เลือกตั้งสหรัฐฯ: 'ประชานิยมสายก้าวหน้า' เป็นทางออกจากโลกประชานิยมฝ่ายขวาหรือไม่
Posted: 23 Nov 2016 04:02 AM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เวบไซท์ประชาไท)
นักยุทธศาสตร์สายก้าวหน้าในสหรัฐฯ เสนอให้พรรคเดโมแครต เปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายในพรรคเพื่อให้เกื้อหนุนแนวคิด 'ประชานิยมสายก้าวหน้า' มุ่งสู่ความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจและสังคม เพื่อต่อกรกับกระแส 'ประชานิยมฝ่ายขวา' แบบโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ฉวยโอกาสในช่วงที่คนเบื่อหน่ายชนชั้นนำกลุ่มเดิม
ผู้สนับสนุนเบอร์นี แซนเดอร์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งผู้ตัวแทนพรรคเดโมแครต ที่ไปหาเสียงที่รัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนมีนาคม 2559 (ที่มา: แฟ้มภาพ/Gage Skidmore/Wikipedia)
23 พ.ย. 2559 โจนาธาน แมธธิว สมัคเคอร์ นักยุทธศาสตร์และการจัดตั้งทางการเมืองเขียนบทความเกี่ยวกับกระแส "ประชานิยม"สะท้อนเหตุการณ์ที่โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งในสหรัฐฯ และเสนอหนทางว่าจะทำเช่นไรที่จะเอาชนะได้ในยุคสมัยเช่นนี้
สมัคเคอร์วิจารณ์ทรัมป์ว่าเป็นผู้ที่โหนกระแสสร้างภาพให้ตัวเองดูเหมือนคนที่ต่อต้านอิทธิพลสถาปนาดั้งเดิมจากที่ผู้คนรู้สึกว่ากำลังเกิดวิกฤต อย่างไรก็ตามรัฐบาลทรัมป์จะเป็นฝันร้ายจากที่เขาใช้วิธีหาเสียงด้วยการเหยียดเพศและเหยียดเชื้อชาติจะสะท้อนออกมาผ่านการทำงานของเขาและสมัคเคอร์เองมองว่าทรัมป์จะทำในสิ่งที่เขาพูดโดยไม่ทำให้มันเบาลงอย่างที่หลายคนเชื่อเมื่อพิจารณาจากที่เขาแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีเป็นพวกฝ่ายขวาชวนให้มองอนาคตว่าน่าหวาดหวั่น แม้ว่าคนอเมริกันบางกลุ่มก็มีชีวิตที่เลวร้ายพออยู่แล้วยังต้องมาเจอพวกเหยียดเชื้อชาติ พวกกลุ่มสร้างความเกลียดชังเติบโตขึ้น มีเหตุการณ์อาชญากรรมจากความเกลียดชังเพิ่มขึ้นในประเทศ
สมัคเคอร์ตั้งข้อสังเกตอีกว่าสิ่งที่ทำให้ทรัมป์ดูมีพลังอำนาจมากกว่าเหล่าผู้นำพรรครีพับลิกันด้วยกันและพรรคเดโมแครตคือการที่เขาใช้เงินลงทุนหาเสียงน้อยกว่าครึ่งหนึ่งและมีผู้ไปลงคะแนนน้อยกว่า ดังนั้นสมัคเคอร์จึงบอกว่าถ้ามองทรัมป์เป็นภัยก็จงหาวิธีทำความเข้าใจว่าเขาได้รับอำนาจแบบนี้มาได้อย่างไรในยุคสมัย "ประชานิยม" เช่นนี้
