เบส ก็แค่เด็กเกิดไม่ทัน แต่นอกจากดรามาสถานทูต เรื่องอื่นโทษเธอไม่ได้ เธอเป็นนักพูดหาสตางค์ ก็พูดตามที่คนอยากฟัง จาก “นักพูดร้อยศพ” ก็ปรุงแต่งวาทกรรม แอ๊กติ้ง หน้าตา ขยายฐานลูกค้า มันขึ้นกับคนที่มาจ้างต่างหาก ว่ามีสติปัญญาแค่ไหน จะใช้เธอทำอะไร ใช้ปฏิบัติการจิตวิทยาแบบตื้นเขิน มักง่าย ไม่ต้องมีความน่าเชื่อถือ ขึ้นต้นลงท้าย ตื้นตัน บีบน้ำตา แต่ดูทุกคลิปไม่ต่างกัน ต่อให้ไม่พูดเรื่องคนอีสาน ซักวันก็มีคนจับไต๋ นี่ไง สติปัญญาทหาร ระดับท่านเสธ ระดับ กอ.รมน. ผบ. พื้นที่ทั้งหลาย แย่กว่านั้นคือสติปัญญาคณาจารย์วิทยาศาสตร์ นิมนต์เจ้าอาวาสพันเดียว จ้างดราม่าร้อยศพ 3 หมื่นห้า ไม่ต้องให้ สตง.มาสอบแล้วบอกว่าโปร่งใส แต่อายไหม ในคณะคงมี ดร. รศ.ผศ.มากมาย แต่มีภูมิปัญญาแค่นี้เอง
ส่วนพวกที่แห่มาปกป้อง อย่างเทอดศักดิ์ จริงๆ ก็ไม่ใช่ปกป้องเบสหรอกครับ เบสจบเห่แล้ว ตั้งแต่ดราม่าอเมริกาไม่ออกวีซ่า แต่เพราะกรณีเบส vs คนอีสาน (และความเหมาะสมในการจ้าง) มันกระทบภูมิปัญญาทหารต่างหาก
ผบ.ตร.ชี้คลิป “เบส อรพิมพ์” ถูกหาว่า “หมิ่นคนอีสาน” เข้าข่ายความผิดฐานยุยงแตกแยก เอ๊ะ มาแปลก ตอนดราม่าใกล้ปิดฉาก อย่าเป็นคดีให้ยุ่งยากเลยครับ สังคมแค่อยากวิพากษ์วิจารณ์ ไม่ได้ต้องการเห็นเธอหลั่งน้ำหูน้ำตาขึ้นโรงขึ้นศาล อดีตผู้พิพากษายังบอกว่าคดีหมดอายุความแล้ว เรื่องทางสังคมต่างหากที่ไม่มีอายุความ
คำถามคือ ถ้าเบสผิด ไม่ต้องผิดกฎหมายหรอก แค่สังคมเห็นว่าพูดไม่เหมาะสม ส่วนราชการที่เชิญเบสไปพูด จะรับผิดชอบอย่างไร อย่างน้อย ได้ถามตัวเองไหม คุณมีหน้าที่สร้างความปรองดองไม่ใช่หรือ
นี่ยังไม่นับคำถามว่า เบสได้ค่าตัวเท่าไหร่ 3 หมื่นจริงไหม เพราะไม่เห็นใครปฏิเสธเต็มปากเต็มคำ มีแต่บอกว่า อย่าจับผิด อย่าติดใจเรื่องค่าตัว ให้ดูความรู้ความสามารถ เจตนาดีต่อบ้านเมือง
เบส อรพิมพ์ “นักพูดสร้างแรงบันดาลใจ” เพิ่งเป็นที่สนใจวงกว้าง จากวาทกรรมซาบซึ้ง แล้วก็โด่งดังจากข่าว
สถานทูตอเมริกาปฏิเสธวีซ่า ทั้งที่จะไปพูดเรื่องในหลวง ร.9 ซึ่งบานปลายเป็นดราม่า ทำไมไม่ให้วีซ่า ทีพวก “ล้มเจ้า” ยังไปเพียบ สถานทูตไม่ตอบโต้ เพราะไม่สามารถเปิดเผยเรื่องส่วนบุคคล จนสื่อสืบเสาะพบเหตุผล น่าจะเพราะเธอ ขอวีซ่าผิดประเภท ไปพูดได้ค่าตอบแทน ต้องขอวีซ่าทำงาน ไม่ใช่วีซ่านักท่องเที่ยว
