Posted: 23 Nov 2016 08:31 AM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เวบไซท์ประชาไท)
ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอีกต่อไป หากในยุคสมัยนี้เราจะพูดว่า การมีเซ็กส์ เป็นหนึ่งในความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์ เราทุกคนล้วนแต่มีแรงขับทางเพศ (Sex Drive) ซึ่งปรากฎให้เห็นเด่นชัดในระยะที่มนุษย์มีพัฒนาการจากเด็กสู่วัยเจริญพันธุ์ องค์ความรู้เรื่องสุขศึกษา เพศศึกษา จิตวิทยา สังคมวิทยา หรือแม้กระทั่งกรอบความคิด มโนสำนึก ที่ก่อร่างสร้างตัวจากบรรทัดฐานทางสังคม ล้วนบอกเราว่าจะเข้าใจเรื่องความต้องการทางเพศอย่างไรได้บ้าง รวมทั้งวิธีการรับมือกับความต้องการทางเพศ อันเป็นเรื่องปกติธรรมดาของพวกเรา
หากแต่การปลดปล่อยความต้องการทางเพศจะถูกเข้าควบคุมด้วยกฎระเบียบทางสังคม กฎหมาย และหลักศีลธรรมเสมอมา มีหลายบริบท หลายสถานที่ ซึ่งเป็นพื้นที่ต้องห้ามสำหรับการมีเซ็กส์ การเป็นผู้ต้องขังที่ถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำเองก็เป็นอีกหนึ่งบริบทที่อำนาจรัฐสามารถเข้าควบคุมจัดการความต้องการภายในของมนุษย์ได้อย่างทรงพลัง ผ่านสิ่งที่เรียกว่ากฎระเบียบของเรือนจำ แต่ก็ใช่ว่ากฎระเบียบที่ว่าจะคงความศักดิ์สิทธิ และสามารถควบคุมพฤติกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยแรงปรารถนาของมนุษย์ได้ เพราะในความเป็นจริงแล้วการมีเซ็กส์ในเรือนจำเกิดขึ้นได้ทุกๆ วัน เพียงแต่ในสถานะของผู้ที่มีเพศสรีระเดียวกัน ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ผิดบาปเมื่อทั้งสองฝ่ายต่างยินยอมพร้อมใจ ทั้งในสายสัมพันธ์ของคู่รักและในสายสัมพันธ์ของการซื้อขายบริการ
เรื่องเล่าจากปลายปากกาของสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ หรือนามสกุลเดิมคือ แซ่ด่าน ชายผู้ผ่านประสบการณ์การต่อสู้ทางการเมืองมาตลอด 40 กว่าปี ทั้งยังมีประสบการณ์ในการใช้ชีวิตในคุกถึง 2 ครั้ง เขาติดคุกครั้งแรกจากข้อหาก่อการจราจลและข้อหาคอมมิวนิสต์ เมื่อปี 2524 รวมระยะเวลาที่ใช้ในคุกไปทั้งสิ้น 16 ปี ต่อมาครั้งที่ 2 เขาถูกดำเนินคดีฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ รวมระยะเวลาที่ถูกจำคุกทั้งสิ้น 2 ปี 7 เดือน[1] เขาเขียนหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาจากประสบการณ์ที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในคุกครั้งแรกและให้ชื่อหนังสือที่รวมข้อเขียน เรื่องเล่าทุกซอกทุกมุมของแดนสนธยานั้นว่า ‘ผ่าคุก’
หนังสือเล่มนั้นตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2546 ข้อเขียนเล่าเรื่องราวของชีวิตภายใต้กรงขังรวมทั้งสิ้น 17 บท จากประสบการณ์ 16 ปี หนึ่งในนั้นมีเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจและกลายมาเป็นตัวจุดประกายให้กับรายงานชิ้นนี้คือ เรื่อง ‘ในคุกก็มีม่านรูดนะจ๊ะ’ แม้ไม่ปรากฎเป็นที่แน่ชัดว่าเรื่องเล่าในบทนี้เกิดขึ้นในช่วงปีใดระหว่าง 2524-2539 แต่ชัดเจนที่สุดคือในปี 2559 เรื่องม่านรูดในคุกไม่ได้มีสถานะที่กลายเป็นเพียงตำนาน หากแต่เรื่องเหล่านี้ยังคงเกิดขึ้นจริง ขณะที่บางเรือนจำยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นและให้บริการแจกถุงยาอนามัยแก่ผู้ต้องขัง เพื่อเป็นการป้องกันโรคติดต่อทางเพศ แต่บางเรือนจำการเข้าถึงถุงยางอนามัยยังคงเป็นเรื่องยาก
