนธรรมที่ไม่ต้องรับผิดชอบต่อความผิดที่เกิดขึ้น เช่น ลูกของกลุ่มทุนใหญ่ขับรถชนตำรวจจนเสียชีวิต แต่กระบวนการยุติธรรมก็ไม่สามารถนำตัวมาลงโทษได้ ทำให้บางคดีหมดอายุความด้วยเทคนิคทางกฎหมาย โดยที่ผู้เกี่ยวข้องไม่ถูกตั้งข้อหาตามมาตรา 157 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จึงถือเป็นความบกพร่องโดยสุจริต แต่ถ้าเป็นคดีความของชาวบ้านทั่วไปจะมีลักษณะตรงกันข้าม
โครงสร้างระบบอุปถัมภ์นี้ ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจทั้งในแง่การกระจายรายได้และความไม่เป็นธรรมในสังคม จนเกิดสภาพการรวยกระจุกในหมู่ชนชั้นสูงและชนชั้นกลางบางส่วน และสภาพความจนที่กระจายอยู่ในชนชั้นล่างและชนชั้นกลางที่เป็นประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ จึงสร้างความยากลำบาก ความแร้นแค้น ขาดแคลน และขัดสนในปัจจัยการผลิต ส่งผลให้ชนชั้นล่างเกิดความเดือดร้อน มีการคร่ำครวญโหยหา จนต้องบนบานศาลกล่าว ขอร้องเทวดาฟ้าดิน หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยดลบันดาลทำให้มีชีวิตที่ดีขึ้น จึงเป็นโอกาสอันดีสำหรับชนชั้นสูงที่จะเป็นอัศวินขี่ม้าขาวมาช่วยเหลือแบบโปรยทานเป็นครั้งคราวไป และกลายเป็นบุญคุณอันล้นพ้นที่ชนชั้นล่างต้องตอบแทนอยู่เรื่อยไป อีกนัยหนึ่งของความเหลื่อมล้ำก็คือ การใช้โฆษณาชวนเชื่อเพื่อสร้างวาทกรรมตอบแทนบุญคุณแผ่นดินเพื่อกล่อมเกลาให้ผู้ใต้อุปถัมภ์ทำงานรับใช้ผู้อุปถัมภ์ด้วยความเต็มใจโดยปราศจากค่าตอบแทนใดๆ ส่วนดอกผลหรือประโยชน์ที่เกิดขึ้นจะเป็นสิทธิ์ขาดของผู้อุปถัมภ์
จากอดีตที่ผ่านมา ประเทศไทยถูกชนชั้นสูงหรือผู้กุมอำนาจรัฐพยายามสร้างวาทกรรมปลุกปั่นและครอบงำความคิดประชาชนว่า การทุจริตคอร์รัปชั่นนั้น เกิดจากนักการเมืองในระบบเลือกตั้งเท่านั้น ดังนั้นการจะแก้ปัญหาที่เรื้อรังมานานจึงต้องให้คนดีเข้ามามีอำนาจ มีตำแหน่งเป็นรัฐบาลเพื่อปกครองคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ สังคมจึงได้ยินเสียงพร่ำบอกอย่างสม่ำเสมอว่า ถึงระบบการปกครองจะไม่ดี แต่ถ้าได้คนดี (ไม่ว่าจะมาด้วยวิธีการใดก็ตาม) ก็ไม่เป็นไร ยอมรับได้ ดังนั้นสังคมไทยจะปกครองด้วยระบอบอะไรก็ได้ที่ทำให้ประชาชนกินดีอยู่ดี , เชื่อฟังและอยู่ในโอวาทผู้ใหญ่ ตั้งอยู่ในความสงบเรียบร้อยก็เพียงพอแล้ว รวมถึงชนชั้นสูงจะเป็นผู้คัดเลือกคนดีมีคุณธรรมมาเป็นรัฐบาล พร้อมทั้งรับรองความถูกต้องชอบธรรมและการันตีความซื่อสัตย์สุจริตอีกด้วย
นักเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกัน ศาสตราจารย์โรเบิร์ต คลิตการ์ด (Robert Klitgaard) ได้นำเสนอกรอบแนวคิดเพื่ออธิบายพฤติกรรมคอร์รัปชั่นไว้ว่า
