อพยพครู ปิดโรงเรียนในออสเตรเลีย หลังเด็กก่อเหตุรุนแรง

บีบีซีไทย - BBC Thai

อพยพครู ปิดโรงเรียนในออสเตรเลีย หลังเด็กก่อเหตุรุนแรง

ทางการออสเตรเลียสั่งอพยพกลุ่มครูและสั่งปิดโรงเรียนประถมที่ชุมชนชาวอะบอริจินแห่งหนึ่ง ในรัฐควีนส์แลนด์เป็นการชั่วคราว หลังเยาวชนในท้องถิ่นก่อเหตุไม่สงบอย่างต่อเนื่อง

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นที่ชุมชนชาวอะบอริจินในเมืองออเราคุน ซึ่งเป็นพื้นที่ชนบทห่างไกลในเมืองเคปยอร์ค รัฐควีนส์แลนด์ ผู้สื่อข่าวบอกว่า ชุมชนแห่งนี้มักมีปัญหาความไม่สงบอยู่เนืองๆ โดยเหตุไม่สงบครั้งล่าสุดเริ่มขึ้นเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน เมื่อเยาวชนกลุ่มหนึ่งถูกกล่าวหาว่าพยายามบุกเข้าบ้านพักครู 2 หลัง และใช้ขวานข่มขู่ครูใหญ่แล้วขโมยรถยนต์ไป ส่งผลให้ทางการสั่งอพยพครู 25 คนออกจากพื้นที่ แต่ส่วนใหญ่เดินทางกลับไปทำงานในโรงเรียนอีก

แต่แม้ว่าทางการจะระดมกำลังตำรวจและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเข้าไปดูแลความเรียบร้อย ครูใหญ่กลับถูกเด็กใช้มีดดาบจี้ชิงรถยนต์เป็นครั้งที่สองเมื่อวันพุธที่ผ่านมา (25 พ.ค.) และมีรายงานว่าเยาวชนซึ่งบางคนมีอายุเพียง 6 ขวบตระเวนไปตามบ้านเรือนชาวบ้านในยามวิกาลพร้อมกับใช้ก้อนหินปาใส่ ส่งผลให้ล่าสุดทางการรัฐควีนส์แลนด์ต้องส่งเครื่องบินไปรับคณะครูของโรงเรียนประถมแห่งนี้ออกจากพื้นที่ พร้อมสั่งปิดทำการโรงเรียนไปจนถึงเดือน ก.ค.

ผู้สื่อข่าวชี้ว่า เหตุการณ์ล่าสุดแสดงการตกต่ำของชุมชนชาวอะบอริจินแห่งนี้ที่มีประวัติใช้ความรุนแรงอย่างต่อเนื่องจากปัญหาหลายอยา่งที่ซับซ้อน อาทิ ความขัดแย้งของคนในชุมชนที่แตกออกเป็น 5 กลุ่ม รวมทั้งปัญหาการติดสุรา ยาเสพติด และปัญหาครอบครัวแตกแยก เด็กจำนวนไม่น้อยถูกพ่อแม่ทอดทิ้งให้อยู่กับปู่ย่าตายายหรือญาติพี่น้องที่ไม่สามารถควบคุมเด็กได้

สมาชิกในชุมชนและเจ้าหน้าที่ด้านสังคมสงเคราะห์ต่างบอกว่า คนส่วนใหญ่ในชุมชนแห่งนี้ซึ่งมีประชากรราว 1,300 คนปฏิบัติตามกฎหมาย แต่เหตุไม่สงบครั้งนี้เกิดจากกลุ่มเยาวชนราว 30 คนเท่านั้น กลุ่มสตรีสูงอายุในชุมชนออกจดหมายแสดงความไม่พอใจต่อคำสั่งปิดโรงเรียนชั่วคราว พร้อมวิจารณ์มาตรการรักษาความสงบเรียบร้อยที่ไม่เด็ดขาดของทางการโดยเฉพาะตำรวจที่ไม่เข้าแทรกแซงเมื่อมีการก่อเหตุ เพราะก่อนหน้านี้มีการปล่อยคลิปวิดีโอที่ตำรวจยืนดูการทะเลาะวิวาทของชาวบ้านโดยไม่เข้าไประงับเหตุ แต่ตำรวจกล่าวปกป้องการทำงานของตน โดยชี้ว่าความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนของชาวพื้นเมืองในชุมชนแห่งนี้ทำให้เกรงว่าการเข้าไปแทรกแซงของเจ้าหน้าที่จะทำให้เหตุการณ์ลุกลามได้