หน้ากากไผ่-บิลลี่-ชัยภูมิดำหัวปีใหม่ชาญวิทย์-นิธิกล่าวสุนทรกถาคนไทยในรัฐที่ไม่มีชาติ

Posted: 16 Apr 2017 02:24 AM PDT  (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เวบไซท์ประชาไท)

หน้ากากไผ่ ดาวดิน บิลลี่ พอละจี และชัยภูมิ ป่าแส ร่วมดำหัวปีใหม่ชาญวิทย์ เกษตรศิริ-นิธิ เอียวศรีวงศ์ โดยหลังรับพรแล้ว นิธิกล่าวสุนทรกถาโดยชี้ว่าชะตากรรมของบุคคลทั้งสาม สะท้อนชะตากรรมของคนไทยส่วนใหญ่ ซึ่งต้องใช้ชีวิตอยู่ในรัฐที่ปราศจากชาติ เพียงแต่โชคชะตายังไม่ได้ผันแปรให้เราต้องตกไปอยู่ในสถานะและจังหวะเวลาเดียวกับพวกเขาเท่านั้น




วันสงกรานต์ปีนี้ใกล้ผ่านพ้น ประชาชนหน้าใสไร้เสรีภาพร่วมฉลองกันอย่างครึกครื้นราวกับไม่เคยมีความทุกข์มาก่อน คล้ายจะลืมไปว่ายังมีคนอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่มีโอกาสสนุกสนานตามสิทธิ์ที่พวกเขาพึงมีพึงได้

ก่อนที่ปีใหม่จะลาจากถอยหลัง ในวันเถลิงศก 2560 นี้ หน้ากากบิลลี่ พอละจี, ชัยภูมิ ป่าแส และจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา ขอเป็นตัวแทนของผู้คนที่ถูกทำให้สูญหาย ผู้คนที่ถูกทำให้ตกตายโดยไร้ความผิด และนักโทษการเมืองที่ถูกจองจำหลังลูกกรง จัดพิธีดำหัวปีใหม่ผู้อาวุโส ผู้เป็นที่นับถือ กล่าวคือ อ.ชาญวิทย์ เกษตรศิริและ อ.นิธิ เอียวศรีวงศ์ พร้อมรับฟังสุนทรกถาจาก อ.นิธิและคำอวยพรจาก อ.ชาญวิทย์ เพื่อเป็นนิมิตหมายให้วันเถลิงศก 2560 คือวันเถลิงศักราชของอำนาจประชาชน เพื่อหมุนเข็มนาฬิกาเดินหน้าและเพื่อจุดประกายแสงสว่างแห่งความหวังของการก่อกำเนิดชาติไทยที่ประชาชนทุกคนเป็นเจ้าของ

ด้านชาญวิทย์ เกษตรศิริ กล่าวอวยพรว่า

เยาวชนคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ อย่างไผ่ ดาวดิน กับเพื่อนๆ ของเขา รวมทั้งคนอย่างชัยภูมิ ชาวละหู่ ทำให้คนแบบพวกเราๆ ท่านๆ ที่สูงอายุแล้ว วัยชราแล้วยังพอที่จะมีความหวังกับสังคมไทยอยู่บ้าง ทำให้เราคิดว่ามันจะมีสักวันหนึ่งที่เราจะพบแสงสว่าง



ขณะที่นิธิ เอียวศรีวงศ์ กล่าวสุนทรกถาหัวข้อ “รัฐที่ไม่มีชาติ” ว่า

คนยิวส่วนหนึ่งเคยอยู่ในชาติที่ไม่มีรัฐ แต่คนไทยอยู่ในรัฐที่ไม่มีชาติสืบมาจนทุกวันนี้


ชะตากรรมของบุคคลทั้งสาม – บิลลี่ พอละจี, ชัยภูมิ ป่าแส, และไผ่ ดาวดิน – สะท้อนชะตากรรมของคนไทยส่วนใหญ่ ซึ่งต้องใช้ชีวิตอยู่ในรัฐที่ปราศจากชาติ เพียงแต่โชคชะตายังไม่ได้ผันแปรให้เราต้องตกไปอยู่ในสถานะและจังหวะเวลาเดียวกับพวกเขาเท่านั้น

ทั้งสามคนล้วนเป็นผู้แข็งขืนต่อรัฐ ซึ่งเป็นสมบัติส่วนตัวของเครือข่ายอุปถัมภ์ – กลุ่มด้วยกัน คือเครือข่ายแขนขาของรัฐสมัยใหม่ อันประกอบด้วยหลายเครือข่าย นับตั้งแต่กองทัพ ไปจนถึงกรมกอง หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม องค์กรอิสระ, อีกเครือข่ายหนึ่งคือองค์กรธุรกิจการเงินขนาดใหญ่ของเอกชน, ภายใต้เครือข่ายอุปถัมภ์ทั้งสอง ยังมีเครือข่ายอุปถัมภ์ขนาดเล็กในท้องถิ่นต่างๆ ซึ่งต้องเชื่อมโยงเข้ากับเครือข่ายอุปถัมภ์ขนาดใหญ่สองกลุ่มข้างต้น

