Atukkit Sawangsuk

ถ้าผมเขียนเรื่องป่าๆ มั่ง ในโอกาส 40 ปีตุลา ผมจะเริ่มต้นที่ปี 2525 อดีตสหาย 6-7 คนออกจากป่ามาเช่าบ้านอยู่ด้วยกัน ปากกัดตีนถีบ ต้มจับฉ่ายกิน ตอนกลางคืนนอนเรียงแถว สะดุ้งตื่นเพราะเพื่อนเอาข้อศอกมากระแทก อ้าว เฮ้ย มัน masterbation นอนกัดริมฝีปากไม่กล้าหัวเราะ กลัวพวกอาย

จากนั้นก็แฟลขแบ็กกลับไปตอนสู้รบในป่า ตอนขัดแย้งจัดตั้ง ออกป่า ตัดฉับกลับมาปัจจุบัน ที่แยกย้ายกันไปมีชีวิตของตัวเอง คนหนึ่งรวย คนหนึ่งจน ที่เหลือลดหลั่นกันไป ในนั้นมีคู่หนึงตัดญาติขาดมิตร ผิดใจกันเรื่องทำธุรกิจตั้งแต่ยุค 2530 จากนั้นก็เกิดวิกฤติการเมืองแยกกันเป็นเหลืองแดง บางคนก็ทะเลาะกัน บางคนยังคุยกันได้ แล้วแฟลชแบ็กกลับไปตอนเป็นนักศึกษา ตอนเข้าป่า ตอนขัดแย้งจัดตั้ง ฯลฯ แล้วตัดกลับมาที่งานศพ คนหนึ่งตาย (60 กว่าแล้วนี่) น้ำตาซึมร้องเพลงแสงดาวแห่งศรัทธา เปล่าๆๆ ไมไ่ด้ดรามา เพราะหลังจากนั้นก็ยังต่างคนต่างไป เพียงแต่มีความทรงจำอันแสนงามร่วมกัน

นั่นละชีวิตจริงคนตุลา ชีวิตแห่งอุดมคติที่เหลือไว้แต่ความทรงจำ ทับซ้อนอยู่ในชีวิตจริง อย่างแยกกันไม่ออก คนที่เขียนเรื่องในป่ามักเขียนเรื่องชีวิตแห่งอุดมคติที่เหลือไว้แต่ความทรงจำ ช่วงเวลาของการต่อสู้ ความหวัง ความใฝ่ฝัน โชติช่วงด้วยพลังแห่งอุดมการณ์ ที่เราอยากจะจำ จำไปจนวันตาย จำแม่นตราตรึงยิ่งกว่าช่วงอื่นในชีวิต ไม่ว่าวันนี้เราเป็นใคร ไม่ว่าเป็นเศรษฐียาจกเป็นคนมีชื่อเสียงหรือโนเนม เวลาเจอกันมันคือช่วงเวลาแห่งความทรงจำถึงวันคืนเก่าๆ ที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขร่วมเป็นร่วมตาย แต่แยกกันไปคือชีวิตแต่ละคน

ในมุมหนึ่งมันก็ลึกซึ้งในมุมหนึ่งมันก็ประหลาด แต่ที่แน่ๆ ไม่ค่อยมีคนเขียนถึงชีวิตคนป่าคืนเมือง ในสภาพที่อกหัก ผิดหวัง เคว้งคว้าง หมดทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต ต้องปรับตัวปากกัดตีนถีบในโลกทุนนิยม ซึ่งก็คือวิถีชีวิตส่วนใหญ่ของพวก "โนเนม" ที่ไม่ได้เป็นคนดังไม่ได้เป็นผู้นำ