จากสมการข้างต้นแสดงให้เห็นว่า การทุจริตคอร์รัปชั่นจะเพิ่มขึ้นหากระบบเศรษฐกิจมีการผูกขาด ไม่เกิดการแข่งขัน มีการรวบอำนาจไว้กับคนๆ เดียว และเปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่รัฐใช้ดุลยพินิจให้คุณให้โทษได้ แต่ในทางตรงกันข้าม การทุจริตคอร์รัปชั่นจะลดลงหากสังคมมีกลไกความรับผิดชอบที่เข้มแข็งมากขึ้น
จริงๆ แล้วสมการนี้ไม่สามารถอธิบายสถานการณ์ในประเทศไทยได้ถูกต้องแม่นยำนัก เนื่องจากสังคมไทยมีความสลับซับซ้อนของระบบอุปถัมภ์ที่ซ่อนอยู่อีกหนึ่งชั้นหลังฉาก มีมือที่มองไม่เห็นคอยกำกับบงการเจ้าหน้าที่รัฐในทางพฤตินัย และเจ้าหน้าที่รัฐเองก็ยินยอมพร้อมใจเป็นมือเป็นไม้ให้ด้วย ทั้งนี้เพื่อ
1) ทดแทนบุญคุณที่เคยช่วยเหลือกันมาในอดีต
2) สร้างบุญคุณไว้เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ หากต้องการก้าวหน้าในอนาคต
3) ขอฝากตัวเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายอุปถัมภ์
ถึงแม้ทุกคนจะรับรู้ถึงปัญหาเหล่านี้ดีแต่ก็ไม่มีใครกล้าทำอะไร จึงเกิดปรากฎการณ์กินตามน้ำกันไปเพื่อความอยู่รอด โดยยึดหลักที่ว่า “รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง” ในกรณีผลประโยชน์ทับซ้อน เช่น การตัดสินใจของภาครัฐที่ทำตามกรอบระเบียบกฎหมายแต่มีผลลัพธ์เอื้อประโยชน์ให้กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นกรณีพิเศษแล้ว สังคมก็ไม่สามารถตรวจสอบได้เลย แต่เมื่อหน่วยงานปราบทุจริตมาตรวจสอบและรับรองความถูกต้องตามระเบียบราชการแล้ว สังคมก็จะหยุดตรวจสอบทันทีทั้งๆ ที่รู้ว่ามีการทุจริตเกิดขึ้น หรือบางครั้งสื่อมวลชนก็จงใจละเลยการขุดคุ้ยหาข้อมูลหรือพร้อมใจกันเซ็นเซอร์ตัวเองเพื่อความอยู่รอดปลอดภัย ยกตัวอย่าง ส.ต.ง. ไม่พบสิ่งผิดปกติในโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำจากจีน , การใช้มาตรา 44 ยกเว้นการบังคับใช้ผังเมืองในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก , การเลื่อนสืบพยานโจทก์คดีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ชุมนุมปิดสนามบินดอนเมืองและสนามบินสุวรรณภูมิเมื่อปี 2551 เป็นต้น แต่ถ้าเป็นคดีความของฝ่ายตรงข้ามมักจะเกิดการเลือกปฏิบัติ โดยตัดสินอย่างเคร่งครัดตามตัวบทกฎหมาย เช่น คดีไม่ระงับยับยั้งความเสียหายโครงการรับจำนำข้าว มีการตีความว่า เป็นพฤติการณ์ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่และส่อแสดงเจตนาแสวงหาผลประโยชน์โดยทุจริตจากโครงการ รวมถึงเร่งรัดการสืบพยานและพิจารณาคดีอย่างรวดเร็วดโดยเปรียบเทียบ เป็นต้น