เท่านั้นละครับ กระแสตีกลับ เบสรับเละ โดนตั้งคำถามมากมาย เป็นใครมาจากไหน ถึงอ้างตน “นักพูดของพ่อ” อ้อ พูดแล้วได้ค่าตัวครั้งละ 30,000 แล้วก็มีคนไล่คลิป ย้อนหลัง กระทั่งพบว่าเธอไปพูดถึงคนอีสานที่มหาสารคาม ซึ่ง กอ.รมน.จัดให้นักเรียนมัธยมเข้าฟัง
“ตอนที่ท่านเจ้ากรมโทร.ไปหาเบส ท่านถามว่า พร้อม จะรับใช้ คสช.ไหม? เบสก็คิดในใจว่า มันมีเหตุผลอะไรที่จะไม่พร้อม….” นี่พูดที่หอประชุมกิตติขจร “…พร้อมค่ะ มีอะไรให้เบสรับใช้กองทัพได้ขอให้บอก จึงเป็นที่มาของการทำงานให้กองทัพ 3 เดือนกว่าๆ เเล้ว เบสไม่ใช้คำว่ารักทหารนะคะ เบสใช้คำว่าโคตรรัก”
แต่ก็ตอนนี้ละ หลังจากคนอีสานฮือต้านเบส ก็เกิดแรงฮึดโต้กลับ ปกป้องเบสทำนองว่าพวกเสื้อแดงไม่รักเจ้า เอาเธอเป็นเครื่องมือปลุกม็อบ กระทั่งตุ๊กกี้ ที่รักลุงตู่จะเป็นจะตาย ยังถูกเหมาเป็น “ควายแดง”
เอาเข้าจริง ไม่ใช่ปกป้องเบสหรอก ปกป้องกองทัพและ คสช.เสียมากกว่า เบสจะเหลืออะไร ถูกยกเลิกคิวไปหลายงาน แต่กระแสวิจารณ์เริ่มลุกลาม กองทัพใช้นักพูดค่าตัวแพง อย่างเบสแล้วได้อะไร คุ้มค่าหรือเสียมากกว่าได้
ว่าตามเนื้อผ้า เรื่องทั้งหมดไม่น่าจะโทษเบส เธอเป็นนักพูดหาสตางค์ ก็พูดตามที่คนอยากฟัง จากที่พูดตามงานศพ “นักพูดร้อยศพ” เธอก็ปรุงแต่งวิธีการ แอ๊กติ้ง หน้าตา ขยายฐานลูกค้าให้มีระดับ รู้จักวิธีทำให้ผู้ฟังประทับใจ ใครอยากจ้างเธอก็จ่าย ไม่อยากจ้างก็แล้วไป
ประเด็นอยู่ที่คนเชิญเธอไปพูดต่างหาก ว่าต้องการอะไร เลือกใช้คนเหมาะสมไหม ซึ่งคนที่วิจารณ์เรื่องนี้ก็ไม่ใช่แค่ “เสื้อแดง” แต่ผู้มีปัญญาทั่วไป หรือฝ่ายเสื้อเหลืองนกหวีดที่มีสติ ก็ยังทักท้วงกันหลากหลาย เช่น สุทิน วรรณบวร บอกว่าความจงรักภักดีเกิดจากพลังศรัทธาอันยิ่งใหญ่ ไม่ใช่การรับจ้างไปแสดงวาทกรรมบีบคั้นอารมณ์ให้เกิดแรงดลใจ
ถามจริง ถ้าอยากฟังเรื่องพระราชกรณียกิจ ก็ฟังองคมนตรี ฟัง ดร.สุเมธ ฟังผู้ทำงานในโครงการพระราชดำริ ไม่ดีกว่าหรือ ถึงแม้ท่านเหล่านั้นจะไม่สามารถแสดงลีลา แต่ก็ สร้างความตื้นตันจากเรื่องราวที่สัมผัสมาจริง
ถามจริง ถ้าให้เบสไปพูดเรื่อง “เหตุผลความจำเป็นที่ คสช.เข้าควบคุมอำนาจการบริหารราชการแผ่นดิน Road Map ของรัฐบาลและ คสช.” ก็ฟังลุงตู่ทุกคืนวันศุกร์ไม่ดีกว่าหรือ ถึงจะบ่นว่าไม่มีคนฟัง แต่ลุงตู่ก็พูดได้จริงจัง จากใจ ในฐานะที่ทำรัฐประหารมากับมือ
