Posted: 22 Nov 2017 09:13 PM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)

รวมข้อเท็จจริง คำพูด การให้สัมภาษณ์ของบุคคลต่างๆ กรณีการเสียชีวิตและอวัยวะที่หายไปของนักเรียนเตรียมทหาร พบหลายคนพูดไม่ตรงกัน ตอนแรกบอกไม่ได้เอาอวัยวะไปทั้งหมด ตอนหลังบอกเอาไปทั้งหมดแต่ติดต่อญาติไม่ได้ รองนายกฯ เชื่อเสียชีวิตเพราะป่วย เป็นฮีทสโตรก ผบ.รร.ตท.แจงเด็กไม่เป็นฮีทสโตรก ครอบครัวยันลูกสอบพละได้ 944/1,000


'เมย ภคพงศ์ ตัญกาญจน์' เด็กหนุ่มอายุ 18 ปี เป็นหนึ่งในจำนวนเด็กหนุ่มหลายหมื่นคนที่มีความฝันคือการได้เป็น ‘รั้วของชาติ’ เขาสมัครสอบเข้าเรียนที่โรงเรียนเตรียมทหารทั้งหมด 3 ครั้ง จนประสบความสำเร็จสอบผ่านและได้เข้าเรียนในปีการศึกษา 2560 แต่หลังจากเข้าเรียนได้ไม่ถึงปี ขณะที่ความฝันกำลังก่อตัว เมย เสียชีวิตอย่างกะทันหัน

17 ตุลาคม 2560 ช่วงเวลาประมาณ 16.00 – 17.00 น ครอบครัวของเมยได้รับโทรศัพท์จากโรงเรียนเตรียมทหาร ให้รีบไปพบลูกชายที่โรงพยาบาลโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าฯ แต่เมื่อไปถึง สิ่งที่ครอบครัวพบคือ ร่างที่ไร้วิญญาณของลูกชาย

จากนั้นทางโรงเรียนได้บอกกับครอบครัวว่าจะนำศพของเมยไปชันสูตรที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าฯ เพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิต โดยในเวลาต่อมาแพทย์ระบุในใบมรณบัตรว่าสาเหตุของการเสียชีวิตเกิดจาก “ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน” แต่สิ่งที่ครอบครัวยังคงสงสัยคือ “ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน” เกิดขึ้นได้อย่างไร หลังจากการซันสูตรในเบื้องต้นเสร็จสิ้นครอบครัวของเมยได้นำศพกลับมาประกอบพิธีทางศาสนา โดยก่อนหน้านี้ได้รับแจ้งจากโรงเรียนฯ ว่า ทางแพทย์ขอตัดชิ้นส่วนอวัยวะภายในบางส่วน เพื่อนำไปตรวจพยาธิสภาพที่จะทำให้ทราบสาเหตุว่าเสียชีวิตจากอะไร ซึ่งอาจจะใช้เวลาประมาณ 2 เดือนจึงจะทราบผล

24 ตุลาคม 2560 เป็นวันฌาปนกิจศพของเมย มีนักเรียนเตรียมทหารกว่า 400 คนเดินทางมาให้ความเคารพศพ พร้อมกับผู้ใหญ่ในโรงเรียนเตรียมทหารอีกหลายราย ขณะเดียวกันโรงเรียนเตรียมทหารได้ให้การสนับสนุน และช่วยเหลือเรื่องการจัดพิธีศพมาโดยตลอด เรื่องราวดูเหมือนจะจบลงเพียงแค่นั้น ทว่าพิเชษฐ ตัญกาญจน์ พ่อของเมยกลับเลือกที่จะเก็บศพของลูกชายเอาไว้ก่อน เพื่อที่จะนำศพไปชันสูตรอีกครั้งในวันถัดไป และปล่อยให้การฌาปนกิจครั้งนั้นเป็นการเผาโลงศพเปล่า โดยที่ไม่มีใครทราบนอกจากครอบครัว ด้วยเหตุที่ว่าพวกเขายังข้องใจถึงสาเหตุของการเสียชีวิต และเห็นว่า “ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน” ไม่ใช่คำตอบ

20 พฤศจิกายน 2560 เรื่องราวของครอบครัวตัญกาญจน์ กลับมาเป็นเรื่องที่สื่อมวลชนหันมาให้ความสนใจอีกครั้ง หลังครอบครัวจัดแถลงข่าวและให้ข้อมูลว่า มีการนำศพของลูกชายไปชันสูตรอีกครั้งที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ และพบว่าอวัยวะภายในคือ หัวใจ กระเพาะอาหาร และสมอง หายไปทั้งหมด

