กสม. อังคณา นีละไพจิตร เสนอรัฐบาลเพิ่มมาตรการ กลไกการคุ้มครองผู้หญิงและเด็ก เนื่องในโอกาสวันรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็ก
24 พ.ย.2560 สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (สนง.กสม.) รายงานว่า วันนี้ อังคณา นีละไพจิตร กสม. ในฐานะประธานอนุกรรมการด้านสิทธิและความเสมอภาคทางเพศสภาพ ใน กสม. เปิดเผยว่า ปัจจุบันผู้หญิงจำนวนมากยังต้องเผชิญปัญหาความรุนแรงทุกรูปแบบทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างในสังคมไทยมาอย่างยาวนาน โดยในช่วงปีที่ผ่านมาคณะอนุกรรมการฯ ได้ดำเนินการตรวจสอบเรื่องร้องเรียนในประเด็นทางเพศเกี่ยวกับความรุนแรงที่เกิดจากความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว ความรุนแรงจากการถูกล่วงละเมิดทางเพศ การล่วงละเมิดทางเพศจากการทำงาน การเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศ ปัญหาทัศนคติและอคติทางเพศของสังคมไทย รวมถึงปัญหาและอุปสรรคในการเข้าถึงความยุติธรรมของผู้หญิงในรูปแบบต่างๆ
อังคณา ระบุว่า ถึงแม้ว่ารัฐบาลและหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบ ได้มีความพยายามสร้างมาตรการหรือแนวทางในการแก้ไขปัญหาหลายประการ ซึ่งถือว่าเป็นการดำเนินการที่น่ายกย่องและชื่นชม อย่างไรก็ดียังมีข้อกังวลและห่วงใย เช่น 1. ข้อจำกัดทางกฎหมาย พ.ร.บ.ความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 เปิดช่องให้มีการเลือกปฏิบัติได้ ด้วยเหตุผลตามหลักการทางศาสนา หรือเพื่อความมั่นคงของประเทศ หรือเพื่อคุ้มครองสวัสดิภาพและความปลอดภัย ซึ่งขัดกับตามความเห็นทั่วไปของคณะกรรมการการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีทุกรูปแบบ (Convention on the Elimination of All Forms of Discrimination - CEDAW) ขององค์การสหประชาชาติ ที่ระบุว่า การเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศถือเป็นความรุนแรงต่อผู้หญิง
2. ผู้หญิงและเด็กหญิงกลุ่มเฉพาะ เช่น กลุ่มผู้หญิงชาติพันธุ์ ผู้หญิงพิการ ผู้หญิงมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ยังคงถูกเลือกปฏิบัติ และมีอุปสรรคหลายประการในการเข้าถึงความยุติธรรมผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนมักถูกคุกคามด้วยการถูกฟ้องร้องดำเนินคดี และถูกคุกคามทางเพศในรูปแบบต่างๆ ในขณะที่เด็กหญิงที่อพยพย้ายถิ่นตามครอบครัวมายังประเทศไทยถูกกักตัวในสถานที่กักร่วมกับผู้ใหญ่ และไม่ได้รับการดูแลตามสิทธิขั้นพื้นฐานของเด็กตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 และอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (Convention on the Rights of the Child) และ 3. พนักงานและข้าราชการหญิง ยังต้องเผชิญกับการคุกคามทางเพศจากการทำงาน ถึงแม้ว่าคณะรัฐมนตรีจะได้มีมติให้ทุกหน่วยงานมีมาตรการเพื่อป้องกันการกระทำดังกล่าว แต่หน่วยงานต่างๆ ทั้งรัฐและเอกชน ยังไม่สามารถปฏิบัติได้อย่างจริงจังและมีประสิทธิภาพ
อังคณา เปิดเผยต่อว่า ในโอกาสที่รัฐบาลให้ความสำคัญกับการเคารพหลักสิทธิมนุษยชน โดยกำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ คณะอนุกรรมการด้านสิทธิและความเสมอภาคทางเพศสภาพ มีข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลเนื่องในโอกาสวันรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และความรุนแรงในครอบครัว ซึ่งตรงกับวันที่ 25 พฤศจิกายนของทุกปี ดังนี้ 1. รัฐบาลควรเพิ่มมาตรการในการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ผู้บังคับใช้กฎหมายและบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม รวมถึงสังคมให้มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับความละเอียดอ่อนทางเพศ และการเคารพในความเสมอภาคระหว่างเพศและสิทธิมนุษยชนของผู้หญิง ตามหลักการสิทธิมนุษยชนและอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกประติบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (Convention on the Elimination of All Forms of Discrimination (CEDAW) ) ขององค์การสหประชาชาติ เพื่อให้เกิดกลไกที่สามารถคุ้มครองผู้หญิงและเด็กหญิงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. รัฐบาลควรสร้างหลักประกันในการเข้าถึงความยุติธรรมของผู้หญิงและเด็กหญิงทุกกลุ่ม โดยเฉพาะผู้หญิงกลุ่มเฉพาะ โดยกระบวนการยุติธรรมต้องเป็นมิตรกับผู้หญิง มีกระบวนการการให้คำปรึกษาเพื่อให้ผู้หญิงมีความมั่นใจในการต่อสู้คดีที่เกี่ยวกับความรุนแรงทางเพศ พร้อมทั้งให้มีการฟื้นฟูเยียวยาผู้เสียหายและครอบครัวเพื่อให้กลับมาใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติ 3. รัฐควรรีบเร่งให้มีกลไกเพื่อคุ้มครองผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชน จากการถูกฟ้องร้องดำเนินคดีจากกรณีใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การสมาคมเพื่อปกป้องสิทธิชุมชนและสิทธิมนุษยชน และ 4. รัฐบาลควรรับประกันการเพิ่มสัดส่วนของผู้หญิงในกระบวนการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ และส่วนร่วมทางการเมืองทุกระดับ เพื่อให้ผู้หญิงสามารถนำเสนอปัญหา และแนวทางแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับความรุนแรง รวมถึงปัญหาอื่นๆ เช่น ปัญหาความยากจน หรือปัญหาทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม
อังคณา กล่าวตอนท้ายว่า คณะอนุกรรมการด้านสิทธิและความเสมอภาคทางเพศสภาพจะมุ่งมั่นปฏิบัติภารกิจในการส่งเสริม ปกป้องและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน เพื่อให้เกิดสังคมที่เคารพสิทธิมนุษยชนต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างสังคมให้เกิดความเป็นธรรมที่คำนึงถึงความละเอียดอ่อนทางเพศ
สำหรับ พ.ร.บ.ความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 มาตรา 17 วรรคสอง ได้กำหนดว่า “... เพื่อขจัดอุปสรรคหรือส่งเสริมให้บุคคลสามารถใช้สิทธิและเสรีภาพ ได้เช่นเดียวกับบุคคลอื่น หรือเพื่อคุ้มครองสวัสดิภาพและความปลอดภัย หรือการปฏิบัติตามหลักการทางศาสนา หรือเพื่อความมั่นคงของประเทศ ย่อมไม่ถือเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ”
แสดงความคิดเห็น