Posted: 30 Oct 2017 07:28 AM PDT (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)

กรกฤช สมจิตรานุกิจ

รายงานพิเศษ 3 ตอน สำรวจพื้นที่ชีวิตของพนักงานบริการที่วันๆ ไม่ได้ทำ “แค่ขายตัว” โดยในตอนที่ 1 นี้ จะสำรวจรูปแบบการทำงานที่หลากหลายของพวกเธอ รวมถึงเหตุผลและเป้าหมายในการเข้าสู่วงการ


การค้าบริการทางเพศ จัดเป็นธุรกิจสีเทาที่สร้างรายได้มหาศาลให้กับประเทศไทย แม้จะไม่เคยมีการสำรวจอย่างเป็นทางการจากรัฐไทย แต่ในปี 2014 โครงการเอดส์แห่งสหประชาชาติ (UNAIDS) ได้ประเมินเอาไว้ว่าประเทศไทยมีพนักงานบริการ (service worker) อยู่มากถึง 123,530 คน และร้อยละ 10 ของรายได้ที่ประเทศไทยได้จากภาคการท่องเที่ยวมาจากธุรกิจบริการทางเพศ นอกจากนี้ ยังมีงานศึกษาในปี 2003 ที่ระบุว่าประเทศไทยสามารถทำเงินจากธุรกิจทางเพศได้มากถึงปีละ 4,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

แต่ธุรกิจที่ทำรายได้มหาศาลและข้องเกี่ยวกับชีวิตของผู้คนจำนวนมากเช่นนี้กลับเป็นสิ่งผิดกฎหมายในประเทศไทย ความย้อนแย้งดังกล่าวได้ทำให้พนักงานบริการไม่สามารถเข้าถึงสวัสดิการขั้นพื้นฐานเฉกเช่นที่ผู้ใช้แรงงานทั่วไปควรได้รับ อีกทั้งยังเป็นช่องว่างให้ผู้บังคับใช้กฎหมายและผู้ใช้บริการเอารัดเอาเปรียบพวกเธอโดยไม่สามารถเรียกร้องความเป็นธรรมได้ ยิ่งไปกว่านั้น สังคมไทยยังมีมายาคติแง่ลบต่อพนักงานบริการ อาทิ ‘พวกรักความสบาย’ ‘พวกละเมิดกฎหมาย’ ‘ตัวแพร่เชื้อโรค’ หรือ เหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์’

มายาคติดังกล่าวสอดคล้องกับความเป็นจริงมากน้อยแค่ไหน? เพื่อหาคำตอบดังกล่าว เราจึงไปพูดคุยกับเหล่าพนักงานบริการจาก 3 พื้นที่ รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐและภาคประชาสังคมที่ทำงานกับพนักงานบริการ เพื่อหาคำตอบว่า พวกเธอใช้ชีวิตอย่างไรภายใต้ค่านิยมทางสังคมที่มองพวกเธอเป็นสิ่งน่ารังเกียจและความย้อนแย้งทางกฎหมายของรัฐไทย


'กะหรี่ี่แค่ขายตัว...' ความฝันและความหลากหลายของพนักงานบริการ

‘กะหรี่ี่แค่ขายตัว แต่หญิงชั่วเร่ขายชาติ’ เป็นข้อความทวิตเตอร์ของ ‘ชัย ราชวัตร’ นักเขียนการ์ตูนชื่อดังของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ‘หญิงชั่ว’ จะหมายถึงใครนั้นไม่สำคัญ แต่ประโยคดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงอคติต่อพนักงานบริการ 2 ประการ หนึ่งคือ ‘กะหรี่ี่’ เป็นคำด่า หมายความถึงผู้หญิงที่มีพฤติกรรมน่ารังเกียจ คำพูดดังกล่าวไม่ต่างจากคำว่า ดำ ลาว หรือ ตุ๊ด ที่ใช้กันอยู่ทุกวันด้วย อาจจะด้วยเจตนาที่จะทำร้ายจิตใจผู้อื่น หรือหยอกล้อกันในหมู่เพื่อน แต่มันก็ได้ผลิตซ้ำอคติทางสังคมต่อผู้ที่มีอัตลักษณ์เป็นคำด่าเหล่านั้น