ในบทความของสมัคเคอร์มองคำว่า "ประชานิยม" ในความหมายที่ไกลออกไปกว่าการแค่เอาใจประชาชนอย่างเดียว แต่คำว่าประชานิยมในความหมายของเขายังสื่อถึงยุคที่อำนาจทางการเมืองไม่ถูกมองว่าเป็นความชอบธรรมในสายตาของคนส่วนใหญ่อีกต่อไป ในแง่นี้บางครั้งจึงมีคนเรียกว่าเป็น "วิกฤตความชอบธรรม" (crisis of legitimacy) ในช่วงวิกฤตเช่นนี้เองที่การเคลื่อนไหวทางการเมืองทั้งฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาออกมาพยายามสร้างความนิยมจากพลังทางสังคม
พวกนักประชานิยมตามความหมายของสมัคเคอร์อธิบายว่าสาเหตุที่เกิดวิกฤตเช่นนี้เป็นเพราะอำนาจสถาปนาแบบดั้งเดิม (the establishment) และพยายามนำเสนอว่าตัวเองมีวิสัยทัศน์ใหม่ๆ ถึงแม้ว่าทั้งฝ่ายซ้ายและฝ้ายขวาจะใช้วาทศิลป์บางเรื่องคล้ายๆ กันเช่นการอ้างประชาชนและการอ้างอำนาจสถาปนาแบบดั้งเดิม แต่วิธีการของฝ่ายขวาจะเน้นการชวนให้โหยหาอดีตที่สร้างภาพว่าดีกว่าและพยายามรวมกลุ่ม "ประชาชน" ซึ่งในความหมายของฝ่ายขวา "ประชาชน" เป็นแค่คนบางกลุ่ม โดยใส่ร้ายและลดทอนความเป็นมนุษย์ของกลุ่มคนที่เป็นอื่น อย่าง คนดำ ชาวยิว ผู้มีความหลากหลายทางเพศ ผู้อพยพ ชาวเม็กซิกัน ชาวมุสลิม ฯลฯ
สิ่งที่ถูกมองว่าเป็นวิกฤตการณ์เกิดขึ้นเรื่อยๆ เสมอมาไม่ว่าจะเป็นสงครามอิรัก โครงสร้างสาธารณะที่เสียหาย พายุเฮอร์ริเคนแคทรินา ความไม่เท่าเทียมที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และที่ถูกนำมาอ้างถึงมากที่สุดคือวิกฤตการเงินปี 2551 แม้ว่าจะมีเสถียรภาพมากขึ้นแล้วแต่เหล่าสื่อและชนชั้นนักการเมืองก็ประเมินวิกฤตที่ซ่อนอยู่ต่ำเกินไปจนทำให้ประเมินความสำเร็จของผู้ที่ขบถในพรรคการเมืองสองพรรคใหญ่นี้ผิดพลาด
สมัคเคอร์ระบุว่าผู้ที่ขบถภายในพรรคทั้งสองพรรคนี้ต่างมีแนวทางประชานิยมต่างกันจากมุมมองของสายก้าวหน้าแล้ววิกฤตความชอบธรรมถือเป็นโอกาสในการฉกฉวยคำอธิบายเกี่ยวกับวิกฤตการณ์เพื่อท้าทายอำนาจชนชั้นนำจนเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง แต่วิกฤตเช่นนี้ก็เป็นอันตรายกับฝ่ายซ้ายที่ไม่ยอมฉกฉวยดอกาสเอาไว้ จากประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่าถ้าฝ่ายก้าวหน้าไม่สามารถวางัวเองร่วมกับกลุ่มพลังทางสังคมได้ในช่วงประชานิยม ฝ่ายขวาปฏิกิริยาก็จะฉวยโอกาสขึ้นนำอย่างรวดเร็วและส่งผลกระทบเลวร้าย