ความสัมพันธ์ระหว่างเครือข่ายอุปถัมภ์ และภายในเครือข่ายอุปถัมภ์แต่ละเครือข่าย มีความตึงเครียดสูงเพราะต้องแข่งขันกันเอง และช่วงชิงความเป็นเจ้าของรัฐเหนือกลุ่มอื่นหรือเครือข่ายอื่น บารมีของบุคคลอาจช่วยบรรเทาความตึงเครียดดังกล่าวลงได้บ้าง แต่ไม่อาจขจัดไปได้หมดอย่างสิ้นเชิง

บิลลี่แข็งขืนกับบางหน่วยงานในเครือข่ายอุปถัมภ์ที่เป็นแขนขาของรัฐ เพื่อปกป้องสิทธิในชีวิตของตนเองและชุมชนของตน เท่ากับบิลลี่ประกาศความเป็นเจ้าของรัฐขึ้นมาบ้าง โดยไม่ได้เชื่อมโยงกับเครือข่ายอุปถัมภ์ที่เป็นเจ้าของรัฐใดๆ เลย บิลลี่หรือคนอย่างบิลลี่จึงไม่ควรมีอยู่ เขาหายตัวไปในวันหนึ่ง ร่องรอยที่ถูกทิ้งไว้ไม่ถูกมองเห็นชั่วกัลปาวสาน

ชัยภูมิ ป่าแส หนึ่งในคนอ่อนแอที่สุดในสังคมไทย เพราะเขาคือคนไร้รัฐที่แม้แต่ลมหายใจก็ต้องขอยืมจากรัฐไทย แต่เขาบังอาจแข็งขืนต่อเจ้าหน้าที่ระดับล่างสุดของเครือข่ายแขนขาของรัฐ จึงถูกเด็ดชีวิตลงอย่างย่อๆ ด้วยกระสุนนัดเดียว คนไทยที่ไม่อ่อนแอขนาดนั้นก็เคยสูญเสียชีวิตในลักษณะเดียวกันนี้มาแล้ว การเสียชีวิตของชัยภูมิจึงถูก “ไม่นับ” ได้อย่างง่ายๆ เช่นนี้

กรณีของไผ่ ดาวดินน่าจะเป็นที่ตระหนกแก่คนไทยทั่วไปยิ่งกว่าทั่้งสองคนข้างต้น เขามีชื่อเสียงโดดเด่นเกินกว่าจะถูกอุ้มหาย โดยมองไม่เห็นร่องรอย หรือถูกฆ่าอย่างย่อๆ ด้วยกระสุนนัดเดียว การแข็งขืนของไผ่ ดาวดินกลายเป็นคำประกาศสร้างชาติของคนไทยทั้งหมด เพราะการแข็งขืนของเขาตั้งอยู่บนฐานคติว่าชาติย่อมเป็นสมบัติของคนไทยทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน หากเขาหรือคนอย่างเขาอยู่รอดปลอดภัย ชาติกำลังอุบัติขึ้นในรัฐไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไผ่จึงต้องถูกจัดการเป็นตัวอย่างให้ได้เห็นว่า ผู้ที่ไม่ได้เชื่อมโยงกับเครือข่ายที่อ้างรัฐเป็นสมบัติส่วนตัว จะอ้างกรรมสิทธิ์เหนือรัฐในนามของชาติไม่ได้เลย

ที่น่าตระหนกกว่ากรณีอื่นก็เพราะ เครือข่ายอุปถัมภ์ที่ครอบครองรัฐเป็นกรรมสิทธิ์ส่วนตัว จำเป็นต้องใช้กลไกรัฐที่เคยอำพรางความพิกลพิการของรัฐที่ไร้ชาติออกมาเป็นเครื่องมือเก็บไผ่อย่างโจ่งแจ้ง

ทั้งสามกรณีไม่ได้สร้างความตระหนกแก่สังคมไทยมากนัก มีคนไทยจำนวนน้อยเท่านั้นที่ตระหนกว่า หากสามคนมีชะตากรรมเช่นนี้ได้ ชีวิตของเขาเองก็ตกอยู่ในอันตรายไม่น้อยไปกว่ากัน ชาติจะปล่อยให้เพื่อนร่วมชาติตกเป็นเหยื่อของอธรรมเช่นนี้ไม่ได้ เพราะชาติคือสิ่งสร้างทางสังคมและการเมือง เพื่อปกป้องพลเมืองทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน โดยไม่มียกเว้น หากยกเว้นแม้เพียงรายเดียว คนอื่นที่เหลือทั้งหมดก็จะสูญเสียความมั่นคงปลอดภัยไปหมด

ความเงียบสงบจนเกินไปต่อสามกรณีที่กล่าวนี้ พิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่า คนไทยอยู่ในรัฐที่ไม่มีชาติ



แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.