ข้อมูลตัวเลขสถิติผู้ต้องราชทัณฑ์ สำรวจ ณ วันที่ 24 ธันวาคม 2558[2] ระบุว่า มีผู้ต้องขังที่มีเพศกำเนิดหรือเพศสรีระที่เป็นชายซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมตัวโดยกรมราชทัณฑ์ทั้งหมด 269,745 คน ขณะที่จำนวนผู้ต้องขังที่มีอัตลักษณ์ทางเพศไม่ตรงกับเพศสรีระที่เป็นเพศชายซึ่งสำรวจโดยกรมราชทัณฑ์ครั้งแรก[3] เมื่อเดือนมิถุนายน 2559 พบว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ขังที่มีอัตลักษณ์ทางเพศไม่ตรงกับเพศสรีระที่เป็นเพศชายอยู่ในเรือนจำชายทั่วประเทศทั้งสิ้น 2,190 คน แบ่งเป็นกะเทย 1,804 คน เกย์ 352 คน และผู้ที่แปลงเพศจากชายเป็นหญิงอีก 34 คน โดยที่พวกเขาและเธอเหล่านั้นกระจายอยู่ในเรือนจำต่างๆ ทั่วประเทศ และจากการสำรวจพบว่า 3 อันดับของเรือนจำที่มีผู้ต้องขังที่มีความหลากหลายทางเพศมากที่สุดคือ เรือนจำพิเศษพัทยา เรือนจำกลางเชียงใหม่ และทัณฑ์สถานบำบัดพิเศษกลาง ตามลำดับ และทั้งหมดที่จะรายงานต่อไปคือเรื่องที่ ‘คนนอกคุก’ ส่วนใหญ่อาจจะไม่เคยรับรู้มาก่อน
ทะเบียนสมรสในเรือนจำชาย และงานแต่งงานในรั้วลูกกรง
แอม (นามสมมติ) อดีตผู้ต้องขังซึ่งมีความหลากหลายทางเพศ เธอเคยถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำแห่งหนึ่งเมื่อปี 2557 ซึ่งเป็นเรือนจำที่มีผู้ต้องขังที่มีผู้ที่ความหลากหลายทางเพศอยู่เป็นจำนวนมาก ได้เล่าประสบการณ์ที่ได้พบเห็นในเรือนจำดังกล่าวว่า การปฏิบัติต่อผู้ต้องขังที่มีความหลากหลายทางเพศของผู้คุมและเพื่อนผู้ต้องขังด้วยกันเป็นไปในทางที่ดี
“คือเป็นที่รู้กันในคุกว่าหากมีเรื่องกับกะเทย ผู้ชายจะเป็นฝ่ายผิด เป็นกฎที่เจ้านาย (ผู้คุม) เขาตั้งกฎไว้ เรื่องการถูกล่วงละเมิดมันเลยไม่ค่อยมี พวกผู้ชายเขาไม่กล้าทำอะไร”
เธอเล่าว่า ตอนที่เข้าไปในเรือนจำครั้งแรก ผู้คุมจะถามผู้ต้องขังใหม่ว่า มีใครเป็นตุ๊ด กะเทย หรือเกย์หรือไม่ เพื่อที่จะได้แยกโซนการคุมขัง โดยที่ผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศจะไม่ต้องออกไปฝึกเหมือนกับผู้ชาย และเวลาแยกเข้ากองงานผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศจะได้ทำงานที่เบากว่าปกติ
และเนื่องจากเป็นเรือนจำซึ่งมีผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศอยู่เป็นจำนวนมาก สิ่งหนึ่งที่มีให้เห็นโดยทั่วไปคือ การครองคู่กันและมีการจัดพิธีแต่งงานขึ้นภายในเรือนจำ แอมให้ข้อมูลว่า เมื่อมีผู้ต้องขังตกลงที่จะแต่งงานกัน จะสามารถทำได้ด้วยการบอกกับผู้คุม โดยผู้คุมจะเป็นผู้ออกทะเบียบสมรสให้ ซึ่งเป็นการจดทะเบียนที่มีข้อผูกพันเพียงแค่ภายในเรือนจำเท่านั้น เมื่อผู้ต้องขังสมรสกันแล้ว จะมีกฎข้อห้ามเรื่องการนอกใจหรือการคบซ้อน หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถูกจับได้ว่าละเมิดข้อห้ามดังกล่าว จะถูกทำโทษโดยการตักของเสียในบ่อเกรอะมาราดตัวคนที่ทำผิด และหากเป็นแดนที่มีบ่อเกรอะไม่ลึกมาก ผู้ที่ละเมิดข้อห้ามจะถูกสั่งให้กระโดดลงไปแช่อยู่ในบ่อเป็นเวลานาน
ดูจะเป็นไปในทางเดียวกันกับข้อมูลที่ได้จากหยง (นามสมมติ) อดีตผู้ต้องขังชายในเรือนจำแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ ซึ่งถูกควบคุมเป็นเวลากว่า 3 ปี เขาเล่าว่าในเรือนจำจะมีการแบ่งโซนชัดเจนเพื่อไม่ให้ผู้ต้องขังที่มีสรีระเหมือนเพศหญิงคือมีเต้านมและทรวดทรวงคล้ายผู้หญิง รวมทั้งผู้ต้องขังที่ผ่านการแปลงเพศ อยู่รวมกับผู้ต้องขังชาย เพื่อให้ง่ายต่อการควบคุมดูแล
เช่นเดียวกัน เรือนจำแห่งนั้นเองก็มีเรื่องราวของการแต่งงานกันภายในเรือนจำ โดยการให้ผู้คุมเป็นประธานในการแต่งงานซึ่งจัดขึ้นอย่างง่ายๆ ภายในแดน เพื่อเป็นการประกาศให้รู้โดยทั่วกันว่า ผู้ต้องขังทั้งสองคนกำลังคบหากันในรูปแบบของคู่รัก หลังจากงานพิธีเสร็จสิ้น ก็จะมีการจัดงานเลี้ยงง่ายๆ โดยการสั่งอาหารจากร้านค้าสวัสดิการในเรือนจำ เพื่อเลี้ยงขอบคุณเพื่อนผู้ต้องขังที่มาร่วมแสดงความยินดี
หยงให้ข้อมูลเพิ่มเติมด้วยว่า หากคู่สมรสคู่ไหนที่พอจะมีอิทธิพลพอสมควร หรือภาษาในคุกเรียกกันว่าเป็น ‘ขาใหญ่’ จะสามารถแอบทำเหล้าเพื่อเลี้ยงขอบคุณแขกที่มาร่วมงานได้หลังจากที่ผู้คุมกลับออกไป โดยจะมีการเตรียมหมักเหล้าไว้ก่อนวันเริ่มงานระยะเวลาหนึ่ง กรรมวิธีในการหมักเหล้าสามารถทำได้โดยการซื้อขนมปัง มาหมักไว้ให้เกิดเป็นยีสต์ และนำยีสต์ที่ได้ไปหมักกับข้าวเหนียวใส่ถังปิดทิ้งไว้ โดยยีสต์เหล่านั้นจะเข้าไปกินน้ำตาลทำให้เกิดกระบวนการที่ผลิตแอลกอฮอร์ขึ้นมา