อคติประการที่ 2 นั้นน่าสนใจกว่า นั่นคือ กะหรี่ ‘แค่’ ขายตัว กล่าวคืออาชีพของพวกเธอนั้นมิต้องทำอะไรอย่างนอกจากหลับนอนกับลูกค้าและรับเงิน อคติดังกล่าวไม่ถูกต้อง (เสียทั้งหมด) เพราะขึ้นอยู่กับว่าพวกเธอเป็นพนักงานรูปแบบใด โดยรูปแบบพนักงานที่ดูจะใกล้เคียงกับมายาคติ ‘กะหรี่แค่ขายตัว’ มากที่สุด อาจจะเป็นพนักงานบริการไร้สังกัด (freelance) พนักงานเหล่านี้มักจะรวมตัวกันโดยมิได้นัดหมายตามสถานที่ต่างๆ ที่นักเที่ยวยามราตรี ‘รู้กัน’ เช่น วงเวียน 22 กรกฎา สวนลุมพินี หรือสนามหลวงในอดีต หากลูกค้าที่เดินผ่านไปถูกใจพวกเธอ ก็จะต่อรองราคา และพาไปให้บริการที่โรงแรมละแวกใกล้เคียง โดยมีเวลาในการให้บริการรอบละไม่เกิน 30 นาที หากมองโดยผิวเผินงานของพวกเธอดูไม่มีความซับซ้อน แค่รอลูกค้า มีเพศสัมพันธ์ และรับเงิน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเธอทุกคนจะ ‘แค่’ ขายตัว พนักงานบางคนอาจจะเลือกที่จะมีเพศสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างเดียวและรับเงินเลยก็ได้ แต่รายได้ของเธอก็จะน้อยกว่าพนักงานคนอื่นๆ ที่มี ‘ทักษะและประสบการณ์’ ไม่ว่าจะเป็นทักษะการต่อรอง การเจรจากับลููกค้า การพูดจาปราศรัยให้ลูกค้ารู้สึกพึงพอใจ ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มรายได้ให้กับพวกเธอ และเพิ่มโอกาสที่ลูกค้าเหล่านั้นจะ ‘ติดใจ’ และกลับมาใช้บริการเธอใหม่ ซึ่งทักษะเหล่านี้จำเป็นต้องอาศัยการฝึกฝนทั้งสิ้น

เหตุที่ทักษะและประสบการณ์มีความสำคัญกับพนักงานไร้สังกัดเหล่านี้เพราะกลุ่มลูกค้าของพวกเธอ มักจะเป็นผู้มีรายได้น้อย เช่น คนขับแท็กซี่ วัยรุ่น หรือผู้ใช้แรงงาน รายได้ต่อการรับลูกค้าหนึ่งรอบจึงตกอยู่ที่ 500 - 800 บาท พนักงานบางคนที่อายุมากแล้วอาจจะลดราคาลงมาเหลือ 300 บาท เพื่อเพิ่มโอกาสในการแย่งลูกค้ากับพนักงานคนอื่นที่อายุน้อยกว่า บางคนอาจจะตระเวนไปตามแหล่งท่องเที่ยวหลายแห่ง ในยามที่ย่านประจำของพวกเธอไม่มีลูกค้า

แก้ม (นามสมมติ) พนักงานไร้สังกัดวัย 24 ปี ที่มักจะยืนประจำอยู่ที่วงเวียน 22 กล่าวว่า โดยปกติแล้วเธอจะต้องมายืนรอลูกค้าตั้งแต่ช่วงหัวค่ำยาวไปถึงตีสาม หากวันใดได้ลูกค้าเยอะเธออาจทำเงินได้มากถึง 3,000-4,000 บาทต่อคืน หากวันใดไม่มีโชค เธออาจจะได้ลูกค้าเพียงหนึ่งหรือสองคน หรือไม่มีเลย ทำให้เธอต้องหาลูกค้าจากช่องทางออนไลน์เป็นรายได้เสริม ด้วยอายุที่ยังน้อย รูปร่างหน้าตา และทักษะในการทำงานของเธอ แก้มมีศักยภาพที่จะไปเป็นพนักงานบริการในอาบอบนวด หรือร้านเหล้าแพงๆ ได้อย่างสบายๆ แต่เหตุที่เธอเลือกที่จะมาเป็นพนักงานไร้สังกัดก็คือ ‘ความอิสระ’

“เราว่ามันอิสระดี วันไหนเราไม่สบาย มีประจำเดือน หรือขี้เกียจ เราก็แค่ไม่มา ไม่ต้องขอลาใคร ไม่ต้องโดนหักเงิน ไม่มีใครมาบงการชีวิตเรา เงินทุกบาทที่เราได้จากลูกค้าก็เข้าเราหมด ไม่ต้องหักให้ใคร” แก้มกล่าว

