สถานการณ์ฉุกเฉินของ ‘รถฉุกเฉิน’
Posted: 23 Jan 2017 10:04 PM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เวบไซท์ประชาไท)
งานศึกษาพบอุบัติเหตุที่เกิดกั บรถพยาบาลมีหลายปัจจัย ทั้งตัวคนขับ สภาพรถ สภาพแวดล้อม พบพนักงานขับรถฉุกเฉินจำนวนหนึ่ งไม่เคยผ่านการฝึกอบรมหลักสู ตรอาสาสมัครฉุกเฉินการแพทย์ และหลักสูตรขับรถพยาบาล บางรายไม่ได้ขึ้นทะเบี ยนในระบบการแพทย์ฉุกเฉิน แนะ สธ. เร่งฝึกอบรม และรณรงค์ให้คนเคารพกฎจราจร
หลายคนคงได้รับรู้ข่าวคราวที่ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 18 มกราคมที่ผ่านมา กรณีคนขับรถกู้ชี พของโรงพยาบาลบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี ที่กำลังไปรับผู้ป่วยฉุกเฉินที่ มีอาการแน่นหน้าอก แต่ประสบอุบัติเหตุเฉี่ยวชนกั บรถกระบะเสียก่อน เหตุการณ์ต่อมาคือทั้งสองฝ่ ายตกลงกันไม่ได้ จึงต้องไปคุยกันต่อที่สถานี ตำรวจ ทำให้รถพยาบาลคันดังกล่าวไม่ สามารถไปรับผู้ป่วยได้ทัน จนเป็นเหตุให้เสียชีวิตในเวลาต่ อมา
ต่อมาเพจ ‘ทีมงานโฆษก ตร.’ ได้โพสต์ข้อความในช่วงกลางวั นของวันที่ 19 มกราคมว่า
“ทีมงานโฆษก ตร. ขอรายงานเหตุน่าสนใจ กรณีที่มีการลงข่าวว่า "รถฉุกเฉินชนกับรถกระบะ และเจ้าของรถกระบะไม่ให้รถฉุ กเฉินไปรับคนป่วย เป็นเหตุให้ คนป่วยเสียชีวิตนั้น" ข้อเท็จจริงคือ เมื่อวันที่ 18 ม.ค. 60 รถฉุกเฉินโรงพยาบาลบางบั วทองกำลังจะไปรับผู้ป่วยที่แน่ นหน้าอกส่งโรงพยาบาล ขณะเดินทางได้เกิดอุบัติเหตุ รถเฉี่ยวชนกับรถกระบะ ซึ่งเมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่ าวขึ้น ทางฝ่ายรถฉุกเฉินโรงพยาบาลบางบั วทองจึงได้โทรประสานไปยั งโรงพยาบาลบางใหญ่ ให้ไปรับผู้ป่วยแทน ซึ่งผู้ป่วยนั้นเป็นผู้หญิง อายุ74ปี ป่วยเป็นโรคไต ความดันลดละพึ่งผ่าตัดลำไส้ ซึ่งข้อจริงนั้ นรถของทางโรงพยาบาลบางใหญ่ได้ ไปรับแล้ว แต่ผู้ป่วยเสียชีวิ ตเพราะโรคประจำตัว มิได้เกิดจากการที่รถฉุกเฉินไม่ ได้ไปรับผู้ป่วยตามที่ปรากฎในข่ าวแต่อย่างใด ในส่วนของรถทั้งสองคันที่ชนกัน ทางพนักงานสอบสวนได้ทำการเปรี ยบเทียบปรับทั้งสองฝ่าย เนื่องจากต่างฝ่ายต่างประมาท”
แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยลดอุณหภูมิ ความเดือดดาลของผู้คนลงสักเท่ าไหร่ เพราะยังเห็นว่าถ้ารถฉุกเฉิ นสามารถไปรับตัวผู้ป่วยได้ทัน การตายก็คงไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้ น
ในกรณีข้างต้น อุบัติเหตุที่เกิดกับรถฉุกเฉิ นดูเหมือนจะถูกโยนให้เป็นความผิ ดของคนขับรถกระบะโดยสิ้นเชิง ซึ่งเป็นเรื่องที่จะวิพากษ์วิ จารณ์ แต่ประชาไทจะชวนไปดูข้อมู ลจากวารสารวิจัยระบบสาธารณสุข ปีที่ 9 ฉบับที่ 3 กรกฎาคม-กันยายน 2558 เรื่อง สถานการณ์และสาเหตุการเกิดอุบั ติเหตุรถพยาบาลในประเทศไทย ที่ระบุว่าเมื่อปี 2557 รถฉุกเฉินประสบอุบัติเหตุสูงถึง 61 ครั้ง ผู้โดยสารและพนักงานขับรถได้รั บบาดเจ็บ 130 ราย และมีผู้เสียชีวิต 19 ราย ซึ่งสูงเกือบเท่ากับจำนวนบุ คลากรทางการแพทย์ที่เสียชีวิ ตในรอบ 10 ปีตามรายงานของสำนักพยาบาลที่ รายงายเกี่ยวกับบุ คลากรทางการแพทย์ประสบอุบัติ เหตุในรถพยาบาล