ดูเหมือนว่าการยอมรับผู้มีความหลากหลายทางเพศในเรือนจำจะเป็นไปในทิศทางที่ก้าวหน้า แต่อย่าลืมว่าหลักการออกแบบเรือนจำทุกเรือนจำจะออกแบบมาเพื่อที่จะให้ผู้ต้องขังรู้สึกว่าถูกจับตามองตลอดเวลา ภายในเรือนจำจึงเป็นสถานที่ซึ่งมีที่ลับตาคนน้อยที่สุด ฉะนั้น คำพูดที่ว่าการมีเซ็กส์เป็นเรื่องที่ต้องการความเป็นส่วนตัว เมื่ออยู่ในคุก เราอาจจะพูดคำนั้นได้ไม่เต็มคำนัก เพราะแม้แต่การช่วยตัวเอง โดยที่ไม่มีใครรับรู้หรือเข้ามาเกี่ยวข้องก็ยังเป็นเรื่องยาก แต่ไม่ยากเกินไปสำหรับ ‘ขาใหญ่’ ซึ่งสามารถเข้าห้องน้ำ[4] ได้เพียงลำพัง โดยไม่มีใครกล้าเข้าไปวุ่นวาย
เรื่องการอยู่ร่วมกันเป็นคู่ในเรือนจำและการแต่งงานยังได้รับการยืนยันว่ามีอยู่จริงจากพี (นามสมมติ) อดีตนักโทษการเมือง ซึ่งในรอบปีกว่าที่ผ่านมาเขาถูกจับกุมคุมขังอยู่ในเรือนจำทั้งหมด 3 ครั้ง ทั้งที่เรือนจำในกรุงเทพมหานคร เรือนจำอีกสองแห่งในภาคอีสาน ซึ่งในหนึ่งในนั้นเป็นเรือนจำที่บ้านเกิดของเขาเอง เขาช่วยยืนยันอีกเสียงหนึ่งว่า การแต่งงานและการอยู่เป็นคู่รักเป็นเรื่องที่เขาเห็นอยู่ในทุกเรือนจำ
ซุ้ม-ม่านรูด สถานบริการครบวงจรในเรือนจำชาย แต่การเข้าถึงถุงยางเป็นเรื่องยากในบางเรือนจำ
แม้ว่าการอยู่ร่วมกันแบบคู่รักของผู้ต้องขังจะเป็นเรื่องที่ถูกยอมรับแล้วภายในเรือนจำ แต่การมีเซ็กส์ภายในเรือนจำยังเป็นกฎระเบียบข้อห้ามสำคัญและมีบทลงโทษชัดเจน หากผู้คุมพบเห็นการกระทำซึ่งหน้าก็สามารถสั่งลงโทษทางวินัยกับผู้ต้องขังได้ทันที แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคุกเป็นสถานที่ซึ่งปลอดจากการมีเซ็กส์เลยเสียทีเดียว และธุรกิจอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นมาเพื่อสนองความต้องการของผู้ต้องขังหลายรายจึงเกิดขึ้น
แอม เล่าว่า ในวันปกติจันทร์ถึงศุกร์ ผู้ต้องขังทุกคนจะต้องเข้าทำงานในแต่ละกองงานที่ได้รับการมอบหมาย แต่เมื่อถึงวันเสาร์และวันอาทิตย์ จะเป็นวันที่ผู้ต้องขังไม่ต้องทำงาน และจะเป็นช่วงเวลาที่ผู้คุมปล่อยให้ผู้ต้องขังได้พักผ่อนตามอัธยาศัย ในช่วงจังหวะเวลาว่างที่ปลอดจากสายตาของผู้คุมเพียงไม่กี่ชั่วโมง ในเรือนจำที่เธอถูกควบคุมตัวอยู่ บรรดา ‘ขาใหญ่’ ที่มีอิทธิพลมากพอสมควรก็จะเริ่มธุรกิจเปิดม่านรูดแบบชั่วคราว
“วันปกตินักโทษก็จะไปทำงาน ช่วงว่างจากงานก็จะอยู่กันเป็นบ้าน (บ้านเป็นชื่อเรียกของชุมชนที่เกิดจากการรวมกลุ่มของผู้ต้องขัง) พวกกลุ่มกะเทยเขาก็จะมีขาใหญ่ เป็นเจ๊ที่มาคุมซุ้ม ซึ่งก็คือเอาผ้าห่มมากางขึงไว้ให้มันดูเป็นซุ้มๆ เป็นห้อง แล้วก็จะมีสาวขายบริการมานั่งรอหน้าซุ้ม ใครจะมาใช้บริการก็ซื้อได้เลย หรือถ้าเป็นแบบผัวเมียกันอยู่แล้ว จะมาเช่าซุ้มอย่างเดียวก็ได้ คือวันนั้นก็จะมีนักโทษแดนอื่นๆ เข้ามาเที่ยวกัน เสาร์อาทิตย์เป็นวันฟรี ซึ่งสองวันนี้จะมีการเปิดซุ้ม ก็คือซ่อง เหมือนเป็นการอนุโลมให้เฉพาะสองวันนี้ แต่ถ้าใครมาเปิดวันอื่นก็จะโดนลงโทษหนัก ถ้าผู้คุมจับได้”
เธอเล่าต่อไปว่า ค่าใช้จ่ายในการเข้าซุ้มหรือเปิดโรงแรมม่านรูดในแต่ละครั้งจะถูกแบ่งเป็นสองส่วน หากมีผู้ต้องขังที่จะมาใช้บริการจะต้องจ่ายค่าเช่าซุ้มให้กับขาใหญ่ และจ่ายค่าบริการให้กับสาวบริการที่ตัวเองเลือกให้เข้าซุ้มด้วย โดยใช้บุหรี่เป็นอัตราแลกเปลี่ยน
สอดคล้องกันกับข้อมูลที่ได้จากบอส (นามสมมติ) อดีตผู้ต้องขังคดีการเมือง ซึ่งถูกจองจำอยู่ในเรือนจำแห่งหนึ่งในภาคกลางเป็นเวลากว่า 2 ปี เขาให้ข้อมูลพร้อมกับแง่มุมที่น่าสนใจว่า การมีเซ็กส์ในเรือนจำเป็นเรื่องปกติ และเป็นสิ่งที่ช่วยบำบัดผู้ต้องขังให้คลายความเครียดลง จากกฎระเบียบเรื่องอื่นๆ ที่เคร่งครัดของเรือนจำ ความเครียดจากการสูญเสียอิสระภาพ และความเครียดจากสภาพแวดล้อมและแรงกดดันต่างๆ ภายในเรือนจำ รวมทั้งเป็นการช่วยระบายความต้องการทางเพศ พร้อมกันนั้นเรือนจำยังได้แจกถุงยางอนามัยไว้สำหรับการการป้องกันโรคติดต่อด้วย