หลังจากนั้น พิเชษฐได้ติดต่อไปยังโรงเรียนเตรียมทหารเพื่อสอบถามถึงเรื่องดังกล่าว รวมทั้งสาเหตุของการเสียชีวิตแต่กลับได้รับคำตอบที่ไม่ชัดเจนว่า สาเหตุของ “ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน” เป็นเรื่องที่อธิบายได้ยาก อีกทั้งปลายสายยังพูดว่า “ใครจะไปรู้ว่าคุณจะเอาศพไปชันสูตรรอบสอง” อย่างไรก็ตาม แพทย์ที่ได้ผ่าชันสูตรศพรอบที่สองได้ประสานกับทางโรงพยาบาลพระมุงกุฎฯ ว่ามีอวัยวะหลายส่วนที่หายไป แต่ก็ยังไม่ได้การติดต่อกลับมาจนกระทั่งนำไปสู่การตัดสินใจออกมาแถลงข่าวของครอบครัว

เรื่องราวดังกล่าวนำมาซึ่งความสงสัย และการตั้งคำถามที่พุ่งตรงไปยังบุคคลและหน่วยงานต่างๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ และทั้งหมดที่จะได้อ่านต่อไปคือ การพูด “ความจริง” ในมุมมองของแต่ละหน่วยงาน และของแต่ละบุคคล ท่ามกลางช่วงเวลาที่สังคมไทยต้องการหา “ความจริง” หรือ “การออกมายอมรับความจริง”

ผู้บัญชาการโรงเรียนเตรียมทหาร

21 พฤศจิกายน เวลา 13.37 น. ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ รายงานข่าวว่า พล.ต.กนกพงษ์ จันทร์นวล ผู้บัญชาการโรงเรียนเตรียมทหารเปิดเผยว่า พล.อ.ธารไชยยันต์ ศรีสุวรรณ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) ได้เรียกตนให้เข้าไปชี้แจงรายละเอียดทั้งหมดที่กองบัญชาการกองทัพไทย พร้อมทั้งจะชี้แจงให้สังคมทราบโดยเร็วที่สุด เนื่องจากเป็นเรื่องสำคัญและเป็นประเด็นที่มีข้อสงสัย ส่วนกรณีที่อวัยวะภายในของผู้เสียชีวิตหายนั้น ถือเป็นขั้นตอนทางการแพทย์

พล.ต.กนกพงศ์ กล่าวต่อว่า ในวันที่เมยเสียชีวิต ตนอยู่กับบิดามารดา และได้พูดคุยกับคุณพ่อมาโดยตลอด ซึ่งการที่คุณพ่อนำศพไปชันสูตรอีกครั้ง ก็ไม่ได้แจ้งกับตนให้รับทราบ อีกทั้งการเสียชีวิตครั้งนี้ เป็นการเสียชีวิตที่ผิดตามธรรมชาติ เราก็ได้แจ้งให้ทางตำรวจนำศพของเมยไปชันสูตร และทางคุณแม่ก็รับทราบ โดยในขณะนั้นมีแพทย์ทางโรงพยาบาล มีตนและคุณพ่อคุณแม่อยู่ด้วยกันในช่วงเวลาประมาณ 3-4 ทุ่ม ซึ่งคุณแม่ก็ก็เต็มใจที่จะให้มีการชันสูตร

“ผมได้บอกกับทางคุณพ่อคุณแม่ว่าต้องเรียกตำรวจมาชันสูตรพลิกศพ และเมื่อได้รับความยินยอมจากครอบครัว ตำรวจจึงได้ส่งศพไปชันสูตร ซึ่งถือเป็นความเข้าใจร่วมกันอยู่แล้ว ทั้งโรงเรียน ครอบครัวของเด็ก รวมถึงตำรวจ ซึ่งตรงนี้สามารถตรวจสอบได้ ส่วนกรณีที่ทางคุณพ่อคุณแม่นำศพไปชันสูตรอีกรอบนั้นผมไม่ทราบ เพราะผมไปร่วมงานศพทุกคืนจนถึงวันเผาศพ มีทั้งเพื่อนนักเรียนและอาจารย์ไปร่วม” ผบ.รร.เตรียมทหาร กล่าว