ด้วยความอิสระและเปิดกว้างของวงเวียน 22 สถานที่แห่งนี้จึงเป็นที่นิยมของพนักงานหลากหลายรูปแบบ บางคนอาจจะเป็นพนักงานในอาบอบนวดหรือร้านคาราโอเกะที่เลิกงานแล้ว แต่ยังอยากหาลูกค้าเพิ่ม บางคนอาจจะเข้ามาทำเฉพาะช่วงที่ต้องการรายได้เสริม บางคนก็ทำเป็นอาชีพหลัก แต่อิสรภาพดังกล่าวก็ต้องแลกมาด้วยความไม่มั่นคงในการทำงานหลายประการ อย่างแรกคือการความไม่มั่นคงจากเจ้าหน้าที่รัฐ แม้ภาพของการบุกจับหรือการล่อซื้อตามแหล่งค้าบริการจะปรากฏอย่างต่อเนื่องผ่านสื่อกระแสหลัก แต่ในความเป็นจริง เจ้าหน้าที่ตำรวจมิได้เข้ามาขัดขวางการทำงานของพวกเธอมากนัก แต่ก็มีบางช่วงเวลาของปีที่เจ้าหน้าที่รัฐต้องเร่งทำผลงาน เหตุการณ์เหล่านี้ก็มักจะเกิดขึ้น และตำรวจจะมาพร้อมกับสื่อมวลชนจำนวนมาก เพื่อให้สังคมรู้ว่าเจ้าหน้าที่รัฐไทย ‘ทำงานจริง’ เหล่าพนักงานไม่มีทางรู้ว่าวันใดที่พวกเธอต้องเจอกับเหตุการณ์ดังกล่าวและตกเป็นข่าวหน้า 1 อย่างไม่เต็มใจ

ความไม่มั่นคงในการทำงานประการที่ 2 มาจากลูกค้าที่ไม่พึงประสงค์ บางครั้งพวกเธออาจเจอกับลูกค้าที่เมา ไม่ยอมใช้ถุงยางอนามัย หรือไม่ยอมจ่ายเงิน เพราะยังไม่เสร็จกิจภายในระยะเวลาครึ่งชั่วโมง ซึ่งพวกเธอต้องรับมือกับลูกค้าเหล่านี้ด้วยประสบการณ์ของตัวเองและต้องเสี่ยงกับการโดนทำร้ายร่างกาย มาตรการป้องกันของพวกเธอมีเพียงการบอกเล่าปากต่อปากในหมู่เพื่อนพนักงานให้คอยระวังลูกค้าที่ไม่พึงประสงค์เหล่านั้น สำหรับแก้ม มาตรการป้องกันตัวเบื้องต้นของเธอคือ ‘เงินมา งานเดิน’ คือเธอจะเก็บเงินจากลูกค้าก่อนจะให้บริการทุกครั้ง เพราะเคยเกิดเหตุการณ์ที่ลูกค้าอาศัยจังหวะที่เธอกำลังเข้าห้องน้ำหลังให้บริการเสร็จวิ่งหนีออกจากห้องไปโดยไม่จ่ายค่าบริการ

ปัญหาที่เหล่าพนักงานไร้สังกัดเหล่านี้ต้องประสบ ส่วนหนึ่งเกิดจากการที่การค้าบริการเป็นสิ่งผิดกฎหมายในประเทศไทย ทำให้เธอไม่สามารถเรียกร้องการคุ้มครองใดๆ จากรัฐได้ในกรณีที่พวกเธอถูกละเมิดสิทธิหรือถูกทำร้ายร่างกาย พนักงานส่วนใหญ่จึงยอมแลกอิสรภาพของพวกเธอ เพื่อความปลอดภัยในการทำงาน นั่นก็คือการมี ‘นายจ้าง’

รูปแบบงานบริการที่มีนายจ้างมีนั้นมีอยู่หลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น ร้านคาราโอเกะ ร้านนวด บ้านสาว บาร์นั่งดื่ม บาร์อะโกโก้ ไปจนถึงอาบอบนวด ซึ่งแต่ละประเภทก็มีรูปแบบงานที่แตกต่างกันไป โดยในรายงานชิ้นนี้จะขอเจาะจงไปที่บ้านสาว อาบอบนวด และบาร์นั่งดื่ม เป็นหลัก