ทำไมหน่วยงานรัฐต้องใช้นักพูดที่ดูทุกคลิป ก็ขึ้นต้นลงท้ายคล้ายกัน หรือเชื่อว่า “ดราม่า” เข้าถึงนักเรียน นักศึกษา มากกว่าพูดด้วยปัญญาเหตุผล จนคณะวิทยาศาสตร์ยังยอมเสียสตางค์ 35,000 ให้ไปพูดเรื่อง “อย่างไรที่เรียกว่ารัก” ทั้งที่หลายปีก่อน เคยนิมนต์เจ้าอาวาสไปบรรยายธรรมแล้วใส่ซองพันเดียวก็พอ
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่น้องเบสแล้วครับ อยู่ที่ภูมิปัญญา วิธีคิด ของหน่วยงานรัฐ หรืออาจสะท้อนภูมิปัญญาสังคมไทยด้วยซ้ำ
source :- FB Atukkit Sawangsuk & https://www.khaosod.co.th/politics/news_114474
000000
ผบ.ตร.ชี้คลิป “เบส อรพิมพ์” ถูกหาว่า “หมิ่นคนอีสาน” เข้าข่ายความผิดฐานยุยงแตกแยก เอ๊ะ มาแปลก ตอนดราม่าใกล้ปิดฉาก อย่าเป็นคดีให้ยุ่งยากเลยครับ สังคมแค่อยากวิพากษ์วิจารณ์ ไม่ได้ต้องการเห็นเธอหลั่งน้ำหูน้ำตาขึ้นโรงขึ้นศาล อดีตผู้พิพากษายังบอกว่าคดีหมดอายุความแล้ว เรื่องทางสังคมต่างหากที่ไม่มีอายุความ
คำถามคือ ถ้าเบสผิด ไม่ต้องผิดกฎหมายหรอก แค่สังคมเห็นว่าพูดไม่เหมาะสม ส่วนราชการที่เชิญเบสไปพูด จะรับผิดชอบอย่างไร อย่างน้อย ได้ถามตัวเองไหม คุณมีหน้าที่สร้างความปรองดองไม่ใช่หรือ
นี่ยังไม่นับคำถามว่า เบสได้ค่าตัวเท่าไหร่ 3 หมื่นจริงไหม เพราะไม่เห็นใครปฏิเสธเต็มปากเต็มคำ มีแต่บอกว่า อย่าจับผิด อย่าติดใจเรื่องค่าตัว ให้ดูความรู้ความสามารถ เจตนาดีต่อบ้านเมือง
เบส อรพิมพ์ “นักพูดสร้างแรงบันดาลใจ” เพิ่งเป็นที่สนใจวงกว้าง จากวาทกรรมซาบซึ้ง แล้วก็โด่งดังจากข่าว
สถานทูตอเมริกาปฏิเสธวีซ่า ทั้งที่จะไปพูดเรื่องในหลวง ร.9 ซึ่งบานปลายเป็นดราม่า ทำไมไม่ให้วีซ่า ทีพวก “ล้มเจ้า” ยังไปเพียบ สถานทูตไม่ตอบโต้ เพราะไม่สามารถเปิดเผยเรื่องส่วนบุคคล จนสื่อสืบเสาะพบเหตุผล น่าจะเพราะเธอ ขอวีซ่าผิดประเภท ไปพูดได้ค่าตอบแทน ต้องขอวีซ่าทำงาน ไม่ใช่วีซ่านักท่องเที่ยว
เท่านั้นละครับ กระแสตีกลับ เบสรับเละ โดนตั้งคำถามมากมาย เป็นใครมาจากไหน ถึงอ้างตน “นักพูดของพ่อ” อ้อ พูดแล้วได้ค่าตัวครั้งละ 30,000 แล้วก็มีคนไล่คลิป ย้อนหลัง กระทั่งพบว่าเธอไปพูดถึงคนอีสานที่มหาสารคาม ซึ่ง กอ.รมน.จัดให้นักเรียนมัธยมเข้าฟัง
“ตอนที่ท่านเจ้ากรมโทร.ไปหาเบส ท่านถามว่า พร้อม จะรับใช้ คสช.ไหม? เบสก็คิดในใจว่า มันมีเหตุผลอะไรที่จะไม่พร้อม….” นี่พูดที่หอประชุมกิตติขจร “…พร้อมค่ะ มีอะไรให้เบสรับใช้กองทัพได้ขอให้บอก จึงเป็นที่มาของการทำงานให้กองทัพ 3 เดือนกว่าๆ เเล้ว เบสไม่ใช้คำว่ารักทหารนะคะ เบสใช้คำว่าโคตรรัก”
