อดีต ผอ.ไทยพีบีเอส แพ้ ศาลปกครองกลางยกฟ้องคดีขอเพิกถอนคำสั่งเลิกจ้าง ระบุทำผิดสัญญาอนุมัติจัดซื้ออุปกรณ์ โครงการโทรทัศน์ดิจิทอล วงเงินเกินกว่า 50 ล้านทั้งที่ คกก.นโยบายยังไม่อนุญาต
แฟ้มภาพ
26 ก.ย. 2560 จากกรณีที่ สมชัย สุวรรณบรรณ อดีตผู้อำนวยการองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) หรือสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส และพวกรวม 6 คนซึ่งเคยดำรงตำแหน่งกรรมการบริหาร ส.ส.ท. ยื่นฟ้อง ส.ส.ท. คณะกรรมการนโยบาย ส.ส.ท. ประธานคณะกรรมการนโยบายส.ส.ท. เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1-3 ต่อศาลปกครองกลางกรณีขอให้มีคำพิพากษาเพิกถอนมติคณะกรรมการนโยบายส.ส.ท. ที่บอกเลิกสัญญา และเลิกจ้าง สมชัย กับพวกทั้ง 6 คนและให้ชดใช้ค่าเสียหายรวม 12,046,740.69 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 นับแต่วันที่ 9 ต.ค. 58 ที่มีหนังสือแจ้งบอกเลิกสัญญาจ้างนั่้น
ล่าสุดวานนี้ (25 ก.ย.60) สำนักข่าวไทยรายงานว่า ศาลปกครองกลางพิพากษายกฟ้องในคดีดังกล่าว
ศาลให้เหตุผลว่า ข้อเท็จจริงยังไม่อาจรับฟังได้ว่า คณะกรรมการนโยบาย ส.ส.ท. ได้มีมติให้ สมชัย ในฐานะผอ.ส.ส.ท. ในขณะนั้นมีอำนาจอนุมัติจัดหาอุปกรณ์โครงการโทรทัศน์ดิจิทอล ที่มีวงเงินเกินกว่า 50 ล้านบาทตามที่ สมชัย กับพวก กล่าวอ้าง การที่ สมชัย กับพวกได้อนุมัติจัดหาอุปกรณ์โครงการโทรทัศน์ดิจิทอลที่มีวงเงินเกินกว่า 50 ล้านบาทต่อครั้งโดยไม่ได้รับความเห็นชอบและไม่ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการนโยบายส.ส.ท.จริง จึงเป็นการดำเนินการที่ขัดต่อข้อ 12 วรรคหนึ่ง วรรคสอง ของระเบียบองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ 2553 และระเบียบองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการเงิน การงบประมาณ และการบัญชี 2551 ข้อ 44
อีกทั้งการที่ สมชัย ในฐานะผอ.องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย มิได้จัดทำรายงานแสดงผลการปฏิบัติงานเสนอต่อคณะกรรมการ นโยบายส.ส.ท. ทุก 3 เดือน ตามที่กำหนดไว้ในสัญญาว่าจ้าง จึงเป็นกรณีที่ สมชัย กระทำผิดเงื่อนไขสัญญาจ้าง ข้อ 13.3 แม้ว่า สมชัย กับพวกจะอ้างว่า มาลี บุญศิริพันธ์ ประธานส.ส.ท. ในขณะนั้น อนุญาตให้ สมชัยเสนอรายงานการปฏิบัติงานในที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายส.ส.ท.ทุกคราวที่มีการประชุม โดยไม่ต้องจัดทำรูปเล่มรายงานทุก 3 เดือน แต่เมื่อยังไม่มีการแก้ไขสัญญาว่าจ้างใหม่ สมชัยมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามข้อสัญญาอย่างเคร่งครัด ซึ่งการกระทำของ สมชัย ทั้งสองกรณี เป็นเงื่อนไขที่ในสัญญาจ้างกำหนดให้เป็นเหตุที่ ส.ส.ท. สามารถใช้บอกเลิกสัญญาจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายหรือค่าสินไหมทดแทน ดังนั้นที่ส.ส.ท.บอกเลิกสัญญาจ้างจึงเป็นไปโดยชอบตามสัญญา และชอบด้วยมาตรา 10 พ.ร.บ. องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย 2551 แล้ว
นอกจากนี้มาตรา 29 วรรคสี่ พ.ร.บ. องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย 2551 บัญญัติให้กรรมการบริหารอื่นพ้นจากตำแหน่งเมื่อผอ.ส.ส.ท. พ้นจาตำแหน่ง ดังนั้นเมื่อ สมชัยพ้นจากตำแหน่งผอ.ส.ส.ท. ผู้ฟ้องคดีที่ 2-6 ก็ต้องพ้นจากตำแหน่งกรรมการบริหารไปโดยผลของกฎหมายมาตราดังกล่าว ซึ่งก็ไม่ปรากฏว่ามีบทบัญญัติหรือกฎ ระเบียบใด ๆ ว่าให้มีสิทธิได้รับค่าเสียหายหรือค่าสินไหมทดแทน ดังนั้นการที่ส.ส.ท.ไม่ได้จ่ายค่าเสียหาย หรือค่าสินไหมทดแทนให้จึงชอบแล้ว
แสดงความคิดเห็น