พล.ต.กนกพงศ์ กล่าวอีกว่า ตนเพิ่งมาทราบทีหลังว่าทางคุณพ่อคุณแม่ได้นำศพของน้องไปชันสูตรอีกครั้งและทางครอบครัวของน้องเมยเดินทางมาพบตน เพื่อขอให้ตรวจสอบว่าเรื่องดังกล่าวมันเป็นอย่างไร ซึ่งวันนี้หลังจากพบผู้บัญชาการทหารสูงสุดแล้วคงจะทราบข้อเท็จจริงทั้งหมด อย่างไรก็ตาม กรณีที่ทางพ่อแม่น้องเมยติดใจเรื่องการทำโทษบุตรชายนั้น ขอยืนยันว่าขั้นตอนของการลงโทษเป็นไปตามขั้นตอนทางทหาร คือห้ามแตะเนื้อต้องตัวกัน เพราะผิดกฎหมาย

ต่อมาในเวลา 16.30 น. ที่ กรมกิจการพลเรือน กองบัญชาการกองทัพไทย ได้เปิดแถลงข่าวกรณีดังกล่าว โดยผู้บัญชาการโรงเรียนเตรียมทหาร ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า

“วันก่อนเกิดเหตุวันที่ 17 ตุลาคม น้องเป็นลม และมีการพามาส่งห้องพยาบาล ส่วนวันจันทร์ (16 ตุลาคม) ก็มีการทำกิจกรรมตามปกติ มีการวิ่งก่อนรับประทานอาหาร พบว่าน้องหายใจเร็วกว่าปกติ จึงส่งไปที่กองแพทย์ โดยมีกล้องวงจรปิดว่าอยู่ที่กองแพทย์ในช่วงเช้า เที่ยงมีการโทรศัพท์คุยและอยู่กับเพื่อน ตอนบ่ายมีการเดินคุยโทรศัพท์ช่วง 15.00 น. เมื่อเวลา 16.00 น. ก็เกิดอาการขึ้น โดยพบว่าน้องโทรศัพท์คุยกับครอบครัว และระหว่างที่ครอบครัวโทรกลับมาหา เจ้าหน้าที่ได้นำโทรศัพท์ไปให้ที่ห้องพักในบริเวณกองแพทย์ น้องก็ทรุดตัวลง มีการเข้าช่วยเหลือ และนำส่งโรงพยาบาลทันที”

ผู้บัญชาการทหารสูงสุด

21 พฤศจิกายน เวลา 14.09 น. เว็บไซต์ข่าวสดออนไลน์ รายงานว่า ล่าสุด พล.อ.ธารไชยยันต์ ศรีสุวรรณ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีดังกล่าวว่า ไม่เป็นไปตามที่ทางญาติกล่าวอ้าง เนื่องจากเมื่อเกิดเหตุทางโรงเรียนเตรียมทหารได้ส่งศพไปชันสูตรที่โรงพยาบาลพระมงกุฎ และมีการตัดอวัยวะบางส่วนนำไปผ่าพิสูจน์ แต่เป็นเพียงส่วนเล็กน้อยเท่านั้น จากนั้นทางญาติได้นำร่างกลับไปแล้วนำไปที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์อีกครั้ง

พล.อ.ธารไชยยันต์ กล่าวว่า ขณะเดียวกันทางโรงเรียนเตรียมทหารได้ร่วมจัดงานศพเมย กับทางญาติ และดำเนินการช่วยเหลือทุกอย่าง โดยที่ผ่านมาก็ได้ให้การช่วยเหลืออย่างเต็มที่ และยืนยันไม่ได้มีการขโมยอวัยวะแต่อย่างใด ทั้งนี้กรณีที่มีผ้าพันแผลอยู่ในอวัยวะ น่าจะเกิดจากการตรวจพิสูจน์ก่อนหน้านี้ของทางโรงพยาบาล และทางโรงเรียนก็ได้ร่วมจัดงานพิธีบำเพ็ญกุศลศพ และทำการฌาปนกิจเรียบร้อย และเป็นการฌาปนกิจโลงเปล่า ไม่มีศพ ซึ่งทางโรงเรียนได้ให้การช่วยเหลือ อย่างเต็มที่ไม่ได้นิ่งนอนใจ

