จัดยิ่งใหญ่! ซิดนีย์จุดพลุดอกไม้ไฟต้อนรับปี2561
.
โดยในปีนี้จัดงานในธีมสายรุ้งเพื่อต้อนรับการลงประชามติเห็นชอบกับการเปลี่ยนแปลงกฎหมายให้รับรองแต่งงานของคนเพศเดียวกัน
.
ภาพAFP-REUTERS









[full-post]


Watana Muangsook

“คนดี”

การเปิดบ้านสี่เสาของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เจ้าของวลี “เลิกคบค้าและเลิกไหว้คนโกง” ให้พลเอกประยุทธ์และคณะเข้าอวยพรปีใหม่ได้สร้างความสับสนให้สังคม เพราะคนที่มาอวยพรมีทั้งพวกที่ยึดอำนาจที่ประชาคมโลกถือว่าเป็นความเลวขั้นอุกฤษณ์ บางประเทศจึงรังเกียจไม่ยอมให้ทั้งเจ้าตัวและลูกเมียเข้าประเทศ ยังมีพวกไม่รักษาสัจจะ ไม่เคารพกฎหมาย ละเมิดสิทธิมนุษยชน บางคนเกษียณแล้วยังอยู่บ้านหลวง บางคนไม่อาจชี้แจงที่มาของทรัพย์สิน ทั้งหมดคือ “คนดี” ที่พลเอกเปรมคบค้าเปิดบ้านต้อนรับ

สังคมไทยถูกฉาบด้วยวาทกรรม “คนดี” ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อประโยชน์ทางการเมือง ใช้ทำลายฝ่ายตรงข้ามและยังเป็นข้ออ้างในการยึดอำนาจ ในขณะที่ประชาชนต้องรับเคราะห์เพราะได้คนไร้สติปัญญามาบริหารประเทศ โชคดีที่เป็นสังคมออนไลน์ทำให้ประชาชนได้เห็นพฤติกรรมของเหล่าคนดีที่เริ่มจนตรอก บางคนลอยหน้าลอยตาอบรมคนอื่นแต่รับเงินจากผู้กระทำความผิดฐานฟอกเงิน หรือเจ้าของวลีแหวนแม่ นาฬิกาเพื่อน กลายเป็นผู้อบรมข้าราชการให้สร้างความโปร่งใสในการทำงานให้ประชาชนเชื่อมั่น

นักการเมืองคือเป้าหมายที่คนดีสุมหัวจ้องทำลาย ซึ่งต้องยอมรับว่านักการเมืองมีทั้งคนดีและคนไม่ดี มีทั้งกลุ่มคนที่เคยเรียกทหารออกมายึดอำนาจ หรือไม่มีอุดมการณ์ และพวกที่ต่อสู้กับเผด็จการเพื่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชน อย่างไรก็ตามนักการเมืองจะเข้าสู่อำนาจได้ก็ต้องผ่านการเลือกตั้งและถูกตรวจสอบได้ ต่างจากพวกคนดีที่ยึดอำนาจแล้วนิรโทษกรรมตัวเองหนีการตรวจสอบ รวมทั้งใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือจัดการฝ่ายตรงข้ามที่กล้าวิจารณ์ตัวเอง ถึงเวลาหรือยังที่สังคมไทยจะหันมาให้คุณค่ากับประชาธิปไตย เคารพสิทธิและเสรีภาพของประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจ มีความรับผิดชอบ ซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพของตนและไม่ยอมให้ผู้มีอำนาจใช้เป็นเครื่องมือ ปีใหม่ 2561 เลิกนับถือคนดีจอมปลอมเป็นของขวัญให้กับตัวเองจะเกิดความเป็นสิริมงคลกับชีวิต โชคดีทุกท่านครับ

วัฒนา เมืองสุข
30 ธันวาคม 2560


Posted: 28 Dec 2017 09:18 PM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)

ปฏิเสธไม่ได้ว่ามี 'การกีดกันเพศหญิง' ในหลายพื้นที่ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ศาสนาที่กำลังเป็นข้อถกเถียงในโซเชียลมีเดียไทย ขณะเดียวกันในตะวันตกยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (Renaissance) ก็มีการกีดกันผู้หญิงออกจากพื้นที่ศิลปะ แต่ก็มีกลุ่มสตรีเรียกร้องให้มีการนำภาพจากฝีมือศิลปินหญิงในยุคนั้นมาจัดแสดงในเมืองแห่งศิลปะอย่างฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี ได้เป็นผลสำเร็จ

28 ธ.ค. 2560 คำว่า "จิตรกรชั้นครู" (Old Master) มักจะใช้เรียกขานศิลปินชายที่ได้รับความสนใจจากนักประวัติศาสตร์ศิลปะเท่านั้น ผู้สะสมศิลปะและพิพิธภัณฑ์ให้ความสนใจกับศิลปินหญิงน้อยมาก แม้ว่าในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการหรือ "เรเนสซองส์" (Renaissance) ที่อิตาลีจะมีศิลปินหญิงที่มีความสามารถก็ตาม

อย่างไรก็ตาม จากการเคลื่อนไหวของกลุ่มสตรีนิยมกลายเป็นแรงบันดาลใจให้เออิเก ชมิดต์ ผู้อำนวยการของพิพิธภัณฑ์อุฟฟิซี ในฟลอเรนซ์ นำภาพศิลปินหญิงที่ถูกซ่อนอยู่ในกรุผ่านยุคสมัยมานาน ออกมาจัดแสดงให้เห็นในเมืองที่ได้ชื่อว่าเป็น "แหล่งกำเนิดของเรเนสซองส์"

กลุ่มที่เป็นแรงบันดาลใจให้ชมิดต์คือกลุ่มนักกิจกรรมศิลปะสตรีนิยม "กอริลาเกิร์ลส์" ที่เคยบอกกับชมิดต์ว่าพิพิธภัณฑ์จำนวนมากมีผลงานของศิลปินหญิงอยู่แต่มันถูกเก็บลืมอยู่ในโกดัง ทำให้ชมิดต์กลับไปค้นพบว่าพิพิธภัณฑ์ของเขามีผลงานของผู้หญิงช่วงก่อนยุคคริสต์ศตวรรษที่ 19 อยู่มากที่สุด และนำออกจัดแสดงเป็นครั้งแรก โดยเขายังมีแผนการจัดแสดงผลงานเหล่านี้ในวันที่ 8 มี.ค. ของทุกๆ ปี ซึ่งตรงกับวันสตรีสากล

เรื่องนี้ไม่ใช่แค่การปรับเปลี่ยนมุมมองศิลปะในอดีตเท่านั้น ในฟลอเรนซ์ยังมีมูลนิธิเพื่อการพัฒนาศิลปินหญิง (AWA) ซึ่งก่อตั้งเมื่อ 10 ปีที่แล้วโดย เจน ฟอร์จูน คนรักศิลปะผู้เคยเขียนหนังสือเรื่อง "ผู้หญิงไร้ตัวตน ศิลปินที่ถูกลืมแห่งฟลอเรนซ์" มูลนิธิของเธอตั้งขึ้นเพื่อพยายามฟื้นฟู กอบกู้ และอนุรักษ์ศิลปะของผู้หญิงในอดีต และบางครั้งก็มีการให้ทุนจัดแสดงถ้าเป็นไปได้

ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา AWA ทำการฟื้นฟูศิลปะจากฝีมือศิลปินหญิงในประวัติศาสตร์มาแล้ว 40 ชิ้น แต่พวกเขาก็ยังคงมีปัญหาเรื่องทัศนคติของภัณฑารักษ์ที่มักจะถามกลับว่าทำไมต้องมีการฟื้นฟูศิลปะของศิลปินหญิงด้วย ลินดา ฟัลโคเน ผู้อำนวยการของ AWA บอกว่าศิลปินหญิงมักจะถูกหลงลืมจากประวัติศาสตร์แม้ว่าหลายคนจะประสบความสำเร็จมากในยุคสมัยของตัวเอง ในสมัยนั้นผู้หญิงที่อยากมีตัวตนในฐานะศิลปินมืออาชีพต้องพยายามประสบความสำเร็จในสมัยของเธอให้ได้

หนึ่งในจิตรกรหญิงสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 16 คือ เพลาทิลลา เนลลี เธอเป็นแม่ชีที่มีความทะเยอทะยานทางศิลปะ ฟัลโคเนมองว่าเรื่องนี้มีความสำคัญเพราะหญิงส่วนใหญ่ในยุคนั้นมักจะทำงานศิลป์ในสเกลเล็กมีแต่เนลลีที่สร้างผลงานสเกลใหญ่ได้แรงบันดาลใจจากคัมภีร์ไบเบิลชื่อ "The Last Supper" (เป็นคนละแบบกับฉบับของลีโอนาร์โด ดา วินชี) ที่มีขนาดยาว 21 ฟุต

ฟัลโคเนเล่าอีกว่าในยุคสมัยนั้นผู้หญิงไม่ได้รับอนุญาตให้เรียนหนังสือรวมถึงศิลปะทำให้เธอต้องฝึกฝนด้วยตนเอง อีกทั้งผู้หญิงยังถูกกีดกันไม่ให้เข้าร่วมสมาคมศิลปิน ทำให้พวกเธอไม่สามารถแลกเปลี่ยนบริการเป็นเงิน

ชมิดต์บอกอีกว่าการจัดแสดงในครั้งนี้นอกจากจะเป็นการนำเสนอผลงานของผู้หญิงในประวัติศาสตร์แล้วยังเป็นการฟื้นฟูประวัติศาสตร์ศิลปะในตัวมันเองด้วย ชมิดต์เปิดเผยว่างานจัดแสดงได้รับการตอบรับที่ดีมีคนต่อคิวเข้าชมอย่างล้นหลาม และสิ่งที่ถือว่า "ประสบความสำเร็จ" สำหรับยุคสมัยนี้คือมีคนมาถ่ายเซลฟีกับผลงานเหล่านั้น


เรียบเรียงจาก

In Florence, they're bringing the works of women artists out of the basement, PRI, 22-12-2017
https://www.pri.org/stories/2017-12-22/florence-theyre-bringing-works-women-artists-out-basement


ข้อมูลเพิ่มเติมจาก
https://en.wikipedia.org/wiki/Plautilla_Nelli

Posted: 28 Dec 2017 10:34 PM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)

ศาลสั่งจำคุก 6 คน กรณีหมิ่นฯ ผู้ว่าฯ ชลบุรี ปมประท้วงไม่ปลื้มพิธีวางดอกไม้จันทน์ สารภาพรอการลงโทษ 1 ปี พร้อมลงโฆษณาคำพิพากษาทางเฟซบุ๊กและสื่อท้องถิ่น รวบรวมพยานหลักฐานอีก 63 คน ให้ตำรวจแจ้งข้อหาและออกหมายเรียกต่อไป


เพจ Army Worldwide News โพสต์ภาพพร้อมรายงานว่า 20.34 น. เมื่อวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา กลุ่มประชาชนชาวชลบุรี ที่ไม่พอใจผู้ว่าฯ ชลบุรี ได้ตั้งแถวร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี ก่อนประกาศนัดรวมตัวกันใหม่กันในพรุ่งนี้ และแยกย้ายกลับบ้าน ด้านตำรวจและฝ่ายปกครองยังเฝ้าดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และยังไม่มีการใช้มาตรการสลายการชุมนุม
29 ธ.ค. 2560 มติชนออนไลน์ รายงานว่า วันนี้ ศาลจังหวัดชลบุรี ได้มีคำพิพากษาจำเลยในคดีลงข้อความประจานทางโลกโซเชียล ทำให้ ภัครธรณ์ เทียนไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี ได้รับความเสียหายดูหมิ่น เกลียดชัง และเสื่อมเสียชื่อเสียงทั้งหมด 6 คนคือ วิไล สูงสุด ลงโทษจำคุก 2 เดือน ปรับ 4,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ จึงได้ลงโทษจำคุก 1 เดือน ปรับ 2,000 บาท และปรากฏว่าไม่เคยจำคุกมาก่อนให้รอการลงโทษ 1 ปี และให้โฆษณาหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น 1 ฉบับ วิรุส สูงสุด ลงโทษจำคุก 2 เดือน ปรับ 4,000 บาท จำเลยรับสารภาพ จึงได้ลงโทษจำคุก 1 เดือน ปรับ 2,000 บาท และปรากฏว่าไม่เคยจำคุกมาก่อนให้รอการลงโทษ 1 ปี ปภังกร เลิศคุณานุกูล ลงโทษจำคุก 2 เดือน ปรับ 4,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ จึงได้ลงโทษจำคุก 1 เดือน ปรับ 2,000 บาท และปรากฏว่าไม่เคยจำคุกมาก่อนให้รอการลงโทษ 1 ปี และให้ลงโฆษณาคำพิพากษาทางเฟซบุ๊กของจำเลย

วิรินทร์ น้อมพิทักษ์เจริญ ลงโทษจำคุก 2 เดือน ปรับ 4,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ จึงได้ลงโทษจำคุก 1 เดือน ปรับ 2,000 บาท และปรากฏว่าไม่เคยจำคุกมาก่อนให้รอการลงโทษ 1 ปี และให้ลงโฆษณาของโทษในเฟซบุ๊กของจำเลย เจษฎา สุธัมมะ ลงโทษจำคุก 2 เดือน ปรับ 4,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ จึงได้ลงโทษจำคุก 1 เดือน ปรับ 2,000 บาท และปรากฏว่าไม่เคยจำคุกมาก่อนให้รอการลงโทษ 1 ปี และให้โฆษณาหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น 1 ฉบับ วรพรต ไทยอารี ลงโทษจำคุก 40 วัน ปรับ 2,666 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ จึงลงโทษจำคุก 20 วัน ปรับ 1,333 บาท และปรากฏว่าไม่เคยจำคุกมาก่อนให้รอการลงโทษ 1 ปี และให้ลงโฆษณาของโทษในเฟซบุ๊กของจำเลย ส่วนผู้ต้องหาที่เหลือ 63 คน กำลังรวบรวมพยานหลักฐาน หลังจากนั้นตำรวจจะได้แจ้งข้อหาและออกหมายเรียกต่อไป


ผู้ชุมนุมไล่ผู้ว่าฯ เมืองชล เหตุไม่ปลื้มพิธีวางดอกไม้จันทน์ สลายตัว หลัง จนท.เเจ้งเป็นความผิด
มท.1 ขออย่าจุดประเด็น ปมชาวชลบุรีโวยผู้ว่าฯ จัดพิธีวางดอกไม้จันทน์ไม่ดี
มท.1 ย้ายผู้ว่าฯ ชลบุรี-นนทบุรี หลัง ปชช.ไม่ปลื้มจัดวางดอกไม้จันทน์

กรณีดังกล่าวนั้น รายงานข่าวระบุว่า เกิดขึ้นที่มีประชาชนจำนวนมากมายได้มารวมตัวประท้วง และขับไล่ ภัครธรณ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี เนื่องมาจากการจัดงานพระราชพิธีถวายดอกไม้จันทน์ ที่บริเวณหน้าพระเมรุมาศจำลอง หน้าศาลากลางจังหวัดชลบุรี อ.เมือง จ.ชลบุรี ไม่สมพระเกียรติ และยังปล่อยให้ประชาชนยืนรอถวายดอกไม้จันทน์นานถึง 6-7 ชั่วโมง สร้างความไม่พอใจให้กับประชาชน และยังได้มีการเชิญชวนทางโลกโซเชียล ได้มารวมตัวกับบริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดชลบุรี พร้อมทั้งขับไล่ ตั้งแต่วันที่ 30 ต.ค. 2560 เป็นต้นมาอีกหลายวัน นอกจากนี้ยังมีประชาชนบางส่วนได้เขียนข้อความลงเฟซบุ๊ค ในโลกโซเชียล ลักษณะทำให้เกิดความเสียหาย ดูหมิ่น เกลียดชัง และทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง นายภัครธรณ์ จึงได้มอบอำนาจให้จ่าจังหวัดชลบุรี ร้องทุกข์กล่าวโทษ และดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดอาญาต่อผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี ฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา และความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ซึ่งมีผู้ตกเป็นผู้ต้องหาทั้งหมด 63 ราย ส่วนผลการดำเนินคดี มีผู้ต้องหามาพบพนักงานสอบสวนและรับแจ้งข้อกล่าวหา 13 คน พนักงานสอบสวนสรุปสำนวนส่งพนักงานอัยการเพื่อสั่งฟ้อง 7 คดี และได้มีการส่งฟ้องศาล และได้มีคำพิพากษาแล้ว 6 คดี

