ทนายความจำเลยคดีเกาะเต่ายื่นอุทธรณ์คำพิพากษาประหารชีวิต
คำอุทธณ์คัดค้านความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐานดีเอ็นเอ โดยระบุว่าการเก็บทดสอบ วิเคราะห์ หรือรายงาน ไม่เป็นไปตามมาตรฐานสากล และอาจเกิดการปนเปื้อน
คณะทนายความอาสาจากสภาทนายความ ตัวแทนของนายซอ ลิน เเละนายไว เพียว แรงงานชาวเมียนมาทั้งสองรายซึ่งตกเป็นจำเลยในคดีฆาตกรรมและข่มขืน น.ส.ฮันนาห์ วิทเตอร์ริดจ์ นักท่องเที่ยวหญิงชาวอังกฤษ และคดีฆาตกรรมนายเดวิด มิลเลอร์ นักท่องเที่ยวชายชาวอังกฤษ ซึ่งเกิดขึ้นบนเกาะเต่าของไทยเมื่อปี 2557ยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดเกาะสมุย วันนี้ (23 พ.ค.) เพื่ออุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่สั่งลงโทษประหารชีวิตจำเลยทั้งสองเมื่อวันที่ 24 ธ.ค.2558
คำฟ้องอุทธรณ์มีทั้งหมด 198 หน้า และใช้เวลาดำเนินการมากกว่า 5 เดือน โดยได้รับความร่วมมือจากคณะทนายความ สภาทนายความ นักแปลชาวเมียนมา ออสเตรเลีย และอังกฤษ พร้อมทั้งผู้ช่วยเหลือและที่ปรึกษา และเนื้อหากว่าครึ่งเป็นการคัดค้านประเด็นหลักการเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐานดีเอ็นเอที่ศาลจังหวัดเกาะสมุยตัดสินว่าสิ้นสงสัยตามหลักสากล
ฝ่ายจำเลยยืนยันว่าหลักฐานที่อ้างว่ามาจากก้นบุหรี่ น้ำอสุจิ และน้ำลาย ไม่สามารถเชื่อถือรับฟังเเละไม่ควรนำมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของคำพิพากษา เพราะการเก็บทดสอบ วิเคราะห์ และ/หรือรายงาน ไม่เป็นไปตามมาตรฐานสากลทางด้านนิติวิทยาศาสตร์ ได้แก่ ISO17025 และ ILAC G19 ซึ่งศาลยอมรับว่าอาจเกิดการปนเปื้อนของดีเอ็นเอ แต่ก็ไม่มีการส่งการทดสอบทางนิติวิทยาศาสตร์ให้ศาล มีแต่การสืบพยานด้วยวาจาซึ่งเป็นพยานบอกเล่า
คำฟ้องอุทธรณ์ระบุด้วยว่าศาลจังหวัดเกาะสมุยอาจพิพากษาผิดพลาดโดยไม่ได้รับฟังข้อโต้แย้งของฝ่ายจำเลย และการดำเนินคดีก่อนฟ้องไม่ชอบด้วยกฎหมาย กระบวนการสอบสวนหลังจับกุมและแจ้งข้อหาไม่ถูกต้อง มีการสอบสวนในฐานะพยาน แต่กลับมีคำรับสารภาพในคดีฆ่าและข่มขืนกระทำชำเรา จำเลยไม่มีทนายความหรือบุคคลที่จำเลยไว้ใจร่วมอยู่ในการสอบสวน ไม่มีการแจ้งสิทธิของผู้ต้องหาหรืออธิบายลักษณะข้อหาอันเป็นเหตุในการจับกุม ไม่มีการจัดล่ามแปลหรือทนายความ การนำตัวอย่างดีเอ็นเอไปตรวจไม่ได้เกิดจากความสมัครใจ และจำเลยยังระบุด้วยว่าถูกทรมานและข่มขู่ ทำให้คำสารภาพที่เป็นลายลักษณ์อักษรหรือเอกสารอื่นๆ ที่ถูกบังคับให้ลงชื่อ เป็นพยานหลักฐานที่ไม่อาจรับฟังได้
นอกจากนี้ จำเลยไม่เกี่ยวข้องกับอาวุธที่ใช้ก่อเหตุฆาตกรรม (จอบ) เพราะไม่ปรากฏดีเอ็นเอของจำเลยที่จอบ แต่ปรากฏข้อมูลดีเอ็นเอของบุคคลอื่นแทน ขณะที่สำนวนของโจทก์ขาดหลักฐานชิ้นสำคัญที่จำเป็นในการพิสูจน์ความผิดของจำเลย ไม่ว่าจะเป็น ภาพถ่ายสถานที่เกิดเหตุ รายงานการชันสูตรพลิกศพ ขั้นตอนกระบวนการวิเคราะห์ดีเอ็นเอ เอกสารเกี่ยวกับหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ที่อยู่ในความควบคุม และบันทึกห้องปฏิบัติการเกี่ยวกับการวิเคราะห์ดีเอ็นเออย่างละเอียด ส่วนเสื้อผ้าและผิวตามร่างกายของผู้ตายเพศหญิงที่คาดว่าจะมีร่องรอยดีเอ็นเอสำคัญของผู้กระทำผิด ยังไม่ถูกตรวจสอบหรืออาจมีการตรวจสอบแต่ไม่นำมารวมอยู่ในสำนวนคดีของโจทก์หรืออ้างในบัญชีระบุพยาน ซึ่งดูน่าสงสัย
ด้านนางเมย เตียน เเละนางพิว ฉ่วย นุ มารดาของจำเลยทั้งสองซึ่งเดินทางจากรัฐยะไข่ของเมียนมามายังไทยเมื่อสัปดาห์ก่อนได้อยู่ร่วมขณะยื่นอุทธรณ์ด้วย ต่อจากนั้นจะไปเยี่ยมบุตรชายที่เรือนจำบางขวางที่ จ.นนทบุรี ซึ่งจำเลยทั้งสองถูกขังตั้งแต่เดือน ม.ค.ที่ผ่านมา
(ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ)


แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.