บ้านสาว


‘บ้านสาว’ เป็นหนึ่งในหลายๆ คำที่เจ้าหน้าที่รัฐใช้เรียกสถานบริการประเภทนี้ บางคนอาจเรียกว่า ‘ซ่อง’ ‘สำนักค้าประเวณี’ หรือ ‘แหล่งแพร่เชื้อ’ ซึ่งแต่ละคำต่างแฝงไปด้วยความหมายในเชิงเหยียดและดูถูกทั้งสิ้น เหล่าพนักงานจึงเลือกที่จะเลือกสถานบริการของพวกเธอว่า ‘บ้านสาว’ เพราะดูเป็นคำที่เหยียดพวกเธอน้อยที่สุดแม้พนักงานหลายคนจะพ้นวัยสาวไปแล้วก็ตาม ในขณะที่ลูกค้ามักจะเรียกสถานบริการประเภทนี้ว่า ร้านคาราโอเกะ ซึ่งต่างจากร้านคาราโอเกะจริงๆ ที่ลูกค้าสามารถร้องเพลงได้อยู่พอสมควร

พนักงานในร้านคาราโอเกะจริงๆ จะมีหน้าที่เสิร์ฟอาหาร ร้องเพลง และเอาอกเอาใจลูกค้า ยิ่งพวกเธอกระตุ้นให้ลูกค้าสั่งอาหารหรือเครื่องดื่มเพิ่มได้มากเท่าไหร่ รายได้ของพวกเธอก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น หากลูกค้าต้องการจะมีเพศสัมพันธ์กับพนักงาน ก็จะต้องตกลงราคากับพนักงานเอง และถ้าพนักงานไม่ต้องการไปกับลูกค้า พวกเธอก็มีสิทธิ์ปฏิเสธเช่นกัน นอกจากนี้ ลูกค้ายังต้องจ่ายเงินจำนวนหนึ่งให้กับทางร้านเพื่อพาพนักงานออกไปข้างนอก รายได้จากการมีเพศสัมพันธ์ของสาวคาราโอเกะจึงเป็นเพียงรายได้เสริม แต่งานหลักของพวกเธอก็ไม่ต่างจากบริกรหรือนักร้องในร้านอาหารทั่วไป (อ่านงานวิจัย)

แต่สำหรับร้านคาราโอเกะที่เป็น ‘บ้านสาว’ ในตำบลมหาชัย อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร คาราโอเกะเป็นเพียงแค่ฉากบังหน้า ซอยกิโลหนึ่งเป็นโซนบ้านหญิงยอดนิยมในมหาชัย ตลอดทั้งซอยถูกขนาบไปด้วย ‘ร้านคาราโอเกะ’ กว่าสิบร้าน แต่ละร้านจะประดับด้วยหลอดไฟนีออนสีสันแปลกตา มีตู้เพลงแบบหยอดเหรียญตั้งอยู่ในร้าน แต่ทั้งซอยกลับมีเพียงสองตู้เท่านั้นที่สามารถเปิดเพลงได้ และมีเพียงร้านเดียวเท่านั้นที่ลูกค้าสามารถร้องเพลงได้จริงๆ นั่นก็คือร้านอาหารตามสั่งท้ายซอยที่ไม่มีบริการทางเพศ ภายในตัวร้านไม่มีวงดนตรีหรือเวทีให้ใครได้แสดงพลังเสียง มีเพียงแต่ม้านั่งหรือโซฟาให้เหล่าพนักงานนั่งระหว่างพักรอลูกค้าและโต๊ะจำนวนไม่มากให้ลูกค้านั่งจิบเบียร์ ก่อนจะเลือกพนักงานที่ถูกใจแล้วเข้าไปรับบริการที่ด้านหลังร้าน

‘ห้องทำงาน’ เป็นห้องไม้อัดที่มีความกว้างประมาณสองช่วงแขน ซึ่งกว้างเพียงพอสำหรับเตียงเล็กๆ หนึ่งเตียง พัดลมสองเครื่อง และที่ว่างอีกเล็กน้อยจากประตูถึงเตียงให้ลูกค้าได้วางสัมภาระ หากต้องการชำระล้างร่างกายหรือทำธุระส่วนตัว ต้องไปใช้ห้องน้ำรวมด้านนอก อาจจะฟังดูเป็นสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะกับกิจกรรมเข้าจังหวะเสียเท่าไหร่ แต่ด้วยราคา 400-600 บาท (ขึ้นอยู่กับอายุและรูปร่างหน้าตาของพนักงาน) กับบริการระยะเวลา 30 นาที ก็อาจจะพอพูดได้ว่า ‘คุณภาพสมราคา’