ต่อมาวันที่ 22 พฤศจิกายน หลังจากพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า เมยป่วยเป็นโรคฮีทสโตรก พล.อ.ธารไชยยันต์ ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนอีกครั้ง โดยระบุว่า เมยไม่ได้มีสภาวะการเป็นโรคฮีทสโตรก ทางแพทย์ที่ดูแลชี้แจงแล้ว คาดว่าน้องน่าจะมีโรคประจำตัว แต่ไม่ได้ร้ายแรง และไม่ขัดต่อการเป็นนักเรียนเตรียมทหาร ทั้งนี้ตนได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนกรณีที่มีไลน์ของเด็กหลุดและระบุว่าถูกรุ่นพี่ซ่อม เพื่อหาข้อเท็จจริง

"บางครั้งการซ่อมเป็นเรื่องของการธำรงวินัย ซึ่งนักเรียนเตรียมทหารเป็นเรื่องปกติ ที่ต้องมีการซ่อม เพราะเป็นการสร้างวินัยในการแปรสภาพจากพลเรือนไปสู่การเป็นทหาร แต่ไม่สามารถซ่อมเกินกรอบที่กำหนดเอาไว้ได้ หากเป็นเช่นนั้นถือว่ามีความผิด และจะต้องมีการสอบสวนและลงโทษ ซึ่งในส่วนของนักเรียนเตรียมทหารคนดังกล่าว ผู้ปกครองระบุว่ามีการโดนซ่อมด้วย ซึ่งเราก็จะสอบสวนตรงนี้ทั้งหมด ขณะนี้เราต้องทำความเข้าใจกับพ่อแม่ให้ดีที่สุด โดยเฉพาะข้อข้องใจของครอบครัวเราก็จะชี้แจงทั้งหมด ซึ่งจะมีขั้นตอนทางการแพทย์ ระเบียบวินัย รวมถึงเพื่อนๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์" พล.อ.ธารไชยยันต์ กล่าว

ผู้บัญชาการทหารสูงสุดกล่าวอีกว่า ในส่วนของการขอคืนอวัยวะภายในนั้นเป็นเรื่องของพนักงานสอบสวนที่จะต้องดำเนินการโดยญาติจะต้องประสานมายังพนักงานสอบสวน แต่กรณีนี้ญาติไม่ได้ขอมา และเมื่อวานนี้ทางแพทย์ถึงได้รับการประสานมาเพื่อขอคืน อย่างไรก็ตาม การดำเนินการทุกอย่างเรามีเอกสารเป็นหลักฐาน ซึ่งทางโรงพยาบาลพระมงกุฎก็พร้อมที่จะส่งเอกสารเหล่านี้

รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

22 พฤศจิกายน ที่วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีการเสียชีวิตของเมยว่า ทางกองบัญชาการกองทัพไทยชี้แจงไปหมดแล้ว รวมถึงมีกล้องวงจรปิดเป็นหลักฐาน และแจ้งความลงบันทึกประจำวัน ทุกอย่างว่าไปตามระเบียบ และกฎหมาย อีกทั้งทางแพทย์ได้ประสานไปยังผู้ปกครองให้รับอวัยวะภายในคืนแล้ว ภายหลังการพิสูจน์ อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ผ่านมา 1 เดือน และทางโรงเรียนเตรียมทหารได้ติดต่อพูดคุยกับครอบครัว รวมถึงการช่วยเหลือจัดงานฌาปนกิจศพ ซึ่งตนเห็นใจกับครอบครัว เพราะลูกชายเพียงคนเดียวพ่อแม่ก็ต้องเสียดาย ทั้งยังเป็นนักเรียนเตรียมทหารด้วย

พล.อ.ประวิตร กล่าวต่อว่า ยืนยันว่าเรื่องชิ้นส่วนอวัยวะที่ถูกตัดไปพิสูจน์นั้นไม่ได้เป็นการปกปิดข้อมูล และทางพนักงานสอบสวนก็ได้รายงานเรื่องดังกล่าวแล้ว ถือเป็นขั้นตอนทางการแพทย์ และทางพ่อแม่ไม่ได้แจ้งมาเช่นกันว่ายังไม่ได้รับชิ้นส่วนดังกล่าวคืน

“ผมยืนยันว่าเด็กเสียชีวิต เนื่องจากสุขภาพของเด็กเอง ไม่มีการซ่อมอะไรทั้งสิ้น เขาป่วย และเชื่อว่าทางโรงเรียนไม่ได้ปิดบังข้อมูล แม้ว่าบริเวณที่เด็กล้มลงจะไม่มีภาพวงจรปิดก็ตาม เพราะหากเสียชีวิต ใครจะมาปิดบังสาเหตุก็ไม่ได้” พล.อ.ประวิตร กล่าว