สำหรับ ภัครธรณ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี หลังเหตุการณ์ประท้วง เมื่อวันที่ 7 พ.ย.ที่ผ่านมา ถูกย้ายไปช่วยราชการปฏิบัติหน้าที่ ที่สำนักนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล โดยไม่ขาดจากตำแหน่งเดิม และให้รองผู้ว่าราชการจังหวัด ที่อาวุโสรักษาราชการแทน หลังมีคำสั่งย้าย วันต่อมา( 8 พ.ย.60) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดชลบุรี และภาคเอกชนกว่า 1,000 คน พากันเดินทางมาศาลากลางจังหวัดชลบุรี เพื่อเรียกร้องให้ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี กลับมาทำงานเหมือนเดิมด้วย



Posted: 29 Dec 2017 12:06 AM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)

ทวีศักดิ์ เกิดโภคา: เรียบเรียง

ประชาไทยกให้กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเป็นบุคคลแห่งปี 2017 ด้วยเหตุผลที่ว่า พวกเขาคือภูมิคุ้มกันระบบหลักประกันสุขภาพที่มีผู้คนอยู่ภายใต้ระบบนี้ราว 48 ล้านคน ในช่วงปีที่ผ่านมาพวกเขาจับตา เกาะติดการดำเนินการต่างๆ ของรัฐบาลที่อาจนำไปสู่การล้มหรือทำลายหัวใจหลักของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ที่ยืนยันในสิทธิการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ และการรักษาพยาบาลอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกันของคนไทย

แม้ว่าการมุ่งโจมตีระบบหลักประกันสุขภาพจะเกิดขึ้นมานานแล้วนับแต่เริ่มต้นดำเนินนโยบาย แต่ภัยคุกคามปรากฏขึ้นอย่างเด่นชัดที่สุดในยุครัฐบาล คสช. ประชาไทรวบรวมข้อมูลและเหตุการณ์ส่วนที่เกิดในรัฐบาล คสช. เพื่อย้อนดูว่า 3 ปีกว่าที่ผ่านมา พวกเขาทำให้เราถอยห่างจากหัวใจของหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าไปไกลเท่าไร

1.จากข่าวโรงพยาบาลขาดทุน สู่การแก้ไขกฎหมายหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

ข่าวคราวที่ระบุว่าโรงพยาบาลของรัฐกำลังตกที่นั่งลำบาก เนื่องจากประสบปัญหาขาดสภาพคล่อง หรือขาดทุนนั้นมีให้เห็นต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยหลายครั้งมีการโยงปัญหาการขาดทุนไว้กับระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือที่รู้จักกันว่า โครงการบัตรทอง, 30 บาทรักษาทุกโรค

หากนับเฉพาะปีนี้มีหลายข่าวที่ปรากฏขึ้น เช่นข่าว 19 โรงพยาบาลของรัฐขาดทุนหลังหักเงินเดือนออกจากงบเหมาจ่ายรายหัว ทำให้โรงพยาบาลไม่มีเงินเพียงพอที่จะดูแลรักษาผู้ป่วย แต่ยังต้องให้บริการต่อไป และได้มีการเรียกร้องให้มีการแก้ไขกฎหมาย พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพื่อให้แยกงบเดือนของบุคลากรทางการแพทย์ออกจากงบเหมาจ่ายรายหัว หรือกรณีการออกมายอมรับของ นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะโฆษกกระทรวงฯ ซึ่งระบุว่า โครงการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือบัตรทอง เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้โรงพยาบาลรัฐขาดทุน เนื่องจากงบประมาณที่ได้รับจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ไม่สอดคล้องกับรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปี รวมทั้งอีกหลายเรื่องราวที่พุ่งเป้าโยนบาปเรื่องโรงพยาบาลขาดทุนให้กับระบบหลักประกันสุขภาพ และการบริหารจัดการของ สปสช.

แม้ว่าประเด็นเรื่องการแยกเงินเดือน ออกจากงบเหมาจ่ายรายหัวนั้น จะเป็นประเด็นหลักที่มีการพูดถึงอย่างต่อเนื่อง แต่ถึงที่สุดแล้ว หลักการตั้งต้นของการรวมเงินเดือนหมอไว้กับงบเหมาจ่ายรายหัวนั้น เกิดขึ้นจากความต้องการที่จะจัดสรรบุคลากรทางการแพทย์ไปยังโรงพยาบาลในพื้นที่ต่างๆ เพื่อลดปัญหาการกระจุกตัวของแพทย์ ซึ่งก็ยังคงเป็นสิ่งที่ต้องถกเถียงกันต่อไปว่าสุดท้ายแล้วเพราะเหตุใดกันแน่ที่ทำให้โรงพยาบาลขาดทุน

อย่างไรก็ตามเมื่อมีการเริ่มต้นแก้ไข พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กลับพบว่าไม่ได้มีแต่เพียงเรื่องการแยกเงินเดือนบุคลากรทางแพทย์ออกจากงบเหมาจ่ายรายหัวเท่านั้น ยังมีการเพิ่มเติมแก้ไขโครงสร้างบอร์ดบริหารของ สปสช. รวมอยู่ด้วย อีกทั้งประเด็นที่เป็นเรื่องน่าจับตาที่สุดคือ ยังมีความพยายามที่จะทำให้มีการร่วมจ่ายค่ารักษาพยาบาลสำหรับผู้ที่อยู่ในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้ารวมอยู่ด้วย แม้ภาคประชาชนจะยื่นข้อเรียกร้องให้ตัดประเด็นดังกล่าวออก อีกทั้งประชาชนไม่ได้มีส่วนร่วมกับการแก้ไขกฎหมายตั้งแต่เริ่มต้นกระบวนการ

2.คสช.กับข้อเสนอเรื่องการร่วมจ่าย และการโยนหินถามทาง

ประเด็นเรื่องการร่วมจ่ายในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งถูกพูดถึงอีกเช่นกัน แต่สิ่งที่เห็นเด่นชัดที่สุดคือเอกสารหลุด หลังจากการตรวจเยี่ยมกระทรวงสาธารณสุขของ พล.ร.อ. ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองหัวหน้า คสช. เมื่อวันที่ 31 พ.ค. 2557 ซึ่งในรายงานบันทึกการประชุมมีตอนหนึ่งที่ระบุว่า “เห็นด้วยกับการที่ประชาชนจะมีส่วนในการร่วมจ่ายค่าบริการ กระทรวงสาธารณสุขต้องคำนวณตัวเลขออกมาว่าการมีส่วนร่วมจ่ายของประชาชน ต้องจ่ายเท่าไหร่ เช่น 30 – 50 % และต้องหาหลักเกณฑ์ออกมา เพราะอนาคตข้างหน้าเห็นแล้วว่าแนวทางหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้านี้ไปต่อไม่ไหว”