ปัจจุบันมีองค์กรอิสระที่ตั้งขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบการทุจริตของนักการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐเป็นจำนวนมาก ได้แก่ สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน (ผู้ตรวจการฯ) , สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) , สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (ส.ต.ง.) , สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในส่วนกระบวนการยุติธรรม ก็มีการจัดตั้งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองด้วย แต่ก็เกิดคำถามตามมาจากสังคมว่า 1) องค์กรเหล่านี้ทำงานอย่างสุจริตเที่ยงตรงและเป็นธรรม รวมทั้งปฏิบัติต่อทุกคดีอย่างมีมาตรฐานเดียวกันใช่หรือไม่ 2) เป็นกลไกทางการเมืองเพื่อกำจัดพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามใช่หรือไม่ 3) ทำไมอัตราการคอร์รัปชั่นจึงยังไม่มีแนวโน้มลดลง ทั้งๆ ที่มีองค์กรอิสระจำนวนมาก ซึ่งข้อมูลขององค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International) เปิดเผยว่า คะแนนและอันดับความโปร่งใสของประเทศไทยลดลงมาเรื่อยๆ หลังจากรัฐประหาร ปี 2557
หากพิจารณางานวิจัยของ ผศ.ดร.ธานี ชัยวัฒน์ ตามกรอบแนวคิดเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมและเศรษฐศาสตร์สถาบันแล้ว ได้บทสรุปว่า สถาบันทางสังคม เช่น บ้าน , วัด , โรงเรียน ได้หล่อหลอมพฤติกรรม วิธีคิด และทัศนคติเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่น ทำให้พฤติกรรมการทุจริตฝักรากลึกอยู่ในดีเอ็นเอแบบไม่รู้ตัว คุ้นเคยและชาชิน พร้อมทั้งรับมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตโดยปริยาย
จากงานวิจัยพบว่า คนไทยให้ความหมายและคุณค่าความดีและคนดีแตกต่างกัน ความดี (ความซื่อสัตย์ , สุจริต , ไม่คดโกง) เป็นเรื่องของผลประโยชน์สาธารณะ แต่คนดี (กตัญญู , เชื่อฟังพ่อแม่และผู้ใหญ่) เป็นเรื่องของผลประโยชน์ส่วนตัวหรือคนใกล้ชิด สิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้แนวคิดนี้ก็คือ ความรู้สึกเป็นครอบครัวหรือเครือญาติเดียวกัน ซึ่งไม่จำเป็นต้องเกี่ยวพันทางสายเลือดก็ได้ เป็นความผูกพันในลักษณะเพื่อนร่วมสถาบันการศึกษา , รุ่นพี่รุ่นน้องที่นับถือ , เป็นคนจังหวัดเดียวกัน พูดภาษาเดียวกัน , ทำงานในวิชาชีพเดียวกัน หรือผู้ใหญ่ที่มีบุญคุณที่เคยช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาตั้งแต่สมัยรุ่นพ่อแม่ปู่ย่าตายาย ทำให้คนๆ นั้นมีความเอนเอียงที่จะเลือกปฏิบัติ , ย่อหย่อนกฎเกณฑ์ , ผ่อนหนักเป็นเบา หรืออะลุ้มอล่วยช่วยเหลือกัน สุดท้ายแล้วก็กลายเป็นการทุจริตในความรู้สึกที่ยอมรับกันได้แบบหยวนๆ ว่า ไม่ผิดกฎหมายและศีลธรรม และกลายเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นทุกเมื่อเชื่อวัน
ความแตกต่างของชุดคุณธรรมที่มีการสอนกันระหว่างประเทศพัฒนาแล้วกับประเทศไทย