เมื่อถามว่า หากเด็กสุขภาพไม่ดี ทำไมถึงเข้าเรียนเตรียมทหารได้ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ตนอยากทราบเช่นกัน ตอนรับสมัครก็มีแพทย์ตรวจคัดกรองแล้ว แต่อาจมาเป็นช่วงตอนเข้าเรียน ซึ่งเด็กเป็นโรคฮีทสโตรก

“ส่วนที่เปิดบันทึกประจำวันของเด็กที่ระบุว่าเขาโดนซ่อมนั้น ผมคิดว่าก็โดนซ่อมกันทุกคน ผมก็เคยโดนมาเหมือนกัน เช่น วิดพื้น วิ่ง สก็อตจั๊มพ์ ไม่ต้องถูกตัวกัน และการซ่อมไม่ได้มากมายอะไร ขณะเดียวกันประเด็นที่เด็กเคยโดนซ่อมจนหยุดหายใจไปครั้งหนึ่งนั้น เพราะเขาเป็นโรคฮีทสโตรก ซึ่งการเป็นโรคนี้เกิดจากการฝึก หรือแม้แต่ยืนตากแดดเฉยๆ ก็เป็นเพราะอากาศร้อน ใครจะไปรู้ว่าลูกเขามีภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน พร้อมทั้งยืนยันว่าการซ่อมไม่ได้เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน

เมื่อถามต่อว่า หากการซ่อม เกินกำลังคนจะรับได้ จะทำอย่างไร พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “ผมก็เคยโดนซ่อมจนเกินกำลังจะรับได้ จนสลบไปเหมือนกัน แต่ผมไม่ตาย เรื่องเหล่านี้ก่อนจะรับเด็กเข้ามาต้องตรวจเช็กร่างกายเป็นอย่างดี แต่เข้ามาแล้วเป็นโรคฮีทสโตรกก็ทำให้ร่างกายอ่อนแอ ที่ผ่านมาสัดส่วนนักเรียนเสียชีวิตจากโรคนี้จะน้อย แม้ว่าจะโดนซ่อม แต่ร่างกายแข็งแรง”

เมื่อถามอีกว่าจะแก้ไขปัญหาพวกนี้อย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดขึ้นอีก พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ก็ไม่ต้องเข้ามาเรียน ไม่ต้องมาเป็นทหาร เราเอาคนที่เต็มใจ เมื่อถามย้ำว่า การเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหาร ต้องเตรียมใจเรื่องการธำรงวินัย ใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ใช่

ทีมแพทย์ผู้ทำการชันสูตรในครั้งแรก

พ.ท.นรุฏฐ์ ทองสอน ทีมแพทย์ผู้ชันสูตรศพ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า กล่าวถึงประเด็นการชันสูตรศพ เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน ว่า ได้รับร่างของเมย มาในคืนวันที่ 18 ตุลาคม และลงมือชันสูตรตอนเช้า ไม่พบบาดแผลตามร่างกายภายนอก จึงผ่าเปิดภายใน พบว่ากระดูกซี่โครงซี่ที่ 4 ข้างขวาหัก มีรอยช้ำชายโครงข้างขวาและซ้าย พบความผิดปกติเพียงเท่านี้ โดยกระดูกและรอยช้ำดังกล่าว ไม่สามารถเป็นสาเหตุการเสียชีวิตได้ ทั้งนี้รอยที่บริเวณชายโครง เกิดจากของแข็งไม่มีคมมากระแทก ซึ่งยังไม่สามารถตัดประเด็นเรื่องการเกิดรอยระหว่างซีพีอาร์ช่วยชีวิต หรือประเด็นของแข็งอื่นกระแทกได้ จึงต้องมีการผ่าเพื่อส่องทางกล้องจุลทรรศน์ โดยวิธีการจะต้องเก็บอวัยวะไว้ครึ่งหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม การเสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุจะอยู่ที่สมองและหัวใจ โดยสมองจะนิ่มมาก จึงต้องฟิกฟอร์มาลีน จึงได้เก็บสมองและหัวใจทั้งหมดไว้เพื่อทำสไลด์ ส่วนผลทางพิษวิทยา มี 3 ทาง จะต้องเก็บผลทางเลือด กระเพาะ กระเพาะปัสสาวะ ได้ผ่าเพื่อตรวจสารพิษ แต่ตอนตรวจพบว่ามีการหดเล็กมาก ไม่มีฉี่ในกระเพาะปัสสาวะ ได้เก็บคืนไป อาจจะสังเกตไม่เห็น ส่วนในกระเพาะไม่พบเศษอาหาร