อย่างไรก็ตามสมัคเคอร์มองว่าไม่ควรจะชี้ว่าผลพวงของเรื่องนี้มาจากฝ่ายขวาแต่อย่างเดียว พรรคเดโมแครตเองก็มีโอกาสจะเล่นการเมืองแบบประชานิยมสายก้าวหน้าได้แต่ นักการเมืองสายก้าวหน้าทางเบอรนี แซนเดอร์ส ก็ถูกสกัดขาเอาไว้เสียก่อนเพราะถูกมองว่าคงไม่มีคนเลือกเขาแต่ในแง่นี้สมัคเคอร์มองว่าพรรคเดโมแครตขาดความเข้าใจในสมัยแบบประชานิยม การกีดกันแซนเดอร์สเสมอเป็นการส่งสารว่าพวกเขากีดกันคนที่ดูเป็นไก่รองบ่อน เป็นคนนอก เป็นขบถ ที่จะต่อต้านอิทธิพลสถาปนาดั้งเดิมซึ่งภาพลักษณ์นี้เลยตกไปอยู่กับทรัมป์แทน ขณะที่ฮิลลารีมีภาพลักษณ์เป็นตัวแทนของกลุ่มอำนาจเดิมจากการตัดสินใจของเธอในช่วงที่เธอเคยทำงานกับรัฐบาล
ในแง่นี้สมัคเคอร์ระบุว่าความผิดไม่ได้อยู่ที่ตัวคลินตันหรือการตัดสินใจส่วนตัวของเธอแต่อยู่ที่รากฐานพรรคเดโมแครตทั้งพรรคที่เอาตัวเองเข้าไปผูกกับวอลสตรีทและพวกชนชั้นมั่งคั่งที่มีอยู่ "ร้อยละ 1" พวกเขาไม่มีเนื้อหาที่จะสื่อถึงเรื่องปากท้องหรือสร้างแรงบันดาลใจชนชั้นแรงงานที่เคยเป็นฐานเสียงให้พวกเขามาก่อนขณะเดียวกันก็หันไปเอาใจกลุ่มการเงินและพวกเสรีนิยมใหม่ ยกตัวอย่างเช่น การรับเงินค่าปาฐกถาจากบรรษัทการเงินอย่างโกลด์แมน ซาคส์ จำนวน 225,000 ดอลลาร์ ทำให้ยากมากที่จะพูดเอาใจผู้คนได้
สมัคเคอร์กล่าวว่าแม้แต่แซนเดอร์สเองก็ไม่ใช่ผู้แทนในฝันสำหรับเขาและการณรงค์ของเขามีข้อผิดพลาดอยู่แต่ตัวเขาเองมีศักยภาพในการเบนเข็มพรรคเดโมแครตไปส่ความก้าวหน้าได้ เนื่องจากแซนเดอร์สเน้นเรื่องแก้ปัญหาความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจซึ่งเป็นพลังสายก้าวหน้ารวมถึงแซนเดอร์สยอมรับว่าระบอบการเมืองในตอนนี้ถูกโกงระบบให้รับใช้แต่คนรวยเท่านั้น
ข้อเสนอเบนเข็มจาก 'เสรีนิยมใหม่' ไปสู่แนวทางสายก้าวหน้า
บทความของสมัคเคอร์ยังระบุถึงภาพลักษณ์ที่คนมองฝายที่เรียกว่า "เสรีนิยม" (liberal) ในสหรัฐฯ ซึ่งในปัจจุบันมีแต่คนมองว่าหลายถึงเสรีนิยมในมิติด้านสังคมซึ่งเป็นพวกที่ถูกเอาไปโยงกับแนวคิดแบบชนชั้นนำ การถูกเอาไปโยงในทางลบเช่นนี้เป็นผมาจากการที่พวกอนุรักษ์นิยมพยายามทำให้เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับความหมายของ "เสรีนิยม" มาเป็นเวลานาน ทำให้คนมองภาพผิดๆ ว่าพวกเสรีนิยมจะหมายถึงพวกคนหนุ่มสาวที่ไม่รับผิดชอบและโตมากลายเป็นพวกคนรวยทำให้คนจนโดยเฉพาะคนขาวเข้าใจผิดและโยงพวกเสรีนิยมแบบผิดๆ ตามกันไป พวกอนุรักษ์นิยมยังได้ฉวยโอกาสนี้สร้างความหวาดกลัวและรวมกลุ่มคนขาวด้วยการอ้างว่าพวกเสรีนิยมมักจะให้สวัสดิการกับคนที่พวกเขาอ้างว่า "ขี้เกียจ" หรือ "เป็นอาชญากร" โดยเหมารวมไปถึงคนดำหรือคนผิวสีอื่นๆ (ทั้งที่ในเชิงข้อมูลแล้วคนที่รับสวัสดิการเป็นคนขาวเสียส่วนใหญ่) ทำให้พวกคนขาวชนชั้นกลางหันมาต่อต้านระบบสาธารณะและสวัสดิการสังคม
กระนั้นสิ่งที่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมน่าจะโจมตีได้ข้าเป้าคือเรื่องที่ฝ่ายเสรีนิยมส่วนหนึ่งของสหรัฐฯ ในปัจจุบันเป็นพวกชนชั้นนำโดยโยงถึงกลุ่มนิวดีล ที่เป็นปีกสนับสนุนรัฐบาลเดโมแครตก่อตั้งมาตั้งแตเบบี้บูมเมอร์ที่โตขึ้นมาเป็นกลุ่มวิชาชีพสายความคิดสร้างสรรค์ที่มีความเป็นปัจเจกนิยมมากกว่ารุ่นพ่อแม่และมีแนวคิดอยากทำงานร่วมกับเสรีนิยมทางสังคม กับคนที่การศึกษาสูงๆ หรือในแวดวงคนรวย
กระนั้นสมัคเคอร์ก็ชวนทำความเข้าใจว่าการคิดว่าคนขาวทั้งชนชั้นล่างและชนชั้นกลางที่โหวตให้ทรัมป์เพียงเพราะพวกนี้เกลียดเสรีนิยมใหม่และเกลียดชาวเสรีนิยมผู้มีการศึกษานั้นเป็นความคิดที่ผิด พวกเขาต้องยอมรับกันว่าการที่ทรัมป์หาเสียงด้วยแนวคิดเหยียดเชื้อชาติมีเหตุผลเชิงยุทะวิธีอยู่และนั่นหมายความว่าคนขาวที่โหวตให้ทรัมป์จำนวนมากมีความคิดแบบเหยียดเชื้อชาติสำหรับบางคนก็ฝังอยู่ใยระดับจิตใต้สำนึก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าแนวคิดการเหยียดเชื้อชาติจะเป็นปัจจัยเดียว มันมีทั้งปัจจัยเรื่องการเกลียดเสรีนิยมและการมีแนวคิดเหยียดเชื้อชาติผสมกันซึ่งการที่พวกฝ่ายขวานำมาใช้ถือเป็นอันตราย (นั่นรวมถึงการเหยียดเพศด้วย)
แล้วสิ่งใดที่จะมาบ่อนเซาะประชานิยมแบบขวาๆได้ สมัคเคอร์ระบุว่ามันคือประชานิยมแบบก้าวหน้า ฝ่ายก้าวหน้าต้องหันมาพูดเรื่องกลุ่มแรงงาน ภาวะเศรษฐกิจถดถอย มากกว่านี้ ต้องหาทางเปิดโปงว่าทรัมป์เป็นคนที่แค่อ้างประชานิยมเพื่อหาผลประโยชน์ใส่ตัวเท่านั้นเพราะทรัมป์เองก็เป็นหนึ่งในชนชั้นเศรษฐี และต้องไม่ลืมว่ายังมีคนอีกมากกว่าร้อยละ 43 ที่มีสิทธิเลือกตั้งในสหรัฐฯ ไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งครั้งล่าสุด ซึ่งสมัคเคอร์มองว่ามีโอกาสอย่างมากที่แม้แต่คนโหวตให้ทรัมป์จะหันมาโหวตให้แซนเดอร์สถ้าหากแซนเดอร์สได้เป็นตัวแทนแทนฮิลลารีจากตัวเลขคะแนนช่วงเลือกตัวแทนพรรคและเป็นเพราะแซนเดอร์สเชื่อมโยงผู้คนไว้ได้ทั้งประสบการณ์ ความคับข้องใจ และแรงบันดาลใจ