หลังจากที่มีข่าวดังกล่าวก็เกิดกระแสต่อต้านจากภาคประชาชน แต่ก็ไม่วายที่ผู้มีอำนาจจะโยนหินถามทางอีกหลายต่อหลายครั้ง รวมทั้งมีรายงานแนวทางการปฏิรูประบบประกันสุขภาพ ที่จัดทำขึ้นโดยคณะกรรมาธิการปฏิรูปเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง โดยผ่านความเห็นชอบของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เมื่อวันที่ 5 ส.ค. 2558 และนำส่งคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 ส.ค. 2558 ซึ่งระบุถึงแนวทางการปฏิรูปในด้านการรักษาพยาบาลไว้ว่า สนับสนุนให้ผู้มีเงินได้สามารถนำเบี้ยประกันสุขภาพมาหักลดหย่อนภาษี เพื่อเป็นทางเลือกในการใช้บริการรักษาพยาบาลโดยไม่ต้องพึ่งรัฐ และให้มีการพิจารณาความเหมาะสมของการนำระบบการมีส่วนร่วมจ่าย เพื่อจูงใจให้มีจิตสำนึกในการประหยัดค่ารักษาพยาบาลและลดการรักษาพยาบาลที่เกินความจำเป็น

หรือครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 24 เม.ย. 2560 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้กล่าวตอนหนึ่งในรายการคืนความสุขให้คนในชาติ (นาทีที่ 14.20) ว่า ในประเด็นเรื่องความเหลื่อมล้ำ และการให้ความเป็นธรรมนั้น เห็นว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีคนมีฐานะพอสมควร หรือมีผู้มีรายได้ปานกลางไม่ลำบากมาก จึงได้มอบให้กระทรวงการคลังพิจารณาสิทธิในการรักษาพยาบาล ทั้ง 30 บาทรักษาทุกโรค (ระบบหลักประกันสุขภาพทั่วหน้า) ว่าจะให้มีการเสียสละไม่ใช้สิทธิดังกล่าวเพื่อตัดงบประมาณในส่วนนี้ออกไปให้ผู้ที่มีรายได้ต่ำจริงๆ ซึ่งกำลังมีการลงทะเบียนกันอยู่นั้น ซึ่งถ้าทำได้จะถือว่าเป็นกุศล

“ถ้าท่านเสียสละแบบนี้ ผมว่าเป็นกุศล ผมเองก็พร้อมจะสละ ไปไหนก็หาหมอเองได้อยู่แล้ว แต่คนจนเขาไม่มีโอกาสเลย” พล.อ.ประยุทธ์ ระบุ

3.การสนับสนุนให้คนซื้อประกันสุขภาพ การเกิดขึ้นของบัตรคนจน และคำว่าเสมอภาคที่หายไปจากรัฐธรรมนูญ

ในรายงานแนวทางในการปฏิรูประบบประกันสุขภาพ ฉบับ สปช. และเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีเมื่อปี 2558 ที่ได้กล่าวไปแล้วนั้น หนึ่งในมาตรการที่รัฐบาลได้ดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมไปแล้วคือ การออกมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการประกันสุขภาพ โดยให้ประชาชนสามารถนำเบี้ยประกันสุขภาพมาหักลดหย่อนภาษีรายได้บุคคลธรรมดาได้ไม่เกิน 15,000 บาท แต่เมื่อรวมกับการหักลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิตและการเงินฝากที่มีเงื่อนไขประกันชีวิตทั้งหมดแล้วต้องไม่เกิน 1 แสนบาท โดยกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่ามาตรการนี้จะไม่กระทบต่อการจัดเก็บภาษีของประเทศมากนัก แต่จะเป็นการช่วยลดหย่อนภาระการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายของรัฐในด้านสุขภาพได้อีกทางหนึ่ง

สำหรับบัตรคนจน หรือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐนั้นก็ได้ปิดการลงทะเบียนในครั้งแรก และส่งมอบบัตรให้ผู้ที่ลงทะเบียนซึ่งมีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ซึ่งได้แบ่งเป็น 2 กลุ่มคน คือผู้มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อปี และผู้ที่มีรายได้มากกว่า 30,000 บาท แต่ไม่ถึง 100,000 บาทต่อปี รวมแล้วจำนวนทั้งสิ้น 11.4 ล้านราย

การลงทะเบียนคนจนนี้เป็นโครงการเดียวกันกับที่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงในรายการคืนความสุขให้คนในชาติเมื่อวันที่ 24 เม.ย. 2560 แม้ว่าจะยังไม่มีมาตรการที่เป็นรูปธรรมว่าจะมีการจำกัดสิทธิการรักษาพยาบาลในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้านี้ไว้ให้กับคนที่มาลงทะเบียน 11.4 ล้านคนนี้เท่านั้น แต่นโยบายหรือการดำเนินการต่างๆ ในรัฐบาล คสช. แสดงให้เห็นว่ามีแนวโน้มที่จะทำให้การรักษาพยาบาลในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ไม่ได้เป็นสิทธิอันพึงมีพึงได้สำหรับคนทุกคนอย่างเท่าเทียมกันอีกต่อไป

หลักฐานสำคัญที่ยืนยันได้อย่างชัดเจนคือ รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2560 ในมาตรา 47 ซึ่งระบุไว้ว่า “บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับบริการสาธารณสุขของรัฐ บุคคลผู้ยากไร้ย่อมมีสิทธิได้รับบริการสาธารณสุขของรัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายตามที่กฎหมายบัญญัติ บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับการป้องกันและขจัดโรคติดต่ออันตรายจากรัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย”

ขณะที่ก่อนหน้านี้ รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 ในมาตรา 51 ระบุว่า “บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับบริการทางสาธารณสุขที่เหมาะสมและได้มาตรฐาน และผู้ยากไร้มีสิทธิได้รับการรักษาพยาบาลจากสถานบริการสาธารณสุขของรัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับการบริการสาธารณสุขจากรัฐซึ่งต้องเป็นไปอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับการป้องกันและขจัดโรคติดต่ออันตรายจากรัฐอย่างเหมาะสมโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายและทันต่อเหตุการณ์”

สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปจากรัฐธรรมนูญ 2550 ในเรื่องสิทธิในการได้รับบริการสาธารณสุขและสวัสดิการจากรัฐคือ ความเสมอภาค การได้รับบริการที่เหมาะสมและได้มาตรฐาน การได้รับบริการที่ทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ ซึ่งเมื่อมองย้อนกลับไปที่หัวใจของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ที่มีหลักการว่า ‘คนไทยทุกคนมีสิทธิได้รับการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพ มาตรฐาน อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม’ เส้นทางที่รัฐบาล คสช. ได้พาคนไทยเดินทางนั้น ดูห่างไกลกับหัวใจสำคัญนี้ไปทุกที









[full-post]

Posted: 29 Dec 2017 01:05 AM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)

บุคคลแห่งปีของประชาไท ประจำปี 2017 นี้ มาเป็นทีม พวกเขาคือ 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' ซึ่งเกิดจากการรวมตัวกันของผู้คนมากหน้าหลายตา ท่ามกลางความพยายามทำลายหลักการของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของรัฐบาล คสช.และรัฐราชการ 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' ออกมาเคลื่อนไหว เฝ้าระวัง ปกป้อง และยันสถานการณ์เอาไว้อย่างสุดกำลัง สำหรับสถานการณ์ในปีหน้าที่พอจะเห็นเค้าลางว่า หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าจะยิ่งเผชิญการคุกคามที่หนักข้อขึ้นเรื่อยๆ คงไม่ผิดนักหากจะกล่าวว่า ‘กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ’ กำลังยืนขวางระหว่างรัฐบาลและกลุ่มคนที่ต้องการทำลายกับผู้คน 48 ล้านคนที่ได้รับการดูแลหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และคอยย้ำเตือนว่าการรักษาพยาบาลคือสิทธิของประชาชนที่รัฐไม่อาจพรากมันไปได้