“สรุปในส่วนของอวัยวะที่ได้เก็บไว้ทั้งหมด คือ สมอง หัวใจ กระเพาะอาหาร และสุ่มตัวอย่างอวัยวะไว้ทำสไลด์ เพื่อตรวจทางห้องปฏิบัติงาน จึงได้ออกรายงานให้เจ้าพนักงาน เมื่อตรวจ รายงานมีแนวโน้มไปทางหัวใจ จึงลงรายงานว่าหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ทั้งนี้ หัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน เกิดได้หลายสาเหตุ แต่มีการเก็บตัวอย่างพบว่ากายภาพของหัวใจปกติ จึงต้องตรวจระดับลึก จากการส่องกล้องจุลทรรศน์ พบเซลล์บางตัวที่ไม่ควรพบในคนอายุ 19 ปี แต่อาจพบได้เมื่อหัวใจมีพยาธิสภาพผิดปกติ ส่วนเรื่องการเต้นของหัวใจ สารไฟฟ้านำหัวใจทำให้หัวใจเต้นพริ้ว หัวใจเต้นผิดปกติ การผ่าชันสูตรไม่สามารถตอบคำถามในส่วนดังกล่าวได้ ต้องใช้วิธีการตรวจวัดคลื่นไฟฟ้าระหว่างการมีชีวิต อย่างไรก็ตาม เด็กที่แข็งแรง เมื่อล้มลงจำเป็นต้องหาสาเหตุให้ชัดเจนว่าเกิดจากอะไร” พ.ท.นรุฏฐ์ กล่าว

ส่วนสาเหตุที่ไม่ได้แจ้งให้ญาติทราบก่อนว่ามีการนำอวัยวะออกไปจากศพของเมย พ.ท.นรุฏฐ์ ระบุว่าเป็นเพราะไม่สามารถติดต่อญาติได้โดยตรง และตั้งแต่รับศพมายังไม่ได้มีโอกาสได้พบญาติเลย

สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ หน่วยงานที่ทำการชันสูตรครั้งที่สอง

22 พฤศจิกายน เวลา 12.00 น. สมณ์ พรหมรส ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ พร้อมด้วย นพ.ไตรยฤทธิ์ เตมหิวงศ์ รอง ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ในฐานะโฆษก และ พญ.ปานใจ โวหารดี ผอ.กองส่งเสริมและพัฒนางานนิติวิทยาศาสตร์ ในฐานะรองโฆษก ร่วมแถลงข่าวกรณีการผ่าพิสูจน์ชันสูตรศพเมย นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 ที่เสียชีวิต หลังพนักงานสอบสวน สภ.องครักษ์ ได้ส่งเรื่องให้ทำการผ่าชันสูตรรอบที่ 2

สมณ์เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 25 ต.ค.ได้รับเรื่องจากพนักงานสอบสวน สภ.องครักษ์ จ.นครนายก ให้ช่วยตรวจผ่าชันสูตรศพ นตท.ภคพงศ์ เป็นครั้งที่ 2 ต่อมา วันที่ 27 ต.ค. จึงรับเรื่องดังกล่าวไว้ จากนั้นวันที่ 30 ต.ค.ก็มีการตั้งคณะทีมแพทย์เชี่ยวชาญ 3 คน ดำเนินการตรวจผ่าศพ ถัดมาวันที่ 1 พ.ย. ทีมแพทย์ลงมือทำการผ่าพิสูจน์ปรากฏว่าไม่พบอวัยวะภายในร่างกายบางส่วน ประกอบด้วย สมอง หัวใจ และกระเพาะอาหาร กระทั่งวันที่ 3 พ.ย.ได้ประสานให้พนักงานสอบสวน สภ.องครักษ์ ดำเนินการติดตามหาอวัยวะเพื่อนำมาตรวจหาสาเหตุการเสียชีวิต ขณะนี้ยังไม่สามารถสรุปผลการผ่าพิสูจน์ได้เนื่องจากอวัยวะร่างกายยังไม่ครบ เพราะสมองและหัวใจ สามารถบอกสาเหตุการเสียชีวิตได้ จึงต้องนำอวัยวะทั้งหมดมาตรวจสอบก่อน ถึงจะสรุปผลการผ่าพิสูจน์ได้

“อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 23 พ.ย.ที่จะถึงนี้ ทางสถาบันพยาธิวิทยา ศูนย์อำนวยการแพทย์พระมงกุฎเกล้าจะนำอวัยวะทั้ง 3 ชิ้นดังกล่าวที่ไม่ครบส่งกลับมาให้ตรวจผ่าพิสูจน์และคาดว่าประมาณ 1 สัปดาห์จะทราบสาเหตุการเสียชีวิตได้ รวมทั้งไม่จำเป็นต้องผ่าตรวจร่างกายของ นตท.ภคพงศ์ ซ้ำอีกครั้งเพราะได้ผ่าตรวจไปหมดแล้ว ยืนยันให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย พร้อมทั้งให้ญาติผู้เสียชีวิตเข้ามาดูการผ่าพิสูจน์ด้วย” นายสมณ์กล่าว

นพ.ไตรยฤทธิ์กล่าวว่า สำหรับการเสียชีวิตมี 2 ลักษณะ คือ 1. การเสียชีวิตตามธรรมชาติจากสาเหตุการป่วยตาย หมอจะวินิจฉัยเพิ่มโดยผ่าชันสูตร ซึ่งต้องมีการขออนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากทางญาติ แต่การผ่าพิสูจน์อาจยังวินิจฉัยไม่ได้ทันที อาจขออวัยวะบางส่วนมาตรวจสอบให้ละเอียด ซึ่งมีกระบวนการหลายขั้นตอน และ 2.การเสียชีวิตโดยไม่ใช่แบบธรรมชาติ เช่น ถูกคนอื่นฆ่าให้ตายหรือโดยสัตว์ทำ อุบัติเหตุ หรือไม่ปรากฏเหตุ โดยแพทย์สามารถผ่านำชิ้นเนื้ออวัยวะไปตรวจสอบได้ ซึ่งหากอวัยวะใดน่าจะมีประโยชน์ต้องมีการขออนุญาตจากญาติเป็นลายลักษณ์อักษรก่อน ซึ่งแนวทางปฏิบัติของแพทย์แต่ละคนไม่เหมือนกัน ในความจริงแล้วสามารถนำอวัยวะไปตรวจสอบได้ตามหลักการ ขณะเดียวกัน ทางสถาบันพยาธิวิทยา ศูนย์อำนวยการแพทย์พระมงกุฎเกล้าเป็นสถาบันที่มีนักเรียนแพทย์ศึกษาอยู่ด้วย เมื่อเกิดกรณีการตายผิดธรรมชาติแบบพิเศษอาจจะมีการเก็บชิ้นส่วนอวัยวะเพื่อให้นักศึกษาแพทย์ได้ทำการศึกษาต่อไป

นพ.ไตรยฤทธิ์กล่าวอีกว่า ส่วนสภาพร่างกายและอวัยวะของผู้เสียชีวิตนั้นยังเป็นปกติดีในตอนผ่า เพราะมีการแช่ฟอร์มาลีน สภาพก็ยังอยู่เหมือนเดิม รวมถึงประเด็นการนำอวัยวะของผู้ตายออกไปโดยไม่แจ้งญาตินั้น ตรงนี้ทางสถาบันไม่สามารถตัดสินตอบเองได้ แต่จะมีสภาองค์กรวิชาชีพ หรือแพทยสภา สามารถบอกได้ว่าผิดจรรยาบรรณหรือไม่ นอกจากนี้ กรณีที่สื่อมวลชนถามว่ามีการปั๊มหัวใจ หรือ CPR ผู้เสียชีวิต 4 ชั่วโมงจนกระดูกซี่โครงหักไม่สามารถตอบได้ แต่ขึ้นอยู่กับเคสของผู้ป่วยที่ต้องทำจนกว่าจะฟื้นขึ้น การทำ CPR มีหลายแบบ เช่น การให้ท่ออากาศหายใจ เป็นต้น ไม่จำเป็นต้องปั๊มหัวใจอย่างเดียว

พญ.ปานใจกล่าวว่า สำหรับการเก็บชิ้นอวัยวะทางแพทย์สามารถเก็บได้โดยไม่ต้องแจ้งญาติ แต่จะดูความสำคัญในขณะนั้นเป็นอันดับแรกว่าแพทย์จะนำไปตรวจสอบเพิ่มเติมหรือไม่อย่างไร ทั้งนี้ ในประเทศไทยยังไม่มีแผนปฏิบัติว่าจะต้องแจ้งญาติทุกครั้ง แต่เพื่อให้สบายใจทุกฝ่ายก็ควรแจ้งให้ญาติทราบ