ในจำนวนเงินที่ลูกค้าจ่ายไป ครึ่งหนึ่งจะถูกหักเข้าเจ้าของร้าน เหล่าพนักงานจึงต้องเรียนรู้ที่จะต่อรองกับลูกค้าเพื่อให้ได้ทิปเพิ่ม บางรายที่เชี่ยวชาญอาจจะคิดโปรโมชันขึ้นมา เช่น ขึ้นให้ (woman on top) เพิ่ม 200 อม (oral sex) 200 จับนม 200 เหมาหมด 500 ซึ่งการต่อรองตรงนี้จะเกิดขึ้นหลังจากลูกค้ากับพนักงานอยู่ในห้องทำงานกันสองต่อสอง แม้รายได้ของพวกเธอจะไม่ต่างจากเหล่าพนักงานไร้สังกัดที่วงเวียน 22 เท่าใดนัก แต่สิ่งที่พวกเธอได้มาคือความปลอดภัยในการทำงาน เพราะเจ้าหน้าที่รัฐจะไม่เข้ามายุ่มย่ามกับการทำงานของพวกเธอ เว้นเสียแต่เจ้าของร้านจะไปทำให้เจ้าหน้าที่รัฐเหล่านั้น ‘ไม่พึงพอใจ’

นอกจากนี้ พวกเธอยังปลอดภัยจากเหล่าลูกค้าที่ไม่พึงประสงค์ เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน พวกเธอสามารถเรียกขอความช่วยเหลือจากพนักงานคนอื่นๆ ที่อยู่หน้าร้านหรือคนดูแลร้านที่ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชายให้เข้ามาช่วยเธอได้ พนักงานบางคนยังเลือกที่จะเช่าห้องอยู่กับทางร้านทำให้พวกเธอประหยัดต้นทุนด้านที่อยู่อาศัย และการเดินทางลงไปได้มาก ซึ่งแน่นอนว่าห้องนอนของพวกเธอดูดีกว่าห้องทำงานของพวกเธอมากนัก นี่จึงเป็นเหตุผลที่พวกเธอเรียกที่ทำงานของตัวเองว่า ‘บ้านสาว’ เพราะมันเป็นทั้งที่ทำงานและบ้านพวกเธอ พนักงานบางคนอาจมีอายุเกิน 50 ปี แต่ก็ยังเลือกที่จะทำงานต่อ แม้โอกาสที่จะได้ลูกค้าจะน้อยมากเมื่อเทียบกับพนักงานวัยสาว แต่พวกเธอก็ยังมีความสุขจากการได้พบปะเพื่อนฝูงใน ‘บ้าน’ ที่พวกเธอคุ้นเคย

อย่างไรก็ตาม งานหลักของพนักงานบ้านสาวโดยส่วนใหญ่ก็ยังคงเป็นการมีเพศสัมพันธ์กับลูกค้า อาจจะต้องช่วยเก็บร้านหรือจัดร้านบ้าง แต่ก็เป็นเพียงส่วนน้อย จึงอาจจะพอพูดได้ว่างานหลักของพวกเธอคือ ‘แค่ขายตัว’ อย่างไรก็ตาม เหตุผลที่รายงานข่าวชิ้นนี้ใช้คำว่า ‘พนักงานบริการ’ แทนคำว่า ‘ผู้ค้าประเวณี’ ก็เพราะการบริการของเธอมิได้มีแค่การร่วมประเวณี และยิ่งการบริการเสริมของพวกเธอมีความหลากหลายมากเท่าไหร่ รายได้ของพวกเธอก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น การบริการบางอย่างอาจเป็นเรื่องพื้นฐานมากๆ แต่ก็เป็นกิจกรรมที่ชายหลายคนพร้อมควักเงินจ่าย เช่น การอาบน้ำ อาบอบนวดจึงเป็นสถานบริการที่ชายผู้มีอันจะกินมักเลือกใช้