แต่ก็ตอนนี้ละ หลังจากคนอีสานฮือต้านเบส ก็เกิดแรงฮึดโต้กลับ ปกป้องเบสทำนองว่าพวกเสื้อแดงไม่รักเจ้า เอาเธอเป็นเครื่องมือปลุกม็อบ กระทั่งตุ๊กกี้ ที่รักลุงตู่จะเป็นจะตาย ยังถูกเหมาเป็น “ควายแดง”
เอาเข้าจริง ไม่ใช่ปกป้องเบสหรอก ปกป้องกองทัพและ คสช.เสียมากกว่า เบสจะเหลืออะไร ถูกยกเลิกคิวไปหลายงาน แต่กระแสวิจารณ์เริ่มลุกลาม กองทัพใช้นักพูดค่าตัวแพง อย่างเบสแล้วได้อะไร คุ้มค่าหรือเสียมากกว่าได้
ว่าตามเนื้อผ้า เรื่องทั้งหมดไม่น่าจะโทษเบส เธอเป็นนักพูดหาสตางค์ ก็พูดตามที่คนอยากฟัง จากที่พูดตามงานศพ “นักพูดร้อยศพ” เธอก็ปรุงแต่งวิธีการ แอ๊กติ้ง หน้าตา ขยายฐานลูกค้าให้มีระดับ รู้จักวิธีทำให้ผู้ฟังประทับใจ ใครอยากจ้างเธอก็จ่าย ไม่อยากจ้างก็แล้วไป
ประเด็นอยู่ที่คนเชิญเธอไปพูดต่างหาก ว่าต้องการอะไร เลือกใช้คนเหมาะสมไหม ซึ่งคนที่วิจารณ์เรื่องนี้ก็ไม่ใช่แค่ “เสื้อแดง” แต่ผู้มีปัญญาทั่วไป หรือฝ่ายเสื้อเหลืองนกหวีดที่มีสติ ก็ยังทักท้วงกันหลากหลาย เช่น สุทิน วรรณบวร บอกว่าความจงรักภักดีเกิดจากพลังศรัทธาอันยิ่งใหญ่ ไม่ใช่การรับจ้างไปแสดงวาทกรรมบีบคั้นอารมณ์ให้เกิดแรงดลใจ
ถามจริง ถ้าอยากฟังเรื่องพระราชกรณียกิจ ก็ฟังองคมนตรี ฟัง ดร.สุเมธ ฟังผู้ทำงานในโครงการพระราชดำริ ไม่ดีกว่าหรือ ถึงแม้ท่านเหล่านั้นจะไม่สามารถแสดงลีลา แต่ก็ สร้างความตื้นตันจากเรื่องราวที่สัมผัสมาจริง
ถามจริง ถ้าให้เบสไปพูดเรื่อง “เหตุผลความจำเป็นที่ คสช.เข้าควบคุมอำนาจการบริหารราชการแผ่นดิน Road Map ของรัฐบาลและ คสช.” ก็ฟังลุงตู่ทุกคืนวันศุกร์ไม่ดีกว่าหรือ ถึงจะบ่นว่าไม่มีคนฟัง แต่ลุงตู่ก็พูดได้จริงจัง จากใจ ในฐานะที่ทำรัฐประหารมากับมือ
ทำไมหน่วยงานรัฐต้องใช้นักพูดที่ดูทุกคลิป ก็ขึ้นต้นลงท้ายคล้ายกัน หรือเชื่อว่า “ดราม่า” เข้าถึงนักเรียน นักศึกษา มากกว่าพูดด้วยปัญญาเหตุผล จนคณะวิทยาศาสตร์ยังยอมเสียสตางค์ 35,000 ให้ไปพูดเรื่อง “อย่างไรที่เรียกว่ารัก” ทั้งที่หลายปีก่อน เคยนิมนต์เจ้าอาวาสไปบรรยายธรรมแล้วใส่ซองพันเดียวก็พอ
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่น้องเบสแล้วครับ อยู่ที่ภูมิปัญญา วิธีคิด ของหน่วยงานรัฐ หรืออาจสะท้อนภูมิปัญญาสังคมไทยด้วยซ้ำ
source :- FB Atukkit Sawangsuk & https://www.khaosod.co.th/politics/news_114474
แสดงความคิดเห็น