โอกาสนี้ประชาไทรวบรวมการเคลื่อนไหวของกลุ่มนี้ในรอบปีที่ผ่านมาซึ่งมีหลากหลายและเข้มข้นโดยเฉพาะช่วงที่มีการทำประชาพิจารณาแก้ไข พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

คลิกที่นี่เพื่อดูภาพขนาดใหญ่


16 ม.ค.2560 : ร้อง ยกเลิกสรรหาเลขาฯ สพฉ. เหตุไม่โปร่งใส และไม่ชอบด้วยกฎหมาย

กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ ในฐานะส่วนหนึ่งของเครือข่ายภาคประชาชน ประกอบด้วย ชมรมเพื่อนโรคไต เครือข่ายสลัม 4 ภาค ฯลฯ ยื่นหนังสือถึง รมว.สาธารณสุข ในฐานะประธานกรรมการการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ กรณีขอให้ยกเลิกกระบวนการสรรหาเลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) เนื่องจากความไม่โปร่งใส และไม่ชอบด้วยกฎหมาย
(ประชาชาธุรกิจออนไลน์, 16 ม.ค.60)


18 พ.ค.2560 : ร้อง รมว.สาธารณสุขยุติกระบวนการแก้กฎหมายหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

ยื่นจดหมายถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขขอให้ยุติกระบวนการแก้ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่ทำลายหลักการและล้าหลัง ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 77 ขาดการมีส่วนร่วมจากภาคประชาชน
(ไทยพีบีเอส, 18 ธ.ค.60)

ภาพจากไทยพีบีเอส

31 พ.ค.2560 : แสดงความกังวลล็อคสเปคเลือกเลขาฯ สปสช.

แสดงความล็อคสเปคเลือกเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) หลังส่อแววส่งกฤษฎีกาตีความผู้สมัครเลขาฯ สปสช.ใหม่ พร้อมตั้งคำถามกรณีผู้สมัครที่เป็นผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขถือเป็นคู่สัญญา สปสช.หรือไม่ ย้ำด้วยว่า เลขาธิการ สปสช.ต้องมีความอิสระ ยึดมั่นหลักการระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า มีแนวคิดใหม่พัฒนาระบบ
(ประชาไท, 2 มิ.ย.60)


5 มิ.ย. 2560 : จัดเวทีถกสานพลังประชาชนขับเคลื่อนสังคมสวัสดิการ

จัดเวที “สานพลังประชาชนขับเคลื่อนสังคมสวัสดิการ” ที่ องค์กรพัฒนาชุมชน ถ. นวมินทร์
(เฟซบุ๊กกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ)

ภาพจากเฟซบุ๊กกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ

6 มิ.ย. 2560 : ร้องประยุทธ์ยุติแก้ ก.ม.หลักประกันสุขภาพ เสนอเซ็ตซีโร่กระบวนการใหม่

เครือข่ายกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพกว่า 1,000 คนชุมนุมหน้าอาคารสหประชาชาติ ถ.ราชดำเนินนอก เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรียุติกระบวนการแก้ไข พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ แล้ว "เซ็ตซีโร่" เริ่มต้นกระบวนการใหม่โดยเพิ่มการมีส่วนร่วมจากภาคประชาชนมากกว่าเดิม โดยก่อนหน้านั้นตัวแทนกลุ่มแจ้งต่อ สน.ดุสิต ตามพ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะฯ ว่า จะจัดชุมนุม หน้ากระทรวงศึกษาธิการค่อนไปทางน้ำพุ ใกล้คลองผดุงกรุงเกษม ถ.ราชดำเนินนอก แต่ตำรวจทำหนังสือแจ้งว่าสถานที่ดังกล่าวอยู่ในรัศมีไม่เกิน 50 เมตรจากทำเนียบรัฐบาล จึงอาจขัดต่อ พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะฯ นอกจากนี้ทหารยังเข้าไปหาสมาชิกกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ ที่บ้านใน จ.สุรินทร์ และ จ.บุรีรัมย์ ด้วย วันเดียวกันยังมีการเผยแพร่ “สมุดปกขาว” แก้บัตรทองอย่างไร ให้ประชาชนได้ประโยชน์ด้วย
(ประชาไท, 6 มิ.ย.2560, 5 มิ.ย.60)



10 มิ.ย. 2560 : วอล์คเอาท์เวทีประชาพิจารณ์ ร่าง ก.ม.หลักประกันสุขภาพฯ ที่หาดใหญ่

เวทีประชาพิจารณ์พิจารณา (ร่าง) พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่โรงแรมลีการ์เดนท์พลาซ่า อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา กลุ่มเครือข่ายหลักประกันสุขภาพประชาชนภาคใต้ได้วอล์คเอาท์ออกจากเวทีประชาพิจารณ์ฯ นี้ พร้อมกับได้ร่วมตัวอ่านแถลงการณ์บริเวณหน้าห้องประชุม เพื่อยืนยันเจตนารมณ์ “แก้กฎหมายหลักประกันสุขภาพประชาชนต้องมีส่วนร่วม หยุด!!!กระบวนการและเริ่มใหม่”
(ประชาไท, 10 มิ.ย.60)



11 มิ.ย.2560 : ชูป้ายประท้วง-วอล์คเอาท์เวทีประชาพิจารณ์ ร่าง ก.ม.หลักประกันสุขภาพฯ ที่เชียงใหม่

เวทีประชาพิจารณ์พิจารณา (ร่าง) พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่โรงแรมเชียงใหม่แกรนด์วิวประชาชนที่เข้าร่วมประชุมก็พร้อมใจกันลุกขึ้นต่อต้าน แสดงจุดยื่นถ้าทำแล้วแย่กว่าเดิมอย่าทำดีกว่า พร้อมชูป้ายประท้วง และร่วมกันวอล์คเอาท์ออกจากการประชุม ทำให้กำหนดการประชุมที่จัดไว้เวลา 09.00-16.00 ต้องปิดการประชุมในเวลา 11.00 น. เพราะประชาชนไม่เข้าร่วมการทำประชาพิจารณ์ โดย สุภาพร ถิ่นวัฒนากูล ตัวแทนกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพภาคเหนือ ได้ออกแถลงการณ์แสดงจุดยืนการแก้ไขกฏหมาย "ถ้าทำแล้วแย่อย่าแก้ดีกว่า"
(เดลินิวส์, 11 มิ.ย.60)


17 มิ.ย.2560 : ‘ซาวอีสานซอมเบิ่งบัตรทอง’ ยึดเวทีรับประชาพิจารณ์ ร่าง ก.ม.หลักประกันสุขภาพฯ ที่ขอนแก่น

ที่โรงแรมอวานี ขอนแก่น โฮเทล แอนด์ คอนเวนชัน เซ็นเตอร์ จ.ขอนแก่น ซึ่งเป็นสถานที่จัดเวทีประชาพิจารณ์พิจารณาร่าง พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพฯ เครือข่ายซาวอีสานซอมเบิ่งบัตรทอง ซึ่งมี 75 องค์กร ขึ้นยึดเวทีรับฟังความคิดเห็น ประกาศจุดยืน คัดค้านการแก้กฎหมายฯ ที่ไม่ชอบธรรมตั้งแต่ต้น
(ประชาไท, 17 มิ.ย.60)


18 มิ.ย.2560 : ปฏิเสธเข้าร่วมเวทีประชาพิจารณ์ ร่าง ก.ม.หลักประกันสุขภาพฯ ที่กรุงเทพ พร้อมปราศรัยถึงปัญหาของร่างกฎหมายใหม่อยู่หน้าห้องประชุม