“คุณคิดว่าเซ็กส์ในคุกมันหมายถึงอะไร จะสกปรก จะน่ารังเกียจ หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่สำหรับนักโทษที่อยู่ในนั้นนานๆ การมีเซ็กส์กับกะเทยมันคือการผ่อนคลาย บางคนรักกัน อยู่เป็นคู่ๆ กันเลยก็มี
“ถุงยางที่นี่เขามีแจกฟรี ไปเอาได้ง่ายๆ แต่เขาไม่ส่งสริมให้นักโทษไปมีเซ็กส์กันเองนะ การติดคุกมันก็เหมือนไปทหารเกณฑ์ ผู้ชาย กะเทยมาอยู่ด้วยกัน จั๋งใด๋มันก็มีสีดากกันแน่นอน เพราะมันไม่รู้จะไปสีใคร จะไปเอากับผู้หญิงที่ไหน ใช่อยู่ คุณว่ามันชักว่าวในคุกได้ ถ้าไม่สนว่าจะมีคนเห็น แต่บางคนมันต้องการเสียดสี มันต้องการทะลุทะลวง ความแน่น และการตอด มันต้องการสัมผัสแบบนั้น”
บอส เล่าต่อว่าในเรือนจำที่เขาอยู่มีการเปิดขายบริการในหลายแดน แต่มีอยู่แดนหนึ่งที่มีชื่อเสียงมากที่สุด โดยมีชื่อเรียกที่พ้องกับสถานที่ค้าบริการ ย่านหนึ่งในกรุงเทพมหานคร สำหรับสาเหตุที่ทำให้แดนนั้นเป็นสถานที่ที่โด่งดังมากที่สุด เนื่องจากว่าเป็นแดนที่มีผู้ต้องขังที่มีอายุไม่เกิน 22 ปีเท่านั้นที่จะสามารถอยู่ในแดนนี้ได้ ที่นี่จึงเป็นสถานที่ซึ่งมีสาวบริการที่มีอายุน้อยอยู่เป็นจำนวนมากกว่าแดนอื่นๆ และมีหุ่นที่เหมือนผู้หญิง ตัวเล็ก ขาเรียว หรือเป็นเกย์ ก็จะเป็นเกย์ที่หน้าตาดี
สำหรับการจัดการดูแลการขายบริการภายในเรือนจำ บอสเล่าว่า ที่เรือนจำแห่งนั้น กลุ่มผู้ต้องขังที่มีความหลากหลายทางเพศและเป็นผู้ขายบริการจะเป็นผู้ดูแลทุกอย่างเอง และคนส่วนมากที่ไปใช่บริการจะเป็นกลุ่ม ‘ขาใหญ่’ ในเรือนจำ
เช่นเดียวกันกับเนส (นามสมมติ) อดีตผู้ต้องขังซึ่งถูกฝากขังที่เรือนจำเดียวกันกับบอส แม้จะเพียงระยะเวลา 12 วัน แต่แดนที่เนสได้เข้าไปอยู่คือแดนที่ขึ้นชื่อเรื่องการขายบริการ
“ในแดนที่ผมอยู่เขาจะมีโซนที่เรียกว่า XXXX เป็นที่ค้าบริการของกะเทยและเกย์เพื่อให้ผู้ชายปลดปล่อย เขาจะเอาผ้าห่มมากางเป็น 4 มุม ซึ่งตรงนั้นก็จะเป็นสถานที่ที่เขามีเซ็กส์กัน การตกลงราคาก็เป็นไปตามคนขายจะตกลงกับคนซื้อ จ่ายเป็นบุหรี่ 2 ซอง นม 4 กล่อง มาม่า 5 ซอง ก็แล้วแต่ว่าจะเป็นการตกลงกิจกรรมกันแบบไหน ราคาก็จะแตกต่างกันไป มีทั้งแบบสอดใส่และไม่สอดใส่”
เนสอธิบายถึงมุมมองของเพื่อนผู้ต้องขังกับการขายบริการทางเพศว่า สำหรับพวกเขา เรื่องเหล่านี้ไม่ได้เป็นเรื่องที่น่ารังเกียจหรือเป็นเรื่องที่ผิดบาปแต่อย่างใด
“คนในคุกเขาก็มองเป็นเรื่องปกติ ก็ยังมีมาชวนผมไปเที่ยวเยาวราชอยู่เลย คือมันเข้าใจได้ผู้ชายน่ะนะ ติดคุกหลายๆ ปี มันก็ต้องมีอารมณ์และหาทางปลดปล่อย อย่างคนไปเที่ยวมา ออกจากโซน XXXX มาก็ไม่มีใครมาแซวใครมาล้ออะไร เพราะสำหรับเขามันเป็นเรื่องธรรมดา เหมือนเขาเข้าใจกันและกัน “
เมื่อถามถึงเรื่องการใช้ถุงยาง เนสเล่าว่า เคยถามผู้คุมเรื่องถุงยางอนามัย คำตอบที่ได้รับคือ ในระยะเวลาหนึ่งเดือนทางเรือนจำจะแจกถุงยางอนามัยกล่องใหญ่ 1 กล่องให้แต่ละแดน สำหรับนำไปใช้เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศ แต่หลังจากนั้นเนสไม่แน่ใจว่าระบบการแจกเป็นอย่างไร และมีการแจกจริงในทุกๆ เดือนหรือไม่ เนื่องจากเขาเข้าไปอยู่ในนั้นได้ไม่นาน
สำหรับเรื่องการเข้าถึงถุงยางอนามัยในเรือนจำที่แอมถูกคุมขัง เธอเล่าว่า การเข้าถึงถุงยางอนามัยเป็นไปได้ยาก เนื่องจากมีการใช้ระบบให้ผู้ต้องขังต้องเซ็นต์ชื่อเพื่อขอรับถุงยางอนามัย จึงมีผู้ต้องขังน้อยรายที่จะกล้าเข้าไปขอ นอกจากจะเป็นผู้ที่มีอิทธิพลในเรือนจำมากพอสมควร เพราะหากผู้ต้องขังที่มีคู่รักหรือผู้ต้องขังที่ขายบริการในคุกไปขอถุงยางอนามัยบ่อยๆ อาจจะทำให้ผู้คุมเรียกมาสอบถามว่าขายบริการทางเพศหรือไม่ และหากถูกจับได้ก็จะถูกสั่งลงโทษตามกฎระเบียบของเรือนจำ
“เรื่องการป้องกันมันยาก หมายถึงถุงยางมันไม่มี ล่าสุด แอมไปเยี่ยมเพื่อน เขาบอกว่าตอนนี้ติดโรค ต้องรับยาต้าน หลายคนที่รู้จักอยู่ในนั้นก็ติดโรคเพิ่ม การขอถุงยางมันไม่ใช่เรื่องง่ายแบบที่เขาพูดนะ มันไม่ง่ายเหมือนเราไปขอหน้ากากอนามัย ต้องเซ็นชื่อใครจะกล้าไปล่ะ นอกจากพวกขาใหญ่จริงๆ”