ในขณะที่ประชานิยมฝ่ายขวาแบบทรัมป์จะมีการเอาความยุติธรรมทางเศรษฐกิจมาอ้างทำลายความยุติธรรมทางเชื่อชาติสีผิว แต่ประชานิยมแบบก้าวหน้าในความคิดของสมัคเคอร์จะเน้นทั้งความยุติธรรมทางเชื้อชาติและความยุติธรรมทางเศรษฐกิจ โดยเน้นเรื่องความหลากหลายและนำขบวนการเคลื่อนไวคนรุ่นใหม่อย่าง "ชีวิตคนดำก้มีความหมาย" (Black Lives Matter) กับกลุ่มเคลื่อนไหวด้านความยุติธรรมทางเศรษฐกิจอย่างกลุ่ม "ยึดวอลล์สตรีท" (Occupy Wall Street) ซึ่งไม่ใช่งานง่ายแต่จำเป็นต้องทำ
ในแง่ของพรรคเดโมแครตเองนั้นสมัคเคอร์บอกว่าควรมีการเปลี่ยนตัวผู้เล่นส่วนหนึ่งและส่วนที่เหลือประชาชนต้องคอยเรียกร้องผลักดันเพื่อโน้มน้าวให้พวกเขาหันมาสู่แนวทางประชานิยมสายก้าวหน้า แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าผู้นำพรรคเดโมแครตในตอนนี้อาจจะไม่เข้มแข็งพอและต้องล้มอย่างหนักสักครั้งหนึ่งซึ่งเป็นการรวมความล้มเหลวมาตั้งแต่ในอดีตที่ไม่ต่อสู้เพื่อคนทำงานและไม่สามารถส่งแรงหนุนให้คนทำงานไปเลือกตั้งได้
"ถ้าหากฝ่ายซ้ายกลางแบบกว้างๆ ต้องการชนะการเลือกตั้งวุฒิสมาชิกในปี 2561 และการเลือกตั้งในปี 2563 พร้อมทั้งพยายามจำกัดวงความเสียหายไปในขณะเดียวกัน ฝ่ายก้าวหน้าต้องเป็นกลุ่มวางกรอบการต่อสู้แบบที่คนนิยม กาจะทำเช่นนี้ได้ฝ่ายก้าวหน้าต้องขับออก โน้มน้าว หรืออย่างน้อยก็พลิกแพลงเอาชนะการนำแบบผิดพลาดในปัจจุบันของพรรคเดโมแครตให้ได้" สมัคเคอร์ระบุในบทความ
อย่างไรก็ตามสมัคเคอร์มองว่าเป็นเรื่องยากที่กลุ่มผู้นำในพรรคเดโมแครตดั้งเดิมจะยอมรับว่าตัวเองผิดหรือยอมถอยออกไป ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมจึงต้องมีบทบาทในการผลักดันให้การเปลี่ยนแปลงภายในพรรคเกิดขึ้นด้วย สายก้าวหน้าในพรรคต้องหารือกันกับกลุ่มขบวนการระดับรากหญ้าซึ่งจะเป็นการทำให้เส้นแบ่งระหว่างขบวนการเคลื่อนไหว พรรคการเมือง และอำนาจรัฐพร่าเลือนลง ทำให้สหรัฐฯกลายเป็นประเทศที่เอื้อประโยชน์ให้กับประชาชนทุกคน
เรียบเรียงจาก
How to win in populist times, Jonathan Matthew Smucker, Waging Nonviolence, 11-11-2016 http://wagingnonviolence.org/feature/win-populist-times/
ข้อมูลเพิ่มเติมจาก
https://en.wikipedia.org/wiki/New_Deal_coalition
แสดงความคิดเห็น