ร่วมกับเครือข่ายภาคประชาชนราว 300 คน รวมตัวร่วมจับตาเวทีรับฟังความคิดเห็น การแก้ไขปรับปรุง (ร่าง) พ.ร.บ. หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงเทพฯ เป็นพื้นที่สุดท้ายที่โรงแรมเซ็นทารา แจ้งวัฒนะ โดยในงานนี้ผู้ที่จะเข้าร่วมต้องลงทะเบียนล่วงหน้าทางออนไลน์ สแกนบัตรประชาชนเพื่อเข้างานและมีเวลาให้แสดงความเห็นคนละ 3 นาที ซึ่งกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพและเครือข่ายปฏิเสธจะเข้าร่วมเวทีโดยระบุว่ากระบวนการร่างและรับฟังความคิดเห็นนั้นไม่ถูกต้องตั้งแต่ต้น จึงได้รวมตัวกันปราศรัยถึงปัญหาของร่างกฎหมายใหม่อยู่หน้าห้องประชุม อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจได้วางกำลังอยู่โดยรอบ และได้ตรวจยึดป้ายกระดาษ ป้ายผ้าที่กลุ่มผู้ชุมนุมนำมาด้วย
(ประชาไท, 18 มิ.ย.60)


20 มิ.ย. 2560 : นัดพบประธานคณะอนุกรรมการประชาพิจารณ์ร่าง พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพฯ โดยตั้ง 3 เงื่อนไข ห้ามมีทหารและตำรวจมาคอยควบคุม

หลังการประชุม ครม. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ 4 ภาคออกแถลงการณ์คัดค้านและแสดงออกไม่เข้าร่วมเวทีประชาพิจารณ์แก้ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพฯ โดย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวยืนยันว่า ไม่ยกเลิกสิทธิบัตรทอง 30 บาท แต่พยายามที่จะให้เกิดการดูแลประชาชนได้มากขึ้น เพิ่มวงเงินดูแลประชาชนต่อคนต่อปี และจะไม่ทำให้เกิดภาระกับประชาชนเพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอน ไม่เข้าใจว่าทำไมจึงมีการออกมาให้ข้อมูลบิดเบือนว่ารัฐบาลจะยกเลิกบัตรทอง ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสื่อมวลชน ต้องมีส่วนช่วยทำความเข้าใจกับประชาชน

ด้านกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ นัดพบประธานรับฟังความคิดเห็น นพ.พลเดช ปิ่นประทีป เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการประชาพิจารณ์ร่าง พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพฯ เพื่อตัดสินใจเข้าร่วมเวทีปรึกษาสาธารณ (Public Consultation) ในวันที่ 21 มิ.ย. 2560 ที่โรงแรมเซ็นทราศูนย์ราชการ โดยยืนเงื่อนไข 3 ข้อ คือ ต้องไม่ใช่การคุยในสถานการณ์สู้รบที่มีทหารและตำรวจมาคอยควบคุม ต้องเปิดรับฟังอย่างหลากหลาย ไม่รวบรัด เพื่อหาข้อยุติร่วมกัน และเตรียมเปิดสมัชชาสุขภาพวาระพิเศษเพื่อศึกษาข้อมูล ก่อนแก้กฎหมายให้ดีที่สุด
(ประชาไท, 20 มิ.ย.60)



21 มิ.ย.2560 : ประกาศหลัก “4 เอา 5 ไม่เอา และ 7 สิ่งที่ดีกว่า” กับคณะกรรมการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ. หลักประกันสุขภาพฯ

ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น ตัวแทนกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ และเครือข่ายภาคประชาชน 75 เครือข่าย บุกยื่นหนังสือ พล.อ.ประยุทธ์ ให้ยุติแก้ไขปรับปรุง พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 เพื่อเริ่มกระบวนการแก้ไขใหม่ที่มีภาคประชาชนเข้ามีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียม กังวลลิดรอนสิทธิประชาชน แต่กลับไม่ได้ พบ พล.อ.ปริยุทธ์ จึงยื่นศูนย์ดำรงธรรมเคลื่อนที่แทน

วันเดียวกัน ที่โรงแรมเซ็นทราศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพและเครือข่ายกว่า 18 คน รวมตัวกันก่อนเข้าร่วมประชุมเวทีปรึกษาสาธารณะ ซึ่งจัดโดยคณะอนุกรรมการดำเนินการประชาพิจารณ์พิจารณาร่าง พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (ฉบับที่..) พ.ศ.. โดย นิมิตร์ เทียนอุดม ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ ได้กล่าวผ่านการไลฟ์สดเพจมูลนิธิผู้บริโภคว่า กรณีที่พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์พูดถึงกรณีการจัดซื้อยา โดยระบุว่า นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ให้ช้อมูลว่ากรณีการจัดซื้อยานั้น เป็นหน้าที่ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) เดิมเมื่อซื้อขายยากันในปริมาณมาก จะได้รับส่วนลด และกันเงินที่เหลือมอบให้กลุ่มเอ็นจีโอไปทำภารกิจองค์กร ซึ่งกรณีดังกล่าวเป็นการพาดพิงและกล่าวหากลุ่มเอ็นจีโอ พวกตนจึงขอประกาศว่า ให้นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการ สธ. ตรวจสอบพวกตนได้เลย และให้เปิดเผยผลการตรวจสอบออกสู่สาธารณะ เพราะพวกตนยืนยันว่าไม่เคยได้รับเงิน หรือส่วนลดใดๆ ทั้งสิ้น

และในงานเสวนา “แก้กฎหมายบัตรทองประชาชนได้อะไร” ณ โรงแรมเซ็นทราศูนย์ราชการและคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ ซึ่งมีผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขและ รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ ประธานคณะกรรมการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ. หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (ฉบับที่...) พ.ศ. ...ร่วมเสวนานั้น ได้เกิดความวุ่นวายขึ้นเล็กน้อยเมื่อ สุนทรี หัตถี เซ่งกิ่ง ตัวแทนภาคประชาชนด้านแรงงาน และตัวแทนกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ พยายามพูดเสนอความเห็นในช่วงท้ายการเสวนาหลังจากที่วิทยากรพูดจบแล้ว แต่ผู้ดำเนินการรายไม่อนุญาตให้พูด และพยายามตัดจบการเสวนาโดยเร็ว หลังเหตุการณ์ดังกล่าว สุนทรี ได้ออกมาแถลงกับสื่อมวลชนบริเวณหน้าห้องเสวนา โดยระบุว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะแก้กฎหมายบัตรทองให้ประชาชนได้ประโยชน์ พร้อมเปิดเผยถึงหลัก “4 เอา 5 ไม่เอา และ 7 สิ่งที่ดีกว่า” ต่อคณะกรรมการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.ฯ ดังกล่าว (คลิกเพื่ออ่านรายละเอียด)
(มติชนออนไลน์, hfocus.org, ผู้จัดการออนไลน์, 21 มิ.ย.60)

ภาพจาก hfocus.org


4 ก.ค.2560 : กป.อพช.ใต้ ร้องเจ้าหน้าที่หยุดคุกคามแกนนำเครือข่ายติดตามแก้ ก.ม.บัตรทอง

คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชนภาคใต้ (กป.อพช.ใต้) ได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายหลักประกันสุขภาพภาคประชาชนภาคใต้ และเครือข่ายภาคประชาสังคม ติดตามสถานการณ์การแก้กฎหมาย ได้มีการการจัดประชุมเพื่อติดตามสถานการณ์การแก้กฎหมายหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ วันที่ 30 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยได้มีตำรวจสันติบาลปะปนและถ่ายรูปเข้ามาร่วมประชุมด้วยซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีการส่งข้อมูลจากภูมิภาคต่างๆว่ามีการติดตามจากตำรวจสันติบาล โดยการเข้าพบครอบครัวและโทรศัพท์สอบถามข้อมูล ทำให้เครือข่ายภาคประชาชนห่วงกังวลต่อเรื่องความปลอดภัย และกังวลต่อการมีส่วนร่วมในกระบวนการแก้กฎหมายบัตรทอง กป.อพช.ใต้ จึงเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่หยุดการกระทำดังกล่าว พร้อมทั้งเรียกร้องให้ทบทวนกระบวนการแก้กฎหมายตามรัฐธรรมนูญ ม. 77