เรื่องในป่าช่วงขัดแย้งกับพรรค ก็ไม่ค่อยมีคนเขียนถึง อาจเขียนเชิงทฤษฎี แต่ไม่ค่อยมีคนเขียนเล่าช่วงเวลาหดหู๋อาดูร มันเป็นช่วงเวลาหดหู่อาดูรที่สุดในชีวิตนะครับ ช่วงวลาที่ทุกอย่างแตกสลาย เรากระโจนเข้าสู่ขบวนปฏิวัติ อุทิศทุกอย่าง ชีวิต อนาคต ความใฝ่ฝัน ถูกปลูกฝังให้เชื่อพรรคเชื่อจัดตั้ง แต่แล้วทุกอย่างพังครืน ผู้นำที่เคยเคารพศรัทธากลายเป็นคู่ขัดแย้งแสดงโมหะ พลังปฏิวัติที่เคยฮึกห้าวเหิมหาญกลายเป็นความสิ้นหวัง เลือดเพื่อน ศพเพื่อน ที่เพิ่งฝังไปกลายเป็นความสูญเปล่า มันสับสนไปหมดทั้งชีวิต อุดมการณ์ ความรัก เรื่องส่วนตัว ผมมีสหายหญิงที่สนิท 2 คนพยายามฆ่าตัวตาย คนหนึ่งเป็นพยาบาล กินยานอนหลับไปแล้วต้องล้างท้อง บางคู่เป็นแฟนกัน ในช่วงสับสนปั่นป่วน อยู่ไกลกันบ้าง หรืออยู่ใกล้แต่ไม่สามารถพึ่งพิงทางอารมณ์ในช่วง "เสียคิด" ก็เลิกกัน บางคนก็มีใหม่ หรือคนไม่เคยมีก็กลายเป็นมี แต่พอลงมาแล้วบางคนก็เลิกกัน (เรื่องคนรักกันในป่าหรือในการต่อสู้แล้วเลิกกันนี่ไม่แปลก มันเหมือนรักกันในโลกอีกมิติหนึ่ง พอมาอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงบางคนก็ไปกันไม่รอด)

คนออกป่าในสภาพอกหัก ชำรุด คิดว่าจะอุทิศแม้ชีวิตเพื่อการปฏิวัติแล้วมันพังครืนต่อหน้า ไม่เหลือจุดหมายในชีวิต ต้องมาตั้งต้นใหม่ ไม่ใช่แค่ตั้งต้นชีวิตใหม่ในความยากลำบากปากกัดตีนถีบ มันคือ "หาความหมายในชีวิตใหม่" ท่ามกลางบาดแผล ซึ่งไม่ใช่จะหาได้ทุกคน 40 ปีผ่านไป ภาพคนเดือนตุลาคนออกปา อาจจะดูว่ามีหลายคนประสบความสำเร็จ เป็นนัการเมือง นักวิชาการ นักธุรกิจ NGO สื่อ แกนนำเสื้อเหลือง เสื้อแดง แต่ก็มีคนอีกตั้งมากที่หาความหมายในชีวิตไม่สำเร็จ ยังติดอยู่ในบาดแผล ความจริงผมว่าเรามีบาดแผลทุกคนแล้วแต่มันสะท้อนออกมาอย่างไร บางคนก็มีนะครับ ที่หายไปเลย คือหายจากแวดวง ไม่คบใครเลย มีเพื่อนคนหนึ่งหายไป 20 กว่าปี เพิ่งกลับมาเจอ 2-3 ปีนี้ ทำธุรกิจ ประสบความสำเร็จ แต่งงาน มีลูก แต่ไม่เคยบอกลูกเลยว่าแม่เป็นคนรุ่น 6 ตุลา

นี่เล่าแบบไม่เกี่ยวเสื้อสีเลยนะ ชีวิตคนเข้าป่า 6 ตุลาที่จริงเป็นปรากฏการณ์ ที่ไม่เหมือนใครในโลก (ฮา) คือพรรคคอมมิวนิสต์ประเทศอื่นก็ชนะไป หรือไม่ก็แพ้ไปอีกแบบ ดิลมา รุสเซฟ ประธานาธิบดีบราซิลก็เคยเข้าป่า แต่ต่อมาโค่นเผด็จการได้ก็กลับมาเล่นการเมืองจนชนะเลือกตั้ง แต่ที่กลับจากป่า แล้วมาเป็นโน่นเป็นนี่กันมากมายก่อนจะแบ่งขั้วแบ่งฝ่ายซดกันนี่ มีที่เดียวโลก 555 (เกี่ยวจนได้)


แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.