ครอบครัวตัญกาญจน์

ครอบครัวตัญกาญจน์ให้ข้อมูลว่า เมื่อวันที่ 23 ส.ค. 2560 เมย ถูกนำตัวส่งเข้าโรงพยาบาลโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า เนื่องจากถูกรุ่นพี่สั่ง “ธำรงวินัย” (ซ่อม) โดยให้ทำท่าหัวปักพื้น ลำตัวโค้งโดยที่ขายังยืนอยู่ ซึ่งหัวอยู่ที่บริเวณตะแกรงท่อระบายน้ำในห้องน้ำนายทหาร จนหมดสติ และชีพจรหยุดเต้นไปชั่วขณะ จนทำให้ทีมแพทย์ต้องปั้มหัวใจเพื่อช่วยชีวิตกลับมา

พิเชษฐ เล่าด้วยว่า เขาต้องเค้นถามลูกชายว่าเกิดอะไรขึ้น ถึงขั้นต้องพูดว่า “ครั้งนี้คุณเกือบตายคุณจะไม่บอกอะไรเลยไม่ได้” เขาตั้งข้อสังเกตด้วยว่า วัฒนธรรมภายในโรงเรียนเตรียมทหาร มักจะเก็บเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในโรงเรียนไว้เป็นที่รับรู้กันเฉพาะคนภายใน โดยไม่ยอมเปิดเผยเรื่องราวให้คนภายนอกทราบ แม้แต่ครอบครัวก็ตาม ทั้งนี้เมยยังเคยบอกให้ครอบครัวทราบว่า อย่าเชื่อผู้พัน

ครอบครัวให้ข้อมูลต่อว่า วันที่ 12 ตุลาคม เมยได้กลับมาที่บ้าน และวันที่ 15 ตุลาคม ครอบครัวได้พาเมยไปส่งที่โรงเรียนตามกำหนดอีกครั้ง ต่อมาวันที่ 17 ตุลาคม เวลาประมาณ 15.00 น. เมยได้โทรศัทพ์มาหาแม่ โดยบอกว่าตัวเองยังป่วยอยู่ และระบมไปทั้งตัว เมื่อถามถึงสาเหตุเมยไม่ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติม โดยพิเชษฐให้ข้อมูลเพิ่มเติมในส่วนนี้ว่าอาจเป็นเพราะความกลัว เนื่องจากการใช้โทรศัทพ์ติดต่อกับภายนอก นักเรียนเตรียมทหารจะต้องขออนุญาตนายทหารก่อน และในการพูดคุยทุกครั้งจะมีนายทหารยืนเฝ้าอยู่ด้วย ต่อมาเวลาประมาณ 16.00-17.00 น. ได้รับแจ้งจากโรงเรียนว่าให้รีบมาที่โรงพยาบาลโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าฯ

ทั้งนี้ครอบครัวให้ข้อมูลเพื่อเติมว่า ได้ทราบจากเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลว่า ขณะที่ไปรับตัวเมยมายังโรงพยาบาลนั้น ตรวจไม่พบการเต้นของชีพจรแล้ว

ส่วนเรื่องอวัยวะที่หายไปนั้นทางครอบครัวยืนยันว่า ไม่ได้รับการแจ้งใดๆ ว่าจะมีการนำอวัยวะไปตรวจพิสูจน์ ทราบเพียงแค่มีการขอตัดชิ้นส่วนเล็กๆ ไปตรวจสอบเท่านั้น

สำหรับเรื่องโรคประจำตัวนั้น ทางครอบครัวยืนยันว่า เมยไม่มีโรคประจำตัว และมีร่างกายแข็งแรง และในการสอบเข้าเรียนซึ่งมีการสอบวิชาพละนั้น เมยได้คะแนน 944/1,000

นอกจากนี้ทางครอบครัวยังยืนยันด้วยประวัติการเข้ารับการรักษาของเมย ระหว่างที่อยู่โรงเรียนด้วยว่า เหตุที่เขาห้องพยาบาลบ่อยครั้งนั้นเกิดจากมีอาการไอ เจ็บคอ และปวดขาซึ่งเกิดจากการวิ่ง เท่านั้นไม่ได้มีโรคร้ายแรง ทั้งยังได้เปิดเผยบันทึกของเมย ซึ่งเขียนไว้ในวันที่ 26 พฤษภาคม โดยเมยได้เขียนไว้ว่า วันนี้ถูกต่อยท้องหนึ่งครั้ง

[full-post]

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.