อาบ อบ นวด

พนักงานอาบอบนวดจะนั่งเรียงกันอยู่หลังตู้กระจก เพื่อรอการให้บริการ หน้าที่หลักของพวกเธอคือการอาบน้ำ และมีเพศสัมพันธ์กับลูกค้า อัตราค่าบริการแต่ละครั้งมีตั้งแต่ 1,000 บาทไปจนถึงหลักหมื่น โดยค่าบริการส่วนหนึ่งจะหักเข้าเจ้าของร้าน กรณีที่พบส่วนใหญ่คือจะหัก 50 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ เธอยังต้องจ่าย ‘ค่าตะกร้า’ ซึ่งจะเป็นเงินที่ทางร้านนำไปซื้ออุปกรณ์การอาบน้ำ เช่น สบู่ ยาสระผม น้ำยาบ้วนปาก เพื่อให้แน่ใจว่าลูกค้าจะได้รับการบริการที่ได้มาตรฐาน อย่างไรก็ตาม เมื่อหักลบรายจ่ายทั้งหมดแล้ว พนักงานอาบอบนวดย่านห้วยขวางบางคนก็ยังมีรายได้มากพอจะเช่าคอนโดที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับที่ทำงานของเธอได้อย่างสบาย

แต่ถึงแม้จะรายได้มาก กฎระเบียบก็มากด้วยเช่นกัน พวกเธอจะต้องรองรับลูกค้าวันละ 4-5 คนตามโควต้าที่ทางร้านกำหนดก่อนจึงจะกลับบ้านได้ พวกเธอจะได้รับการตรวจโรคจากแพทย์ทุกเดือนและรับการตรวจเลือดทุกสามเดือน ซึ่งนายจ้างจะเป็นคนจัดหาแพทย์มาให้บริการ การเข้างานสายหรือลางานเกินสองวันต่ออาทิตย์ จะต้องเสียค่าปรับ บางร้านที่ใส่ใจในมาตรฐานมากๆ อาจถึงขั้นควบคุมน้ำหนักของพนักงาน จีจี้ (นามสมมติ) พนักงานอาบอบนวดในเมืองเชียงใหม่วัย 26 ปี กล่าวว่าร้านของเธอห้ามพนักงานมีน้ำหนักเกิน 50 กิโลกรัม คนที่น้ำหนักเกินจะต้องเสียค่าปรับให้ร้านเดือนละ 200 บาทต่อน้ำหนัก 1 กิโลกรัมที่เกินมา

พนักงานอาบอบนวดเข้าสู่วงการด้วยเป้าหมายที่แตกต่างกันไป บางคนเป็นเสาหลักของครอบครัว บางคนต้องการเข้ามาทำเพียงระยะสั้นๆ เพื่อเก็บเงินไปทำตามความฝันของเธอ บางคนก็หวังว่าจะมีลูกค้าฐานะดีเข้ามาอุปการะเลี้ยงดู หรือบางคนก็เข้ามาเพียงเพราะเห็นว่าเป็นอาชีพที่รายได้ดี ในกรณีของจีจี้ เธอเข้าสู่วงการเพราะ ‘อยากมาเที่ยว’

จีจี้เดินทางมาจากสิบสองปันนาในประเทศจีน เธอข้ามแดนและมีใบอนุญาตทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เธอกล่าวว่ามีผู้หญิงในหมู่บ้านหลายคนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับเธอเข้ามาทำงานเป็นพนักงานบริการในเมืองเชียงใหม่และสามารถส่งเงินกลับบ้านได้อย่างไม่ขาดสาย เธอจึงอยากลองมาทำดู เธอทำงานมาได้ 3 เดือนแล้ว และวางแผนจะทำต่ออีกไม่นานนัก เพราะเป้าหมายหลักของเธอคือการมาเที่ยวประเทศไทย ลักษณะเดียวกับที่วัยรุ่นไทยเดินทางไป Work and travel ที่สหรัฐฯ เพียงแต่จีจี้ไม่ต้องฝึกทักษะทางภาษามากนัก เพราะที่สิบสองปันนาใช้ภาษาคล้ายคลึงกับคนไทย เธอทำเงินได้เดือนละ 20,000-40,000 บาท ขึ้นอยู่กับช่วงเทศกาล เธอกล่าวว่าช่วงเข้าพรรษาลูกค้าค่อนข้างน้อยเพราะเหตุใดเธอก็ไม่ทราบได้ แต่รายได้ของเธอเพียงพอต่อการจ่ายค่าครองชีพในเมืองเชียงใหม่ ส่งเงินกลับที่บ้านเดือนละ 2,000 บาท และท่องเที่ยวในช่วงวันหยุด

งานของจีจี้มิได้มีเพียงแค่การมีเพศสัมพันธ์กับลูกค้าเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องควบคุมน้ำหนัก นวดเฟ้น และอาบน้ำให้ลูกค้าด้วย รูปแบบงานบริการจึงมีความหลากหลายสูงมากเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าที่อยากได้บริการเสริมนอกเหนือจากการมีเพศสัมพันธ์ เช่น การนวด การร้องเพลง การเต้น หรือ แม้แต่การ ‘กินเหล้าเป็นเพื่อน’