ถ้าดูตัวเลขข้างต้นโดยอ้างอิ งเอากับจำนวนอุบัติเหตุและผู้ เสียชีวิตจากท้องถนนต้องถือว่ าไม่มากเลย แต่เมื่อนำไปประกบกับจำนวนผู้ ปฏิบัติงานในระบบการแพทย์ฉุกเฉิ นแล้วล่ะก็ การเสียชีวิตในหลักสิบส่ งผลมากกว่าที่คิด เพราะในระบบการแพทย์ฉุกเฉิน ในปี 2557 มีผู้ปฏิบัติงานในระบบจำนวน 159,854 คน ในจำนวนนี้เป็นแพทย์เพียงร้อยละ 1 พยาบาลร้อยละ 12 เจ้าหน้าที่ฉุกเฉินการแพทย์ร้ อยละ 1 พนักงานฉุกเฉินการแพทย์ร้อยละ 4 นั่นหมายความว่าการสูญเสียกำลั งคนแม้จะเพียงหลักสิบ แต่ก็เป็นการซ้ำเติมปั ญหาการขาดแคลนบุคลากร
งานชิ้นนี้ระบุว่าสาเหตุที่มี ผลต่อการเกิดอุบัติเหตุ ของรถพยาบาลและความไม่ปลอดภั ยของผู้ปฏิบัติงาน ไม่ใช่เพียงเพราะผู้ใช้รถใช้ ถนนเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น ...ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าพฤติ กรรมการขับขี่และการไม่ใส่ ใจกฎจราจรของผู้ใช้รถใช้ถนนมีส่ วน แต่ก็เพียงส่วนหนึ่งของต้นตอ งานศึกษานี้จำแนกสาเหตุออกเป็น 4 ด้านคือ
1.ปัจจัยด้านบุคคล พนักงานขับรถไม่ผ่านการฝึ กอบรมหลักสูตรอาสาสมัครฉุกเฉิ นการแพทย์ ไม่เคยผ่านหลักสูตรขับรถพยาบาล บางคนไม่ได้ขึ้นทะเบี ยนในระบบการแพทย์ฉุกเฉินด้วยซ้ำ ไม่มีรายงานที่อธิบายรายละเอี ยดปัญหาสุขภาพ การได้ยิน และการมองเห็น ทั้งยังพบว่าก่อนวันปฏิบัติ งานพนักงานขับรถในบางกรณีต้ องทำภารกิจอื่นที่เสี่ยงต่ อความอ่อนล้าของร่างกาย การไม่คาดเข็มขัดนิรภัย หรือการขับรถเร็วเกินกว่าที่ กำหนด
2.ปัจจัยด้านยานพาหนะ เครื่องมือและอุปกรณ์ ภายในรถพยาบาล รถบางครั้งทั้งตัวรถและอุปกรณ์ ไม่มีการตรวจสภาพและขึ้นทะเบี ยนในระบบ การติดตั้งสัญญาณไฟวับวาบและเสี ยงไซเรนไม่รู้ว่ามีความถูกต้ องหรือไม่ ไม่มีการติดตั้งจีพีเอส ทั้งยังพบว่ารถตู้ที่ดัดแปลงเป็ นรถฉุกเฉินมีอุปกรณ์ที่ไม่ได้ มาตรฐาน
3.ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้ อมทางกายภาพ เช่น การไม่มีป้ายสัญลักษณ์ที่ชัดเจน การไม่มีระยะหน่วงในการเปลี่ ยนสัญญาณไฟจราจร หรือแสงสว่างไม่เพียงพอ เป็นต้น
4.ปัจจัยด้านสังคม กฎระเบียบ ขนบธรรมเนียม เช่น การเกิดอุบัติเหตุในแหล่งชุ มชนที่มีการสัญจรไปมาค่อนข้ างมาก ถนนที่ใช้ขนถ่ายผลผลิ ตทางการเกษตรและมีเศษผลผลิ ตการเกษตรตกหล่นบนถนน
งานดังกล่าวเสนอแนะว่า ทางกระทรวงสาธารณสุขและสถาบั นการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ ( สพฉ.) ควรกำหนดคุณสมบัติพนักงานขั บรถพยาบาลและฝึกอบรมหลักสูตรพนั กงานขับรถพยาบาลทั้งของภาครัฐ เอกชน และท้องถิ่น ขณะที่รถพยาบาลจะต้องทำการปรั บปรุงมาตรฐาน เช่น การติดตั้งจีพีเอส การจำกัดความเร็ว การเพิ่มค้อนทุบกระจกและที่ตั ดเข็มขัดนิรภัย ทำการเพิ่มสัญลักษณ์หรือสั ญญาณจราจรในจุดเสี่ยงต่างๆ และยังรวมถึงการรณรงค์ให้เห็ นความสำคัญของการนำส่งผู้ป่วย เพื่อให้หลีกทางแก่ รถพยาบาลและเพิ่มมาตรการลงโทษผู้ ที่ฝ่าฝืนกฎจราจร
ปัจจุบัน พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 76 ระบุว่า ผู้ใช้ถนนร่วมกับรถฉุกเฉินว่า คนขับรถ หรือจูงสัตว์ หากเห็นแสงไฟวาบ หรือไซเรน ให้หยุดหรือจอดชิดซ้ายทันที เพื่อให้รถฉุกเฉินผ่านไปเสียก่ อน หรือหากผู้ขับรถกำลังขับรถตามสั ญญาณไฟเขียว แต่พบเห็นรถฉุกเฉินฝ่าไฟแดงมา ผู้ขับรถจะต้องหยุดเพื่อรอให้ รถฉุกเฉินไปก่อน หากไม่ปฏิบัติตามหรือหลบหลีก หรือจอดให้รถฉุกเฉินไปก่อนจะมี โทษปรับ 500 บาท
แสดงความคิดเห็น