หมุดหมายที่หายไป บันทึกก่อนถึงทางตัน

Posted: 17 Apr 2017 07:52 AM PDT  (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เวบไซท์ประชาไท)

Symbolic power เอามาเชื่อมกับ Popular culture เมื่อไร ฮิตระเบิดเถิดเทิงเมื่อนั้น

แม้จะเป็นห้วงเวลาหลายวันที่ครุ่นคิดอย่างหนัก และไม่อยากให้ประเทศไปถึงจุดที่รอมชอมกันไม่ได้ แต่ความขัดแย้งบนการ undermine สัญญะของฝ่ายที่เราไม่ชอบคือสัญญาณของภาวะใกล้วิกฤต

แต่อีกฟากหนึ่ง ไม่รู้จะขอบคุณใครนอกจากจะทำให้ฝ่ายประชาธิปไตยตื่นตัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนแล้ว ใครปั๊มหมุดคณะราษฎรมาลง mass product ตอนนี้จะหน้าใสจริงจัง จะเห็นว่า คนเริ่มเก็บสะสมทุกอย่าง ซื้อทุกอย่างที่ขวางหน้าที่เกี่ยวข้องกับคณะราษฎร

ก็ขอแสดงความยินดีกับโครงการตำราสังคมศาสตร์ ที่หนังสือชุดคณะราษฎรขายหมดในพริบตาทั้ง 7 ชุด เพราะปรากฎการณ์นี้ไม่เกิดขึ้นง่ายๆ

รับประกันได้ว่า ใครทำเสื้อยืดปั๊มหมุดออกมาตอนนี้ น่าจะขายได้ ไม่มากก็น้อย

mass product ที่หอบหิ้วเอา symbolic power ไปด้วยแบบข้องเกี่ยวกับชีวิตประจำวันเป็นภาวะที่ฃBourdieu อาจจะเรียกว่า มันคือสนาม (Field) ของการต่อสู้เชิงอำนาจที่ต้องสะสมต้นทุนกันอย่างยาวนาน

เอาจริงๆ ฝ่ายอนุรักษ์นิยมได้สะสม cultural capital มาก่อนอย่างยาวนานและสม่ำเสมอเป็นร้อยปี ฝ่ายประชาธิปไตยต่างหากที่ตื่นตัวเป็นช่วงๆ

แม้ว่าตอนนี้มันคือ ภาวะการโหยหาสิ่งทดแทน ภาวะการขาดและการเติมเต็มบางอย่าง ที่มนุษย์เราพึงมีแต่ไม่มี ทั้งความเท่าเทียม เสรีภาพ ความโปร่งใส การตรวจสอบได้ และ สิทธิในการใช้ชีวิตที่กำหนดด้วยอำนาจของตน

แต่สิ่งที่น่ากระทำมากที่สุดโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ก็คือ หวนไปศึกษาประวัติศาสตร์ที่ไม่ใช่ตำราที่เขียนโดยฝ่ายที่ครอบงำสังคม โดยตรวจสอบไม่ได้ หรือพูดง่ายๆ ว่าถ้าจะอ่านประวัติศาสตร์เมื่อใด ช่วยอ่านหลักฐานที่เขาหามาด้วยว่ามีน้ำหนักมากแค่ไหน มีการค้นคว้าสอบทานทางวิชาการไหม

หรือเป็นแค่ "นิยาย" (ซึ่งเป็น cultural capital) ที่ทรงพลังสุดๆ

และขอให้คิดให้หนักๆ ว่าใครแต่งประวัติศาสตร์เล่มนั้น ด้วยข้อมูลชุดไหน ใช้แหล่งข้อมูลจากที่ใด เขียนด้วยมุมมองแบบใด

จะดีกว่าการอ่านข้อความผ่านเฟซบุ๊กที่ส่งต่อๆ กันมา โดยตรวจสอบไม่ได้ว่าใครผลิตข้อความและรูปภาพเหล่านั้น เขียนมามั่วๆ บ้าง ยั่วยุด้วย hate speech บ้าง ใช้อคติตนเป็นที่ตั้งบ้าง ใครบูชา ศรัทธาใคร ก็พยายามใส่ "message" มาปั่นหัวแบบตื้นๆ สองสามประโยค แล้วแชร์ต่อกันไป

ที่มันส์กว่านั้นก็คือ การเชื่อมโยงเรื่องแต่งหลายเรื่องจากหลายคน แล้วสรุปว่า คือ เรื่องจริง ยิ่งมีอภินิหาร ปาฎิหาริย์ แสดงอิทธิฤทธิ์ความยิ่งใหญ่ และเหมารวมแบบง่ายๆ ด้วยแล้ว ยิ่งเชื่อ และทำให้ยิ่งยอมรับ"ความจริงแบบอื่นๆ" ไม่ได้

เด็กรุ่นใหม่ของไทย ก็เรียนรู้ประวัติศาสตร์ด้วยวิธีตื้นเขินแบบนี้ และเริ่มบ้าคลั่ง"ความเป็นชาติไทย....ที่ผดุงอัตตาอันพร้อมจะทำลายคนอื่นทุกวัน"

สังคมที่ “ความเชื่อ” มีอำนาจมากกว่า “ความจริง” มักจะธำรงรักษาการศึกษาแบบเชื่องๆ ใช้อำนาจนิยม เชิดชูอุดมการณ์บางอย่างเข้าไว้

แต่ปัจจุบัน เรามีการเรียนรู้นอกระบบผ่านสื่อกันมาก อาจจะมากกว่า ในระบบสถาบันการศึกษาด้วยซ้ำไป

ตำราเรียนประวัติศาสตร์ของไทย ไม่ต้องสงสัยหรอกว่าได้\ผลิตซ้ำอุดมการณ์รักชาติชุดหนึ่งขึ้นมาอย่างแข็งแกร่ง

แต่มาถึงยุคนี้ เราเลือกได้ที่จะปักหมุดแบบไหนให้อนาคตตัวเอง ผ่านการเรียนรู้ อ่าน ค้นคว้า คิด และ วิพากษ์ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น

ก็เลือกเอา….ว่าจะยอมถูกผลิตซ้ำทั้งในระบบ (ผ่านสถาบันการศึกษา) และนอกระบบ (ผ่านสื่อ) และ ไปถึงจุดวิกฤตในวันหนึ่ง

หรือ…..หาทางออกมาให้ได้….

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.