ขณะที่ผู้คุมของเรือนจำดังกล่าวได้ให้ข้อมูลว่า มีมาตรการป้องกันโรคติดต่อทางเพศโดยให้บริการแจกถุงยางแก่ผู้ต้องขัง หากใครต้องการสามารถที่จะมาลงชื่อและรับถุงยางไปได้
แอมเล่าต่อไปว่า ผู้ต้องขังที่ขายบริการทางเพศในเรือนจำนั้น หลายรายเป็นผู้ที่เคยขายบริการตอนอยู่ข้างนอกมาก่อน แต่ก็มีบางรายที่ถูกจับกุมมาด้วยคดีอื่นๆ ที่จำเป็นต้องมาขายบริการ เพราะเป็นช่องทางที่จะหาของแลกเปลี่ยนแทนเงินมาใช้ในชีวิตประจำวัน
“คือกะเทยบางคนเขาก็ไม่มีตังค์ไง เพื่อนก็ไม่มี คนมาเยี่ยมก็ไม่มี มันเลยจำเป็นต้องทำ เพราะงานอื่นๆ มันได้เงินน้อย ไม่เหมือนกับการขายบริการ เวลาคุณอยู่ในคุก คุณต้องใช้เงิน อย่างน้อยก็เอาไปซื้อข้าว ซื้อของดีๆ กิน ในคุกไม่มีใครหรอกที่อยากกินข้าวโรงเลี้ยง”
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องเซ็กส์ภายในเรือนจำที่ตั้งอยู่พื้นฐานของการสมยอมหรือตกลงปลงใจกันทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าจะด้วยความรักที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน หรือจะด้วยการตกลงกันด้วยผลประโยชน์ต่างตอบแทนที่เป็นสิ่งแลกเปลี่ยนแทนเงิน แต่เรื่องราวของการล่วงละเมิดทางเพศภายในเรือนจำ ที่ดูเป็นเรื่องเล่าที่มีมานานคือ ‘การเก็บยอดหน้าอ่อน’ ยังคงมีอยู่ให้เห็นอย่างน้อยก็ในสองเรือนจำ ซึ่งแอมและบอสได้ยืนยันด้วยประสบการณ์ที่เคยถูกจองจำว่า การล่วงละเมิดมีอยู่จริงและส่งผลกระทบทางจิตใจอย่างรุนแรงต่อผู้ถูกกระทำ
ตี๋ ขาว ไร้รอยสัก ‘ยอดหน้าอ่อน’ เพื่อเสริมบารมีของขาใหญ่ในเรือนจำ
ก่อนที่จะไปถึงเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศผู้ต้องขัง คำศัพท์หนึ่งซึ่งเป็นที่รู้กันดีภายในเรือนจำคือคำว่า ‘เก็บยอดหน้าอ่อน’ ซึ่งหมายถึงการที่ ‘ขาใหญ่’ หรือผู้มีอิทธิพลในเรือนจำชักชวนผู้ต้องขังที่เพิ่งเข้ามาในเรือนจำให้เข้ามาอยู่ในกลุ่มของตนเพื่อสร้างบารมี โดยผู้ต้องขังที่เป็นที่ต้องการสำหรับการชวนเข้าไปอยู่ในกลุ่มจะเป็นผู้ต้องขังที่มีรูปร่างหน้าตาดี ขาว ตี๋ และยังไม่รู้จักใครในเรือนจำมากนัก โดย ‘ขาใหญ่’ จะให้การดูแลผู้ต้องขังเหล่านั้นเป็นอย่างดี สามารถจัดการให้ผู้ต้องขังรายนั้นไม่ต้องทำงานนัก ได้รับประทานอาหารดีๆ และมีเงินให้หยิบยืม ส่วนหนึ่งเป็นไปเพื่อต้องการแสดงให้เห็นว่าตนเองมีอำนาจ มีบารมีมากพอที่จะรับเลี้ยงดูแลผู้ต้องขังรายอื่นได้ แต่บางส่วนมีจุดประสงค์ที่แตกต่างออกไปคือ ต้องการให้ผู้ต้องขังรายนั้นมาเป็นภรรยาของตน ซึ่งมีทั้งกระบวนการที่เป็นไปด้วยความละมุนละม่อม และเป็นไปด้วยกระบวนการที่ใช้ความรุนแรงบังคับให้สมยอม
“มันจะมียอดหน้าอ่อนอยู่ แบบตี๋ๆ ขาวๆ เข้าไป พวกขาใหญ่เขาก็เล็งแล้ว มาถามว่าอยู่บ้านไหน อยู่แถวไหน ติดคดีอะไร มาอยู่กับพี่ไหม จะดูแลอย่างดีไม่ต้องออกไปทำงานหนักๆ คือไม่ได้หมายความว่าเข้าไปอยู่กับเขาจะต้องเป็นมีเซ็กส์กันอย่างเดียว แต่เขาจะเอามาดูแล เหมือนมีไว้เสริมบารมี ว่ากูนี่แหละสามารถเลี้ยงน้องได้ แต่ที่ต้องการเอาไปเป็นเมียจริงๆ มันก็มี แต่ก็ทำแบบดูแลดีๆ เสาร์อาทิตย์ก็จะมานั่งคุยกัน หน้าอ่อน หัวอ่อนบางคนก็ถลำไป โดนเขาลูบ เขาจับ ก็ยอม เพราะในนั้นมันมีแต่ผู้ชายเจอหน้ากันทุกวัน เห็นกันอยู่ทุกวัน เกิดชอบกันขึ้นมามันก็มี หรือบางรายก็รักกัน ตกลงแต่งงานกันไปเลย” บอส กล่าว
แต่ขณะเดียวกันการบังคับขืนใจก็ยังมีให้เห็น บอสให้ข้อมูลว่า เคสที่เขาเคยรับรู้มามี 2 เคส เคสแรกเป็นผู้ต้องขังที่เป็นชาย ซึ่งถูกชักชวนไปอยู่กับ ‘ขาใหญ่’ แล้วเกิดติดหนี้จำนวนมาก จนไม่มีทางหาเงินมาชดใช้ จึงจำเป็นต้องยอมถูกล่วงละเมิด อีกเคสเป็นผู้ต้องขังชาวพม่าที่ถูกบังคับให้มีเซ็กส์ด้วยทุกวัน เพราะหากไม่ทำก็จะถูกทำร้ายร่างกาย
“บางคนติดเงินขาใหญ่แล้วไม่มีเงินใช้หนี้ ต้องเอาตัวไปแลกก็มี มันก็แปลว่าแบบนี้ไม่ได้สมยอมจริง เพราะถ้ามึงไม่ทำ มึงก็เจ็บ อาจจะถูกซ้อม บางทีอาจถึงตาย สุดท้ายมันก็ยอม เพราะเขาจะเอาลูกน้องมาขู่ เวลาทำกันเขาจะพากันไปทำที่ลับๆ ตามซอกตึก มุมตึก มุมอับๆ ทำกันตอนกลางวันนี้แหละ ถ้าผู้คุมรู้ก็ยุ่ง แต่ไม่มีใครกล้าไปบอกหรอก
