ลุงตู่ครับ ถ้าจะปราบโกง มาที่เชียงใหม่นี่
โครงการที่ใช้ชื่อประชารัฐ ควรจะเป็นความร่วมมือระหว่าง ภาครัฐกับภาคประชาชนอย่างแท้จริง ไม่ใช่ อ้างนโยบายส่วนกลางคิดทำกันเอง แถมสร้างความเดือดร้อนประชาชนอีกต่างหาก
ที่ดินธนารักษ์ 9 ไร่กว่าที่จะสร้างคอนโดมิเนียมประชารัฐ-ธนารักษ์ อยู่ใจกลางเมืองต่อกับถนนช้างคลานและเชื่อมไปถึงไนท์บาร์ซ่าแค่เดินทะลุ ล้อมรอบด้วยชุมชนหนาแน่น สถาบันการศึกษา และเป็นย่านทำเลทอง
ลุงตู่ทราบไหมครับ ก่อนหน้านี้มีความพยายามจะทำประโยชน์จากที่ผืนนี้มาหลายรอบ แต่มันติดเงื่อนไขที่หลวงและผังเมืองสีน้ำเงิน นายทุนเลยได้แค่เลียริมฝีปาก ทำอะไรไม่ได้
จนมาถึงยุคลุงตู่ที่มีโครงการบ้านราคาถูกให้กับข้าราชการและประชาชนรายได้น้อย ซึ่งมันก็ดีครับ เห็นด้วย ที่รัฐควรมีโครงการแบบนี้
ปัญหาก็คือ เมื่อกรมธนารักษ์รับนโยบายแปลงเป็นปฏิบัติ มันส่อว่าไม่เป็นไปตามที่รัฐบาลคิด-หวังน่ะสิครับ
อธิบดีธนารักษ์เคยแถลงกับนักข่าวว่า ที่ดิน 9 ไร่ 3 งาน เกือบๆ 10 ไร่ ตรงนี้ มีมูลค่าประมาณ 168 ล้านบาท ซึ่งเป็นราคาประเมินกรมที่ดินที่ต่ำกว่าราคาซื้อขายจริง เป็นตัวเลขที่กดต่ำเกินไป ไม่รู้ว่าเพราะอะไรที่แสดงตัวเลขนี้
ที่เชียงใหม่แค่ 100 ตารางวาแถวนั้นขายกัน 10 ล้าน / ที่ 1 ไร่ เขาขายกัน 100 ล้าน
ดังนั้นที่ดินแปลงงามของธนารักษ์ไม่ไกลจากไนท์บาร์ซ่ามันควรจะมีมูลค่าจริงประมาณ 1,000 ล้านบาท
ถ้าเอกชนมีที่ดินนี้เขาจะลงทุนทำอะไร?
กรมธนารักษ์แถลงกับนักข่าวเดือนมกราคม จะสร้างห้อง 600 ยูนิต ราคา 6-7 แสน ต่อมาเพิ่มเป็น 700 ยูนิต ล่าสุดหลังจากลงนามกับเอกชนไป บอกว่าจะสร้าง 900 ยูนิต ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท
คิดในเชิงเศรษฐศาสตร์ ที่ดินพันล้าน + ค่าก่อสร้าง 6 ร้อยล้าน แต่ขายได้แค่ 900 ล้าน มันไม่คุ้มอยู่แล้ว
และราคาคอนโดมิเนียมเชียงใหม่ขนาดเท่าๆ กันเขาขาย 2 ล้านขึ้นครับ
แปลว่า... คนที่จะมาซื้อคอนโดประชารัฐของกรมธนารักษ์ กำไรเห็นๆ ได้สิทธิ์ ซื้อของถูก ในทำเลทองไม่แพ้สาทร สุขุมวิทของกรุงเทพฯ แบบนี้ขายหมดแน่นอนครับ
ถ้าเป็นข้าราชการผู้น้อยที่อยู่อาศัยจริง แล้วไปทำงานในเชียงใหม่ก็เป็นโชคดีของเขา...แต่ถ้าเป็นข้าราชการที่อื่น หรือ คนอื่นที่สวมรอย พวกนี้จะได้กำไรล้วนๆ จากการลงทุนของรัฐแบบเต็มๆ
ที่ดินก็ของรัฐ เงินก่อสร้างก็ของรัฐ...ตัวเองซื้อแล้ว ขายต่อ หรือให้เขาเช่าแพงๆ ปากมันแฮปปี้กันไปเลยสิ