สังคมที่พัฒนาแล้วจะสอนให้ประชาชนมองออกไปข้างนอก คิดถึงผู้อื่นเป็นลำดับแรก โดยเน้นย้ำให้ความสำคัญเรื่องสิทธิและหน้าที่เป็นสำคัญ ยอมรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างซึ่งเป็นพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย
สังคมไทยสอนให้ประชาชนมองเข้าข้างในหรือเน้นความสัมพันธ์ส่วนตัว เช่น เชิดชูตัวบุคคลเป็นหลัก , ยึดกฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย , แยกไม่ออกระหว่างส่วนรวมกับส่วนตัว , ขาดจิตสาธารณะ , มองคนไม่เท่าเทียมกัน , มีลำดับชั้นความสัมพันธ์ , ยึดมั่นระบบอาวุโส , ไม่กล้าคิดแตกต่าง จึงเป็นสาเหตุให้ระบบอุปถัมภ์อยู่คู่กับสังคมไทยมาอย่างยาวนาน
ถ้ามองผิวเผินแบบฉาบฉวยแล้ว การตราหน้าว่านักการเมืองเป็นต้นเหตุสำคัญของการทุจริตคอร์รัปชั่นแต่เพียงฝ่ายเดียว ก็ดูเหมือนเป็นการป้ายสีและจงใจทำให้สังคมเข้าใจผิดและหลงประเด็น จนไม่ต้องสืบหาสาเหตุที่แท้จริงเพื่อแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างทั้งระบบ ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว คนทุกคนในสังคมล้วนมีส่วนร่วมไม่มากก็น้อยในการส่งเสริมการทุจริตคอร์รัปชั่นให้ดำรงอยู่ได้โดยปราศจากการตรวจสอบและตั้งคำถาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งชนชั้นสูงหรือผู้มีอำนาจรัฐที่เป็นต้นตอของปัญหาที่อยู่บนสุดในโครงสร้างระบบอุปถัมภ์ ซึ่งไม่มีใครกล้ากล่าวถึง ถึงแม้สังคมจะมองเห็นปัญหาแต่ก็ทำเมินเฉยมาตลอด ชนชั้นสูงเป็นกลุ่มคนที่อนุรักษ์นิยมไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างระบบอุปถัมภ์แต่อย่างใด เพราะความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นนี้ เปรียบเสมือนน้ำหล่อเลี้ยงให้ชนชั้นสูงมีสถานะที่แตะต้องไม่ได้ ดำรงความศักดิ์สิทธิ์ และมีสิทธิพิเศษหรืออภิสิทธิ์อยู่เหนือกฎกติกาบ้านเมือง
ทางออกที่ดีที่สุดในการลดระดับการทุจริตคอร์รัปชั่นนั้น อย่างแรกที่ต้องดำเนินการให้เป็นรูปธรรมก็คือ การสร้างวัฒนธรรมประชาธิปไตยที่ส่งผลในทางปฏิบัติ ต้องสร้างให้คนรู้จักสิทธิและหน้าที่ของตนเอง รวมทั้งไม่ไปละเมิดสิทธิและหน้าที่ของคนอื่นด้วย ทั้งนี้ต้องเปิดกว้างให้คนทุกชนชั้นได้เข้ามาแบ่งปันอำนาจการบริหารและจัดการทรัพยากรร่วมกัน พร้อมทั้งสร้างระบบตรวจสอบถ่วงดุลโดยให้ภาคธุรกิจ ภาคสังคม และสื่อมวลชนเข้ามาร่วมด้วยช่วยกัน เพื่อสร้างพื้นฐานการเมืองแบบเปิดให้มีความเป็นธรรมและมีมาตรฐานเดียวกันโดยไม่เลือกปฏิบัติ เพียงเท่านี้ก็จะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในการสร้างสังคมที่สงบสุข มีความซื่อสัตย์สุจริต โปร่งใส และมีธรรมาภิบาล เพื่อขจัดระบบอุปถัมภ์แบบศักดินาสวามิภักดิ์ให้หมดสิ้นไปโดยเร็ว โดยมีเป้าหมายสุดท้ายก็คือ การสร้างสังคมให้มีสันติสุขต่อคนทุกชนชั้น
แสดงความคิดเห็น