“อีกเคสคือ นักโทษคนนั้นเป็นคนพม่า เขาโดนบังคับทุกวันให้มีเซ็กส์ด้วยทุกวัน สุดท้ายเจ้าตัวมันไม่ยอม แล้วไปบอกนาย นายก็ย้ายคนที่ถูกบังคับไปอยู่แดนอื่น ใครมันจะไปทนได้ โดนบังคับให้ถอก อม เลีย ชักให้ แล้วก็ร่วมเพศด้วย ถ้าไม่ทำ มึงก็ถูกกระทืบ ใครจะช่วยมึงล่ะ ถ้าไม่ทำก็เจ็บตัว มึงเลือกเอาจะเอาอะไร ตาย เจ็บตัว หรือยอมทำ ในคุกมันไม่มีกฎหมาย ถึงมีกฎระเบียบว่าห้ามทำ แต่เรือนจำจะมายุ่งอะไรกับเรื่องพวกนี้ แค่คุมคนก็ปวดสมองพอแล้ว เขาจะมาอะไรกับเรื่องสีๆ เซิ้งๆ มันเป็นเรื่องไร้สาระสำหรับเขา”
รูปแบบของการล่วงละเมิดในเรือนจำส่วนใหญ่ จะไม่มีลักษณะของการใช้กำลังบังคับเข้าข่มขืน แต่จะเป็นไปในลักษณะของการสร้างเงื่อนไขและให้ทางเลือกที่บีบบังคับให้อีกฝ่ายต้องยินยอม ข้อมูลจากแอมก็เป็นไปในลักษณะเดียวกัน เธอเล่าว่าได้รู้จักเพื่อนผู้ต้องขังที่เป็นชายหนึ่งคน ซึ่งตอนเขาข้ามาอยู่ในเรือนจำได้บอกกับผู้คุมว่าตนเองเป็นเกย์ เพื่อที่ได้รับการปฎิบัติที่แตกต่างไปจากผู้ต้องขังทั่วไป แต่เนื่องจากกลุ่มที่ผู้ต้องขังรายนั้นไปอยู่ด้วย เป็นกลุ่มที่เปิดซุ้ม เพื่อขายบริการทางเพศ จึงมีขาใหญ่มาติดต่อผู้ต้องขังรายดังกล่าวเพื่อที่จะรับไปดูแล และพูดคุยถึงผลประโยชน์ที่ดีกว่าที่จะได้รับ หากผู้ต้องขังรายนั้นไปอยู่กับขาใหญ่ที่มาติดต่อ จึงทำให้เขายินยอม และเมื่อถึงเวลาเข้าซุ้ม ทุกอย่างก็เป็นไปด้วยความเรียบร้อย แต่หลังออกจากซุ้มผู้ต้องขังรายดังกล่าวกลับกลายเป็นคนเสียสติไปเลย
เรื่องราวของการล่วงละเมิด สำหรับบอสมองว่าเป็นเรื่องยากที่จะจัดการควบคุม เพราะมีอำนาจสองชั้นที่ซ้อนกันอยู่ภายในเรือนจำ แน่นอนผู้ว่าคุมอาจจะช่วยให้ผู้ที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศรอดพ้นจากความรุนแรงดังกล่าว โดยการย้ายแดนให้ผู้ต้องขังไปอยู่แดนอื่น แต่อำนาจอิทธิพลของขาใหญ่ที่อยู่ร่วมกันภายในเรือนจำด้วยกันก็ยังคงอยู่ และไม่ใช่เรื่องยากที่ขาใหญ่จะส่งคนเข้าไปซ้อมผู้ที่นำเรื่องไปฟ้องผู้คุม จนทำให้ตัวเองได้รับโทษ
หลายคนอาจมองว่า การจัดการกับผู้มีอิทธิพลภายในเรือนจำจะสามารถช่วยให้ลดปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศได้ หรือลดปัญหาการขายบริการทางเพศในคุกได้ แต่สิ่งหนึ่งที่บอสบอกกับเราคือ “นี่เป็นปัญหาในเชิงระบบ มากกว่าปัญหาเชิงบุคคล”
บอสมองว่า ปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศ ปัญหาโรคติดต่อทางเพศ และการขายบริการทางเพศ อาจจะลดน้อยลง หากเรือนจำเปิดโอกาสให้ผู้ต้องขังมีสิทธิที่จะอยู่ร่วมกับคู่ครองได้อย่างน้อยปีละหนึ่งถึงสองครั้ง
เปิดโอกาสให้ผู้ต้องขังมีเซ็กส์กับแฟนที่มาเยี่ยม ลดโอกาสเกิดปัญหาหลายด้านในเรือนจำ
“คนข้างในเขาก็อยากให้มีเยี่ยมญาติแบบใกล้ชิด เหมือนคุกต่างประเทศที่นักโทษชั้นดีจะมีสิทธิได้อยู่กับภรรยาอย่างใกล้ชิด ทุกวันนี้เวลาเข้าเปิดให้เยี่ยมญาติใกล้ชิดปีละสอง สามครั้ง คือก็มานั่งแบบเห็นหน้ากัน จับตัวกันได้ บางคนคิดถึงเมียมากก็กอด หอมแก้ม จับนม จับ.... จับ... มันมีหมดแหละ เพียงแต่ว่ามันไม่ได้สีกัน มันเป็นเรื่องปกติมากเลยนะ นักโทษก็คือคนปกตินั่นแหละ เหมือนพวกคุณนี่แหละ อยากสี อยากเซิ้ง” บอส กล่าว
บอสเล่าว่า เรื่องการเปิดโอกาสให้ผู้ต้องขังมีเซ็กส์กับแฟนหรือภรรยา เป็นหนึ่งในหลายสิ่งที่ผู้ต้องขังต้องการ แต่ก็ไม่ได้มีการเรียกร้องอะไรอย่างจริงจังจากคนภายในเรือนจำ มีแต่เพียงการมานั่งคุยปรับทุกข์ซึ่งกันและกัน
“ไม่เคยมีการเรียกร้องอะไรจริงจังนะ มีก็แต่มาปรับทุกข์กันมาคุยกัน ว่าน่าจะมีให้ปีหนึ่งสักวันหนึ่ง สักคนละ 10 นาที 15 นาที ผมออกมาแล้วผมก็คิดว่ามันควรมี เพราะอะไร เพราะคนคุกมันถูกทรมาน อะไรที่เป็นทางออกจากความทรมานล่ะ ง่ายที่สุดคือการที่คุณมีคนรัก การได้อยู่กับคนที่คุณรัก การมีเซ็กส์ด้วยความรัก อย่าว่าแต่มีเซ็กส์กับเมียเลย แค่จดหมายจากเมียเข้ามาฉบับหนึ่ง เขาก็เฮดีใจกันทั้งแดน แซวกัน มีความสุข