สาวบาร์

‘การกินเหล้าเป็นเพื่อน’ คือบริการของพนักงานรูปแบบสุดท้ายนั่นคือพนักงานในร้านนั่งดื่ม หรือ “สาวบาร์” หน้าที่ของพวกเธอคือนั่งเป็นเพื่อนกินเหล้ากับลูกค้าและกระตุ้นให้พวกเขากินเยอะๆ ภายในบาร์เหล่านี้จึงมักจะมีเกมกระดาน เช่น XO หรือโอเทลโลให้พนักงานเล่นกับลูกค้าเป็นกิจกรรมกระตุ้นการดื่ม ลูกค้าที่ต้องการให้เธอนั่งเป็นเพื่อนจะต้องซื้อเครื่องดื่มให้กับพวกเธอ โดยพวกเธอจะได้เงินตามจำนวนเครื่องดื่มที่ลูกค้าของเธอสั่ง ซึ่งเรียกว่า ‘ค่าดริ้งค์’ อัตราค่าดริ้งค์ของแต่ละร้านจะแตกต่างกันไป มีตั้งแต่ดริ้งค์ละ 50 ไปจนถึง 200 บาท บางร้านอาจจะมีการกำหนดโควต้าดริ้งค์ขั้นต่ำที่พวกเธอต้องทำให้ได้ในแต่ละวัน มิเช่นนั้นก็จะถูกหักเงิน

การมีเพศสัมพันธ์กับลูกค้าขึ้นอยู่กับความสมัครใจและพวกเธอก็เป็นคนกำหนดค่าบริการเอง โดยส่วนมากมักอยู่ที่ 1,500-2,000 บาทต่อครั้ง และ 3,000-5,000 บาทต่อคืน หากตกลงราคากันได้แล้ว ลูกค้าจะต้องจ่าย ‘ค่าบาร์’ 500 บาทให้กับทางร้านเพื่อพาพนักงานออกนอกสถานที่ และลูกค้าจะต้องเป็นฝ่ายหาสถานที่ในการรับบริการเอง หลังการให้บริการ พวกเธอสามารถเลือกที่จะกลับมาหาลูกค้าต่อที่บาร์หรือกลับบ้านพักผ่อนเลยก็ได้ สาวบาร์บางคนอาจจะไม่มีสังกัดหรือร้านประจำ ซึ่งเรียกกันว่า ‘ไซด์ไลน์’ โดยเธอจะย้ายที่ทำงานไปตามร้านต่างๆ ที่ต้องการพนักงานเสริมในช่วงที่ลูกค้าเยอะ เช่นเดียวกับพนักงานบริการรูปแบบอื่นๆ สาวบาร์แต่ละคนย่อมมีเป้าหมายและเหตุผลในการเข้าสู่วงการที่แตกต่างกัน แต่สำหรับจ๋า (นามสมมติ) สาวบาร์วัย 29 ปี ในอำเภออ่าวนาง จังหวัดกระบี่ เป้าหมายหลักของเธอคือการ ‘หาแฟน’

จ๋ากล่าวว่าด้วยความที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ลูกค้าหลักของสาวบาร์ที่อ่าวนางจึงเป็นชาวต่างชาติเสียส่วนใหญ่ ในช่วงไฮซีซั่น รายได้ของพวกเธออาจมากถึง 50,000 บาทต่อเดือน แต่ในช่วงโลว์ซีซั่น รายได้ของพวกเธอก็จะหายไปกว่าเท่าตัว การมีลูกค้าที่ติดใจและเสนอตัวจะดูแลส่งเสียด้านการเงินให้จึงเป็นเหมือนหลักประกันทางรายได้ให้กับพนักงานอย่างเธอ ชาวต่างชาติส่วนใหญ่ที่เสนอตัวเข้ามาส่งเสียพนักงานบาร์มักจะอยู่ในวัยเกษียณอายุ บางคนตัดสินใจแต่งงานและอยู่ประเทศไทย บางคนอาจพาพวกเธอกลับไปอยู่ประเทศบ้านเกิด บ้างอาจจะกลับประเทศไปแล้ว แต่ยังคงส่งเงินกลับมาให้