แต่ปัญหาก็คือ กรมธนารักษ์ไม่เคยเปิดเผยข้อมูล ไม่เคยเปิดเผยเงื่อนไข ไม่เคยประกาศว่าจะมีมาตรการป้องกัน หรือตรวจสอบผู้ไม่มีสิทธิแบบไหน จะเปิดให้ใครกลุ่มใดมีสิทธิ์ แถมยังมีข่าวลือหนาหูว่ากันโควต้าให้คนวงในกันแล้วก็มี
แบบนี้ไม่ได้ครับลุงตู่ ไหนรัฐบาลนี้ประกาศจะปราบโกง จะทำสิ่งดีๆ ให้่กับประเทศชาติประชาชนล่ะครับ
มีคนในสมาคมศิษย์เก่าโรงเรียนเรยีนาฯ ขอข้อมูลโครงการไปยังธนารักษ์ เขาเฉย ไม่ให้อะไร จนกระทั่งประมูลแล้ว และเริ่มมีการประท้วงไม่เห็นด้วยดังๆ จึงค่อยแจ้่นนำข้อมูลมาเปิดให้
ข้าราชการไทยในยุคลุงตู่บางคนยังใช้สันดานดูถูกประชาชนแบบเดิม ไม่เปลี่ยนอะไรเลย
โครงการนี้ใช้ที่ดินแพงระยับของหลวง ซึ่งควรจะสร้างประโยชน์ให้กับประเทศชาติประชาชนเต็มศักยภาพ ไม่ใช่ โอกาสของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ยกอำนาจการบริหารโครงการให้เอกชน แล้วก็ขายถูกๆ ให้กับใครไม่รู้ ที่ไม่ใช่ข้าราชการผู้น้อยในพื้นที่จริง
จะรู้ได้ยังไงว่าในอนาคต พวกที่กันโควต้าใช้สิทธิ์พวกนี้จะไม่เอาห้องมาบริหาร ขายแบบโรงแรม ทำกำไรกันสบายพุง
และก็สุขสบายกำไรอู้ฟู่บนความเดือดร้อนของชาวบ้านชาวเมือง เพราะที่ตรงนั้นไม่ควรมีโครงการใหญ่ๆ อะไรเพิ่มมาอีกแล้ว จราจรแถวนั้นมันติดหนึบมาเป็นสิบๆ ปีแล้ว
ลุงตู่ช่วยบอกให้ข้าราชการของท่านเปิดเผยข้อมูลตรงไปตรงมากับประชาชนก่อนเลยครับ แล้วท่านช่วยตรวจดูว่า โครงการนี้ลงทุนคุ้มหรือไม่คุ้ม มีการเอาที่ดินแปลงงามราคาพันล้านของรัฐไปบริหารกันเองครื้นเครงอุราหรือไม่
และมีการเตะหมูเข้าปากหมาหรือไม่
ลุงตู่ทราบไหมครับ ก่อนหน้านี้มีความพยายามจะทำประโยชน์จากที่ผืนนี้มาหลายรอบ แต่มันติดเงื่อนไขที่หลวงและผังเมืองสีน้ำเงิน นายทุนเลยได้แค่เลียริมฝีปาก ทำอะไรไม่ได้
จนมาถึงยุคลุงตู่ที่มีโครงการบ้านราคาถูกให้กับข้าราชการและประชาชนรายได้น้อย ซึ่งมันก็ดีครับ เห็นด้วย ที่รัฐควรมีโครงการแบบนี้
ปัญหาก็คือ เมื่อกรมธนารักษ์รับนโยบายแปลงเป็นปฏิบัติ มันส่อว่าไม่เป็นไปตามที่รัฐบาลคิด-หวังน่ะสิครับ
อธิบดีธนารักษ์เคยแถลงกับนักข่าวว่า ที่ดิน 9 ไร่ 3 งาน เกือบๆ 10 ไร่ ตรงนี้ มีมูลค่าประมาณ 168 ล้านบาท ซึ่งเป็นราคาประเมินกรมที่ดินที่ต่ำกว่าราคาซื้อขายจริง เป็นตัวเลขที่กดต่ำเกินไป ไม่รู้ว่าเพราะอะไรที่แสดงตัวเลขนี้
ที่เชียงใหม่แค่ 100 ตารางวาแถวนั้นขายกัน 10 ล้าน / ที่ 1 ไร่ เขาขายกัน 100 ล้าน
ดังนั้นที่ดินแปลงงามของธนารักษ์ไม่ไกลจากไนท์บาร์ซ่ามันควรจะมีมูลค่าจริงประมาณ 1,000 ล้านบาท
ถ้าเอกชนมีที่ดินนี้เขาจะลงทุนทำอะไร?