“ลึกๆ ในใจของนักโทษที่มีเมียอยู่แล้ว เขาอยากให้มันเป็นแบบนั้น คุณอย่าไปทำเขาอย่างกับเป็นวัวเป็นควาย ควายมันก็ยังเป็นสัดได้ หมามันก็ยังเซิ้งกันได้ ทำไมคนเราถึงเซิ้งกันไม่ได้ การมาห้ามหรือปิดกั้นแบบนี้ คำถามคือมันเกี่ยวข้องอะไรกับความผิดของเขา มันไม่ใช่การเข้าวัดไปบวช การที่ให้เขาได้อยู่กับคนรัก มันเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำมันคือ การช่วยบำบัดจิตใจ มันจะช่วยคืนคนดีสู่สังคมจริง เพราะเขาคิดว่ายังเป็นมนุษย์อยู่ เล็กๆ น้อยๆ ถ้ามันทำให้เขายังรู้สึกเป็นมนุษย์ได้ก็ทำหน่อยเถอะ จะอ้างว่ากลัวเขาแอบส่งยา ส่งสิ่งผิดกฎหมาย แต่ทำไมคุกประเทศอื่นเขาทำได้ ประเทศไทยทำไม่ได้ ระบบการตรวจสอบมันก็มี แต่จริงๆ เขาคงทำไม่ไหว เพราะเท่าที่เป็นอยู่ผู้คุมก็แย่แล้ว นักโทษมันเยอะจนจะล้นคุกอยู่แล้ว”
แต่ดูเหมือนว่าการให้เยี่ยมญาติอย่างใกล้ชิดในแบบที่ผู้ต้องขังหลายคนต้องการ จะเป็นไปได้ยาก เนื่องจากปัญหาเรื่องจำนวนผู้ต้องขังที่มากเกินกว่าเรือนจำจะรับไหว ประกอบกับการที่เรือนจำมีบุคลากรที่คอยดูแลผู้ต้องขังอยู่ในจำนวนที่ไม่สมสัดส่วน และหลายเรือนจำไม่มีพื้นที่สำหรับที่จะจัดการให้ผู้ต้องขังมีเซ็กส์กับแฟน หรือภรรยาได้
“บุคลากรมีแค่นี้ เขาก็ทำแค่นี้ ราชการเขาคงคิดได้เท่านี้แหละ เขาไม่มามองหรอกว่าต้องทำให้คุณรู้สึกว่าคุณยังเป็นมนุษย์อยู่ ร้ายที่สุดเขาไม่เห็นคุณเป็นคนเสียด้วยซ้ำ แม้แต่เวลาเข้าหานายคุณยังต้องคลานเข่าเข้าไป แต่นายบางคนเขาก็เข้าใจเรื่องพวกนี้อยู่ อย่างบางคนนายรู้ว่าคบกัน เขาก็ให้ไปคุมกองงานที่มีมุมลับตา ให้โอกาสได้เขาได้ไปมีเซ็กส์กัน” บอสกล่าว
อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอเรื่องการเปิดโอกาสให้ผู้ต้องขังสามารถมีเซ็กส์กับแฟน หรือภรรยา ไม่ได้เป็นข้อเสนอที่เกิดขึ้นลอยๆ หากแต่เคยมีผู้ที่ทำงานวิจัยและนำเสนอข้อเสนอดังกล่าวนี้แล้วเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2557 โดย รศ.ดร.ศิริวรรณ ไกรสุรพงศ์ อาจารย์ภาควิชาสังคมและสุขภาพ คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยผลการศึกษาวิจัยเรื่อง ‘เพศในคุก’ ว่าจากมูลเหตุปัญหาของสภาวะสุขภาพนักโทษทั่วโลกที่พบมีอัตราการติดเชื้อเอชไอวี ไวรัสตับอักเสบ และวัณโรค สูงกว่าคนทั่วไปหลายเท่า ทั้งยังพบการติดยาเสพติดและสุราจำนวนมาก จึงหยิบยกเป็นประเด็นศึกษาถึง ‘เพศในคุก’[5]
งานวิจัยดังกล่าว เป็นการทบทวนค้นคว้าข้อมูลงานวิจัยที่เกี่ยวกับวิถีทางเพศ ความสัมพันธ์ทางเพศ และความรุนแรงทางเพศที่เกิดขึ้นในเรือนจำประเทศไทยช่วงปี 2543 เป็นต้นมา พบงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงเป็นวิทยานิพนธ์ 4 เรื่องและหนังสือ 1 เรื่องเท่านั้น ซึ่งมีงานวิจัยบ่งชี้ว่านักโทษมีความสัมพันธ์ทางเพศกันทั้งในคุกชายและคุกหญิง
“แม้ว่าเรื่องนี้จะถือเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับเรือนจำ แต่ทางปฏิบัติเกิดขึ้นจริงทั้งคุกในกรุงเทพฯ และจังหวัดอื่นๆ หลายแห่ง ซึ่งความสัมพันธ์ทางเพศในนักโทษไทยเกิดขึ้นเพื่อแลกเปลี่ยนสิ่งของเงินตรา ความพอใจทางเพศ การคุ้มครองความปลอดภัย การแสดงความเป็นอิสระจากกฎขององค์กร และเป็นการประคับประคองความรู้สึกในภาวะที่ต้องถูกจองจำ รูปแบบมีทั้งเพศสัมพันธ์ทางปาก ทางทวารหนัก การใช้วัตถุหรือส่วนของอวัยวะในร่างกายเป็นตัวช่วย” รศ.ดร.ศิริวรรณ กล่าว