จ๋ากล่าวว่า เธอคบกับแฟนที่เป็นชาวแคนนาดามาได้ 3 เดือนแล้ว ในตอนแรก แฟนของเธอต้องการแค่มาท่องเที่ยว แต่หลังจากพบกับเธอ เขาก็ตัดสินใจอยู่ต่ออย่างไม่มีกำหนดกลับ เธอกล่าวว่าชีวิตของเธอดีขึ้นมากหลังจากมีแฟน จากที่ต้องทำงานทุกวัน เธอสามารถทำงานเพียง 3 วันโดยยังมีเงินพอส่งให้พ่อแม่และลูกชายวัย 14 ขวบที่กำลังเรียนอยู่ได้อย่างไม่ขาดสาย เมื่อถามเธอว่าคาดหวังกับความสัมพันธ์ครั้งนี้มากเท่าไหร่ เธอไม่สามารถตอบได้ แต่เธอก็คาดหวังให้มันอยู่นานเท่าที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ อย่างไรก็ตาม จ๋าตระหนักดีว่าความสัมพันธ์เช่นนี้ไม่มีความแน่นอน เพราะแฟนของเธออาจจะทิ้งเธอไปเมื่อไหร่ก็ได้ เมื่อเขาเจอพนักงานคนอื่นที่ถูกใจกว่าหรือมีความจำเป็นต้องกลับประเทศกะทันหัน สิ่งที่เธอทำได้ก็คือตักตวงให้ได้มากที่สุดในขณะที่ยังมีโอกาส

สำหรับสาวบาร์ที่ไม่มีโชคจากการหาแฟนเป็นชาวต่างชาติ เธอจำเป็นต้องหารายได้เสริมเพื่อชดเชยนักท่องเที่ยวที่หายไปในช่วงโลว์ซีซั่น แจน (นามสมมติ) สาวบาร์รุ่นใหญ่วัย 53 ปี มักใช้เวลาในช่วงกลางวันที่เพิงเล็กๆ ในสวนยางแห่งหนึ่ง เธอรับจ้างเจ้าของสวนดูแลไก่จำนวนกว่า 20 ตัว เธอกล่าวว่าไก่พวกนี้เคยเป็นของเธอ เธอใช้เงินจำนวนหนึ่งเพื่อซื้อไก่เหล่านี้มาโดยหวังว่ามันจะสร้างรายได้เสริมให้กับเธอในอนาคต แต่มันกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด การเลี้ยงไก่มีต้นทุนที่สูงกว่าที่เธอคิด เธอไม่มีเงินพอที่จะสร้างโรงเลี้ยงที่ได้มาตรฐาน และซื้อยาที่จำเป็น ทำให้ไก่ของเธอตายไปเกือบครึ่งในระยะเวลาเพียง 1 เดือน เธอจึงตัดสินใจขายมันแม้จะต้องขาดทุน นอกจากดูแลไก่ เธอยังรับจ้างเป็นพี่เลี้ยงเด็กให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติอีกด้วย

“เมื่อก่อนพี่ทำงานก่อสร้างอยู่ในกรุงเทพฯ ทีนี้ พอแก่มันก็เริ่มทำไม่ไหว แล้วพอดีมีเพื่อนชวนให้มาทำงานร้านนวดที่ภูเก็ต เราก็คิดว่าน่าจะดี เพราะเราก็แก่แล้ว คงทำงานนี้เป็นงานสุดท้ายแล้วก็จะกลับอุดรฯ ตอนกลับบ้านจะได้ไปนวดให้คนที่บ้านได้ แต่พอมาถึงภูเก็ตเพื่อนเราเป็นห่วงแฟนกับลูกก็เลยกลับ ทิ้งเราไว้คนเดียว ตอนนั้นพี่มีเงินติดตัวอยู่สองร้อยบาทไม่รู้จะไปทางไหน เพราะเราไม่รู้จักใครเลย ตอนนั้นนั่งร้องไห้อยู่ริมฟุตบาทเห็นหมามันคุ้ยกองขยะกิน ยังคิดเลยว่านี่กูต้องคุ้ยขยะกินเหมือนมึงไหมวะเนี่ย แต่สุดท้ายก็ได้งานที่ร้านนวด เราก็นวดไม่เป็นหรอก แต่ก็แอบดูเพื่อนแล้วก็ทำตามๆ เขาไป แต่ทำไปได้ซักพักก็ปวดหลังทำต่อไม่ไหว เราไม่ได้เรียนมาเลยไม่รู้ว่ามันต้องนวดท่าไหนให้เราไม่ปวด สุดท้ายก็มาจบที่อ่าวนางนี่แหละ”

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.