กรมธนารักษ์แถลงกับนักข่าวเดือนมกราคม จะสร้างห้อง 600 ยูนิต ราคา 6-7 แสน ต่อมาเพิ่มเป็น 700 ยูนิต ล่าสุดหลังจากลงนามกับเอกชนไป บอกว่าจะสร้าง 900 ยูนิต ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท
คิดในเชิงเศรษฐศาสตร์ ที่ดินพันล้าน + ค่าก่อสร้าง 6 ร้อยล้าน แต่ขายได้แค่ 900 ล้าน มันไม่คุ้มอยู่แล้ว
และราคาคอนโดมิเนียมเชียงใหม่ขนาดเท่าๆ กันเขาขาย 2 ล้านขึ้นครับ
แปลว่า... คนที่จะมาซื้อคอนโดประชารัฐของกรมธนารักษ์ กำไรเห็นๆ ได้สิทธิ์ ซื้อของถูก ในทำเลทองไม่แพ้สาทร สุขุมวิทของกรุงเทพฯ แบบนี้ขายหมดแน่นอนครับ
ถ้าเป็นข้าราชการผู้น้อยที่อยู่อาศัยจริง แล้วไปทำงานในเชียงใหม่ก็เป็นโชคดีของเขา...แต่ถ้าเป็นข้าราชการที่อื่น หรือ คนอื่นที่สวมรอย พวกนี้จะได้กำไรล้วนๆ จากการลงทุนของรัฐแบบเต็มๆ
ที่ดินก็ของรัฐ เงินก่อสร้างก็ของรัฐ...ตัวเองซื้อแล้ว ขายต่อ หรือให้เขาเช่าแพงๆ ปากมันแฮปปี้กันไปเลยสิ
แต่ปัญหาก็คือ กรมธนารักษ์ไม่เคยเปิดเผยข้อมูล ไม่เคยเปิดเผยเงื่อนไข ไม่เคยประกาศว่าจะมีมาตรการป้องกัน หรือตรวจสอบผู้ไม่มีสิทธิแบบไหน จะเปิดให้ใครกลุ่มใดมีสิทธิ์ แถมยังมีข่าวลือหนาหูว่ากันโควต้าให้คนวงในกันแล้วก็มี
แบบนี้ไม่ได้ครับลุงตู่ ไหนรัฐบาลนี้ประกาศจะปราบโกง จะทำสิ่งดีๆ ให้่กับประเทศชาติประชาชนล่ะครับ
มีคนในสมาคมศิษย์เก่าโรงเรียนเรยีนาฯ ขอข้อมูลโครงการไปยังธนารักษ์ เขาเฉย ไม่ให้อะไร จนกระทั่งประมูลแล้ว และเริ่มมีการประท้วงไม่เห็นด้วยดังๆ จึงค่อยแจ้่นนำข้อมูลมาเปิดให้
ข้าราชการไทยในยุคลุงตู่บางคนยังใช้สันดานดูถูกประชาชนแบบเดิม ไม่เปลี่ยนอะไรเลย
โครงการนี้ใช้ที่ดินแพงระยับของหลวง ซึ่งควรจะสร้างประโยชน์ให้กับประเทศชาติประชาชนเต็มศักยภาพ ไม่ใช่ โอกาสของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ยกอำนาจการบริหารโครงการให้เอกชน แล้วก็ขายถูกๆ ให้กับใครไม่รู้ ที่ไม่ใช่ข้าราชการผู้น้อยในพื้นที่จริง
จะรู้ได้ยังไงว่าในอนาคต พวกที่กันโควต้าใช้สิทธิ์พวกนี้จะไม่เอาห้องมาบริหาร ขายแบบโรงแรม ทำกำไรกันสบายพุง
และก็สุขสบายกำไรอู้ฟู่บนความเดือดร้อนของชาวบ้านชาวเมือง เพราะที่ตรงนั้นไม่ควรมีโครงการใหญ่ๆ อะไรเพิ่มมาอีกแล้ว จราจรแถวนั้นมันติดหนึบมาเป็นสิบๆ ปีแล้ว
ลุงตู่ช่วยบอกให้ข้าราชการของท่านเปิดเผยข้อมูลตรงไปตรงมากับประชาชนก่อนเลยครับ แล้วท่านช่วยตรวจดูว่า โครงการนี้ลงทุนคุ้มหรือไม่คุ้ม มีการเอาที่ดินแปลงงามราคาพันล้านของรัฐไปบริหารกันเองครื้นเครงอุราหรือไม่
และมีการเตะหมูเข้าปากหมาหรือไม่
แสดงความคิดเห็น