อย่างไรก็ตาม มีรายงานชัดเจนว่ากลุ่มคนเหล่านี้ก่อนเข้าคุกไม่ได้เป็นผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศมาก่อน แต่เมื่อเข้าไปอยู่ในคุกแล้วไม่มีทางเลือก ถือเป็นความเลื่อนไหลทางเพศชั่วคราวเพื่อให้ตนมีความสุข เพราะคนเหล่านี้คิดว่าเป็นเพียงบทบาทสมมติที่เกิดขึ้นเฉพาะในคุก สังคมภายนอกไม่มีใครรับรู้ ในต่างประเทศมีรายงานเรื่องความสัมพันธ์ในแง่วิถีทางเพศระหว่างผู้คุมกับนักโทษด้วย โดยระบุถึงผู้คุมแสวงหาหรือฉกฉวยโอกาสในการหาความพึงพอใจทางเพศกับนักโทษเช่นกัน สำหรับประเทศไทยยังไม่มีรายงานวิจัยเรื่องนี้ แต่คาดว่าน่าจะมีเช่นกัน เพื่อเป็นการสร้างเงื่อนไขที่ทำให้นักโทษต้องจำยอม สิ่งเหล่านี้รอการศึกษาเปิดเผยทั้งหมด
รศ.ดร.ศิริวรรณ ระบุด้วยว่า สำหรับประเทศไทยยังไม่มีนโยบายที่ชัดเจนหรือการแทรกแซงที่มีประสิทธิภาพต่อวิถีทางเพศของนักโทษ อาจนำไปสู่การเกิดความรุนแรงทางเพศในนักโทษได้ง่าย องค์กรที่ทำงานเกี่ยวข้องกับนักโทษจึงต้องตระหนักวิถีทางเพศ เพศสัมพันธ์ และความรุนแรงทางเพศในนักโทษ และความเกี่ยวข้องกับสุขภาพ รวมถึงการระบาดของโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์และโรคเอดส์ในนักโทษซึ่งพบจำนวนมากขึ้น
“ไม่อยากให้มองเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ ถ้าจะเกิดขึ้นในคุกเป็นความผิดหรือเป็นเรื่องที่จะต้องจับกุม ทำร้ายหรือปิดบัง ต้องห้าม ความจริงเรื่องเพศในคุกสามารถใช้เป็นช่องทางที่ทำให้นักโทษบรรเทาภาวะต่าง ๆ ทางจิตใจได้ แต่ต้องขอย้ำว่าถ้าทั้งสองฝ่ายไม่ถูกบังคับ แต่เป็นความยินยอมพร้อมใจ คิดว่าน่าจะเปิดโอกาสให้” รศ.ดร.ศิริวรรณ กล่าว
แม้การมีเซ็กจะเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่อาจารย์ด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์มองว่า ผู้ต้องขังต้องรู้จักการป้องกัน เช่นที่ต่างประเทศจะมีการขอถุงยางอนามัยได้ และที่อยากให้เน้นมากซึ่งยังไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยคือ การเปิดโอกาสให้มีวันที่นักโทษได้อยู่กับคู่ครองร่วมกันอาจจะปีละ 2 วัน โดยคัดเลือกว่านักโทษประเภทไหนที่จะได้มีโอกาส เพราะในต่างประเทศมีการเปิดโอกาสให้คู่ที่แม้จะต้องโทษได้มีโอกาสอยู่ร่วมกัน เพราะเรื่องเพศเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่สังคมกลับมองว่านักโทษจะต้องถูกจำกัดสิทธิทั้งหมด,
[1] สุรชัย ถูกขังที่โรงเรียนพลตำรวจบางเขน สถานที่เดียวกับเรือนจำหลักสี่ คุมขังนักโทษการเมืองในปัจจุบัน ในวันที่ 29 มิถุนายน 2524 ก่อนจะนำมาขังที่เรือนจำบางขวางเมื่อ 27 พฤษภาคม 2525 จากนั้นวันที่ 21 ตุลาคม 2526 ศาลพิพากษาคดีเผาจวนผู้ว่าฯ นครศรีธรรมราช ก่อการจลาจลเป็นคดีแรก ลงโทษจำคุก 23 ปี ตามมาด้วยคดีคอมมิวนิสต์และปล้นรถไฟ ในวันที่ 29 มกราคม 2529 ซึ่งศาลทหารพิพากษาประหารชีวิต จากนั้นเขาทูลเกล้าฯ ขอพระราชทานอภัยโทษและได้รับพระเมตตาจากโทษประหารก็เหลือจำคุกตลอดชีวิตในปลายปีเดียวกันนั้นเอง สุรชัยอยู่ในเรือนจำเรื่อยมา ได้รับพระราชทานอภัยโทษในวาระต่างๆ เหมือนนักโทษโดยทั่วไปอีก 5 ครั้ง จึงสามารถออกจากเรือนจำได้ในกลางเดือน มิถุนายน 2539 รวมระยะเวลาในเรือนจำครั้งนั้น 16 ปี และสำหรับครั้งที่สองคือ ข้อหาหมิ่นสถาบัน อีก 2 ปี 7 เดือน (ระหว่าง. 22 ก.พ.54 – 4 ต.ค. 56 ) จากโทษจริง 12 ปี 6 เดือน โดยใช้ช่องทางเดิม (อ่าน คุยกับสุรชัย แซ่ด่าน : เห็นอะไรหลังสงครามในเมือง ในป่า และในคุก)
[2] ข้อมูลจากศูนย์เทคโนโลยีสื่อสารสนเทศ กองแผนงาน กรมราชฑัณฑ์ เข้าถึงได้ที่ http://www.correct.go.th/stat102/display/result_pdf.php?date=2015-12-24
[3] ข้อมูลเชิงสถิติจากรายงานข่าวเรื่อง เปิดคุก!! ชมการดูแลนักโทษกลุ่มหลากหลายทางเพศ เมื่อวันที่ 5 ก.ค. 2559
[4]ห้องน้ำในเรือนจำ จะเป็นห้องที่เปิดโล่งจากด้านบน โดยจะมีเพียงการก่อกำแพงขึ้นมากั้นจากพื้นสูงขึ้นมาระดับเอว
[5] ข้อเสนอเรื่องการเปิดโอกาสให้ผู้ต้องขังสามารถมีเซ็กกับแฟน หรือภรรยา เคยปรากกฎเป็นข่าว เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2557 ซึ่งเคยปรากฎบนเว็บไซต์ เดลินิวส์ออนไลน์ http://dailynews.co.th/regional/223719/index.html แต่ปัจจุบันไม่สามารถเข้าถึงได้ ทั้งนี้สามารถเข้าถึงได้ที่นี่
แสดงความคิดเห็น