การถึงแก่อสัญกรรมของนาย ฟิเดล คาสโตร อดีตผู้นำการปฏิวัติคิวบา ก็ทำให้เกิดปฏิกริยาที่หลากหลายทั้งจากประชาชนและผู้นำทั่วโลก ซึ่งมีทั้งคนที่ชื่นชมเขาในฐานะผู้นำที่ยิ่งใหญ่ ขณะที่คนจำนวนมากก็มองว่าเขาเป็นผู้นำเผด็จการที่กดขี่ประชาชน

ประชาชนในคิวเข้าสู่ช่วงเวลาของการไว้ทุกข์ให้แก่การจากไปของ นายฟิเดส คาสโตร อดีตประธานาธิบดีและผู้นำการปฏิวัติคิวบา เป็นเวลา 9 วัน ตามที่รัฐบาลประกาศไว้ โดยสถานที่ราชการได้ลดธงครึ่งเสาทั่วประเทศ และพิธีฌาปนกิจศพของคาสโตรจะจัดขึ้นทันทีตามความความประสงค์ที่ระบุไว้ในพินัยกรรม และจะมีการนำเถ้ากระดูกของนายคาสโตรเคลื่อนไปตามทางที่เคยจัดคาราวานแห่งเสรีภาพในปี 1959 เพื่อไปฝังไว้ที่เมืองซานติอาโก ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ อย่างสมเกรียติในวันที่ 4 ธันวาคมนี้

อย่างไรก็ตาม บรรยากาศกลับเป็นไปอย่างตรงกันข้าม ในเมืองไมอามี มลรัฐฟลอริดาของสหรัฐ ซึ่งชาวอเมริกันเชื้อสายคิวบาได้ออกมารวมตัวกันเฉลิมฉลองการจากไปของนายคาสโตรบนท้องถนนอย่างคึกคัก โดยมีการเคาะหม้อและโห่ร้องยินดี เพราะพวกเขามองว่า นายคาสโตรเป็นผู้นำเผด็จการเลวร้าย ที่เคยละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงและกำจัดผู้เห็นต่างจำนวนมากในระหว่างการปฏิวัติ

เช่นเดียวกับปฏิกริยาของผู้นำโลกเสรีและคอมมิวนิสต์ที่มีท่าทีแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดนนายวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซียกล่าวว่า การถึงแก่อสัญกรรมของนายคาสโตรเป็นการสูญเสียบุคคลสำคัญคนหนึ่งของประวัติศาสตร์โลกยุคใหม่ ขณะที่นายสีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ก็กล่าวว่า "สหายคาสโตร" จะอยู่ในความทรงจำของชาวจีนตลอดไป

ด้านผู้นำโลกเสรี อย่างนายบารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่าประวัติศาสตร์จะทำหน้าที่จารึกและตัดสินสิ่งที่นายคาสโตรได้ทำเอาไว้ ขณะที่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่ก็ออกแถลงการณ์ว่า นายคาสโตรเป็นเผด็จการที่เลวร้าย และเขาหวังว่า คิวบาจะสามารถหลีกหนีจากความโหดร้ายที่ชาวคิวบาต้องทนทุกข์มานาน และก้าวไปสู่อนาคตที่มีเสรีภาพที่ชาวคิวบาสมควรได้รับ

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.