วันเดียวกัน ตัวแทนศูนย์ประสานงานหลักประกันสุขภาพประชาชน จ.เชียงใหม่ ร่วมกับตัวแทนกลุ่มประชาชนผู้ใช้บัตรทอง ชาวเชียงใหม่ พร้อมด้วยเครือข่ายคนพิการ ผู้ติดเชื้อ ผู้สูงอายุ ข่ายศาสนา และข่ายชุมชนเมือง รวมกว่าคน 30 คนได้ไปยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ผ่าน ศเนติ จิฐภาสอังกูร ผอ.ศูนย์ดำรงธรรม จ.เชียงใหม่ เพื่อคัดค้านการแก้ไขกฎหมายบัตรทองและขอให้ยุติกระบวนการที่กำลังดำเนินอยู่ให้หมด แล้วกลับไปสู่การเริ่มกระบวนการใหม่ที่จะช่วยให้กฎหมายมีความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียมกัน นอกจากเชียงใหม่แล้ว ยังมีเครือข่ายยื่นหนังสือข้อเรียกร้องในจังหวัดอื่นๆ ภาคเหนืออีกด้วย
(ประชาไท, 4 ก.ค.60)



5 ก.ค.2560 : ที่หาดใหญ่ แถลงขอรัฐบาลทบทวนการแก้กฎหมายให้ประชาชนมีส่วนร่วมตัดสินใจ

ที่หอนาฬิกาหน้าจัตุรัส หาดใหญ่ จ.สงขลา ภาคีเครือข่ายคนรักหลักประกันสุขภาพภาคใต้ได้รวมตัวกันเพื่อแถลงการณ์ขอให้ทางรัฐบาลทบทวนการแก้กฎหมายหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ยืนยันไม่ได้ต่อต้านการแก้กฎหมายหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ แต่ต้องการให้ทางรัฐบาลได้ทบทวนการแก้กฎหมายให้ประชาชนกว่า 49 ล้านคน ที่ใช้ระบบบัตรทองได้รับรู้และมีส่วนร่วมตัดสินใจโดยทางเครือข่ายคนรักหลักประกันสุขภาพภาคใต้ พร้อมเสนอ 4 ประเด็นเห็นด้วย 5 ประเด็นเห็นต่าง 7 ประเด็นเพื่อปฏิรูป
(ประชาไท, 5 ก.ค.60)



6 ก.ค.2560 : จัดเสวนาคู่ขนาน ในหัวข้อ ‘แก้ กม.บัตรทองอย่างไร ให้ประชาชนได้ประโยชน์?’

ที่โรงแรมไมด้า งามวงศ์วานเครือข่ายคนรักหลักประกันสุขภาพก็ได้จัดเสวนาคู่ขนาน ในหัวข้อ ‘แก้ กม.บัตรทองอย่างไร ให้ประชาชนได้ประโยชน์?’ ในระหว่างที่คณะกรรมการพิจารณาร่างกฎหมายหลักประกันสุขภาพแห่งชาติกำลังพิจารณากฎหมายและความคิดเห็นต่างๆ โดยในงานที่กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพจัดนั้น ตัวแทนจากภาคประชาชนและเอ็นจีโอ ได้อธิบายถึงความสำคัญของหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและความจำเป็นที่จะต้องปกป้องไม่ให้เกิดการทำลายหลักการนี้ลงจากการแก้ไขครั้งนี้ พร้อมประกาศด้วยว่าประชาชนพร้อมฮือลุกสู้ ปกป้องหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าหากคณะกรรมการยกร่างฯ กฎหมาย เดินหน้าแก้ประเด็นขัดแย้ง
(hfocus.org, ประชาไท, 6 ก.ค.60)

13 ก.ค.2560 : วางพวกหรีดไว้อาลัยคณะกรรมการพิจารณาร่างกฎหมายหลักประกันสุขภาพฯ หน้าสนง.ปลัดกระทรวงสาธารสุข และเครือข่าย 4 ภาค ร้องยุติการแก้กฎหมายดังกล่าว

ร่วมกับภาคีเครือข่าย ออกแถลงการณ์ ยืนยันจุดยืน 'แก้กฎหมายบัตรทองไม่ชอบธรรม ไร้ธรรมาภิบาล' พร้อมเรียกร้องต่อ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้เปิดเผยข้อมูลความเห็นในการแก้ไขกฎหมายที่ยังมีความเห็นต่างต่อสาธารณะ และสร้างกระบวนการที่เป็นกลาง โปร่งใส ให้ทุกฝ่ายได้เข้ามามีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นอย่างเสมอภาค และออกมาแถลงชี้แจงแสดงความรับผิดชอบยอมรับต่อผลที่จะตามมาจากการแก้ไขกฎหมายครั้งนี้ ไม่ว่าผลที่เกิดขึ้นหลังจากการแก้ไขครั้งนี้จะเป็นอย่างไร พร้อมทั้ง แต่งตั้งคณะทำงานที่น่าเชื่อถือ เป็นกลาง และเป็นที่ยอมรับจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง มาดำเนินการติดตามผลการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นจากการแก้ไขกฎหมายครั้งนี้ เพื่อเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อการแก้ไขกฎหมาย แม้ว่าท่านจะไม่ใช่ผู้แทนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนก็ตาม

วันเดียวกัน กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ ยังเดินทางมาที่บริเวณหน้าอาคาร สนง.ปลัดกระทรวงสาธารสุข เพือรอผลการประชุมของ คณะกรรมการพิจารณาร่างฎดหมายหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พร้อมทั้งวางพวกหรีดไว้อาลัย


ภาพจากเฟซบุ๊กกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ

กลุ่มคนรักหลักประกัน 4 ภาค ภาคกลาง ภาคตะออก ภาคตะวันตก และ กรุงเทพฯ ยื่นหนังสือถึง ผู้ว่าฯ จ.เพชรบุรี เพื่อยุติกระบวนการแก้ไข กฎหมายบัตรทอง และเริ่มต้นใหม่โดยมีประชาชนมีส่วนร่วม

ภาพจากเฟซบุ๊กกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ

นอกจากนี้ในช่วงดังกล่าวยังมีการจัดกิจกรรมรณรงค์ของประชาชนภาคเหนือร่วมกันแสดงออกเชิงสัญลักษณ์คนใช้บัตรทองค้านแก้กฎหมายด้วย

ภาพจากเฟซบุ๊กกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ

(Voice TV, มติชนออนไลน์ และ เฟซบุ๊กแฟนเพจ Mondoi Ffc, 13 ก.ค.60)


14 ก.ค. 2560 : ซาวอีสานซอมเบิ่งบัตรทอง จี้รัฐบาลยกเลิกการแก้ไข พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพฯ

เครือข่ายซาวอีสานซอมเบิ่งบัตรทอง แถลงเรียกร้องและขอประกาศจุดยืน ต่อการ แก้ไข พ.ร.บ. หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 1. ให้รัฐบาลยกเลิกการแก้ไข พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 และยุติกระบวนการใดๆ ที่จะนำไปสู่การแก้ไข พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว ภายใต้บรรยากาศที่ไม่เป็นประชาธิปไตย 2. กฎหมายหลักประกันสุขภาพถ้านหน้าเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานในการรักษาพยาบาลของประชาชน การแก้ไขกฎหมายดังกล่าว ต้องดำเนินการภายใต้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง และ 3. ทางเครือข่ายฯ พร้อมที่จะเคลื่อนไหวทุกที่ ทุกเวลา และทุกรูปแบบ จนกว่ากระบวนการแก้ไข พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่ไม่ชอบธรรมและละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนจะยุติลง
(เฟซบุ๊ก บัตรทองของเรา, 14 ก.ค.60)


18 ก.ค. 2560 : ปฏิเสธร่วมถกกับผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข

จากกรณีที่ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาธร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้มอบหมายให้ทางกระทรวงนัดหารือเรื่องแก้ไข พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ในประเด็นที่ยังเห็นต่างกัน ประกอบด้วย การแยกเงินเดือนออกจากค่าเหมาจ่ายรายหัว และ สัดส่วนคณะกรรมการ โดยทาง นพ.มรุต จิรเศรษฐศิริ หัวหน้าผู้ตรวจราชการ นัดประชุมวัน 19 ก.ค.60 นั้น สุภัทรา นาคะผิว โฆษกกลุ่มคนหลักประกันสุขภาพ เปิดเผยว่า ทางกลุ่มฯ คงไม่สามารถเข้าร่วมประชุมดังกล่าว เนื่องจากผู้บริหาร กระทรวงสาธารณสุข ยังยืนยันที่จะให้ตัวแทนรพ.ขนาดใหญ่และ รพ.ขนาดเล็กบางส่วนที่สนับสนุนการแยกเงินเดือนออกจากค่าเหมาจ่ายรายหัวเข้าร่วมประชุม แต่ไม่รับข้อเสนอของทางกลุ่มฯที่ให้เชิญตัวแทน รพ.ในชนบทที่จะได้รับผลกระทบจากการแยกเงินเดือนครั้งนี้เข้าร่วมประชุมด้วย
(ประชาไท, 18 ก.ค.60)


2 ส.ค.2560 : จัดเวทีผ่าทางตันระบบหลักประกันสุขภาพ “ระบบบัตรทองถึงทางตัน จัดซื้อยารวมไม่ได้ แก้กฎหมายยังทัน รมว.สาธารณสุขจะว่าอย่างไร”

จัดเวทีผ่าทางตันระบบหลักประกันสุขภาพ “ระบบบัตรทองถึงทางตัน จัดซื้อยารวมไม่ได้ แก้กฎหมายยังทัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขจะว่าอย่างไร” ที่ศูนย์ประชุมวายุภักษ์ โรงแรมเซ็นทรา ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ
(เฟซบุ๊ก กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ, 2 ส.ค.60)


16 ส.ค. 2560 : แถลงหน้าทำเนียบรัฐบาล ร้องรัฐบาลเร่งแก้ปัญหาจัดซื้อยารวมระดับประเทศ

ร่วมกับเครือข่ายผู้ป่วย แถลงที่หน้าทำเนียบรัฐบาล เรียกร้องให้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาจัดซื้อยารวมระดับประเทศ หลังถูก วิษณุ เครืองาม รองนายกฯ เบี้ยวนัดพบ ระบุสัปดาห์หน้าหากยังจัดซื้อยาปี 61 ไม่ได้ เกิดหายนะแน่ เตรียมบุกทำเนียบอีกครั้ง พร้อมเผยสถานการณ์ล่าสุด โรงพยาบาลทั่วประเทศเริ่มป่วน เร่งสต๊อกยาล่วงหน้ากันปัญหาผู้ป่วยขาดยาระหว่างรอความชัดเจนจัดซื้อ ชี้ต้นตอปัญหา สตง.ไล่บี้จนเกิดภาวะสูญญากาศ ใหญ่กว่าหน่วยงานปฏิบัติ ใหญ่กว่ารัฐมนตรี
(เฟซบุ๊ก กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ, 16 ส.ค.60)




12 ก.ย. 2560 : ยื่น สตง.ให้ความเห็นต่อการจัดซื้อยา


เข้ายื่นร้องเรียนให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ให้ความเห็นต่อการจัดซื้อยา วัคซีน เวชภัณฑ์ อวัยวะเทียมและอุปกรณ์ทางการแพทย์ โดย สปสช. สอดคล้องตามเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 2545 อย่างแท้จริงและงดเว้นให้ความเห็นที่ไม่เป็นตามกฎหมาย
(เฟซบุ๊ก Chalermsak Kittitrakul, 12 ก.ย.60)


23 ก.ย. 2560 : รับรางวัล "สวิง ตันอุด" ประเภทเครือข่ายจัดการตนเอง

ในงานสมัชชาพลเมือง จ.เชียงใหม่ "กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ" ได้รับรางวัล "สวิง ตันอุด" ประเภท "เครือข่ายจัดการตนเอง" เนื่องการเคลื่อนไหวที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงพลังของประชาชนในการลุกขึ้นมาปกป้องระบบหลักประกันสุขภาพ ให้เป็นสวัสดิการด้านการเข้าถึงบริการสาธารณสุขของประชาชนประชาชนอย่างมีมาตรฐาน ทั่วถึงและเท่าเทียม ซึ่งในงานนี้กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ จ.เชียงใหม่ เป็นตัวแทนขึ้นรับรางวัลแทนพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ
(เฟซบุ๊ก กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ, 24 ก.ย.60)


3 ต.ค. 2560 : ชี้แจงประเด็นที่ยังขัดแย้งตัวแทนกระทรวงสาธารณสุข กรณีแก้พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพฯ

จากกรณีที่ตัวแทนกระทรวงสาธารณสุขได้ชี้แจงความคืบหน้าในการแก้ไข พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ว่าได้รับอนุมัติจาก พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี ให้นำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีแล้ว กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ ออกชี้ประเด็นว่าขัดแย้งยังอยู่ พร้อมเรียกร้องให้ ครม. อย่าเพิ่งเร่งพิจารณา และเรียกร้องขอเข้าพบรองนายกฯ เพื่อให้ข้อมูลร่วมกันพิจารณาอย่างรอบด้านและแสดงจุดยืนค้านแยกเงินเดือนและกลไกใหม่ในการจัดซื้อยารวมนั้น

ในวันดังกล่าวกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพได้เผยแพร่ประเด็นการคัดค้านการแก้ไข พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ดังกล่าว ตั้งแต่ ความไม่สมดุลของคณะกรรมการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ มีผู้แทนภาคประชาชนเพียง 2 คนคือ สุรีรัตน์ ตรีมรรคา และยุพดี ศิริสินสุข จากทั้งหมด 27 คน และข้อคัดค้านในด้านสาระสำคัญการแก้ไขกฎหมาย เช่น นิยามคำว่า “บริการสาธารณสุข” ในร่าง พ.ร.บ. ซึ่งกลุ่มคนรักหลักประกันฯ ระบุว่า เดิมให้ความสำคัญกับการครอบคลุมบริการการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ตามที่เป็นนโยบายสำคัญของประเทศในเรื่องการพึ่งตนเอง และ ลดค่าใช้จ่ายได้ รวมไปถึง นิยามคำว่า “สถานบริการ” “เงินกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ"
(ประชาไท, 3 ต.ค.60)


16 – 24 ต.ค. 2560 : ตัวแทนเครือข่าย 21 จังหวัดยื่นยื่นจดหมายให้รองนายกฯ พล.ร.อ.ณรงค์ เพื่อขอเข้าชี้แจงประเด็นที่น่าห่วงกังวลในการแก้ไขกฎหมายบัตรทอง

ร่วมกับตัวแทนภาคประชาชนจากเครือข่ายต่างๆ รวม 21 จังหวัดทั่วประเทศ เริ่มตั้งแต่กรุงเทพฯ จันทบุรี น่าน แพร่ ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา แม่ฮ่องสอน ลำพูน อำนาจเจริญ สมุทรปราการ สระแก้ว ลำปาง เชียงใหม่ พะเยา ขอนแก่น เชียงราย อุบลราชธานี ปทุมธานี กำแพงเพชร และสุรินทร์ ได้ไปยื่นหนังสือถึง พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี ผ่านศูนย์ดำรงธรรมของแต่ละจังหวัด เพื่อรับฟังเสียงของประชาชนในการขอเข้าชี้แจงประเด็นที่น่าห่วงกังวลในการแก้ไขกฎหมายบัตรทอง
(เฟซบุ๊ก กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ, 21 ต.ค.60)


2 พ.ย.2560 : เผยยังไม่มีการตอบสนองใดๆ หลังยื่นจดหมายถึง พล.ร.อ.ณรงค์ เพื่อให้ภาคประชาชนเข้าชี้แจงข้อมูลร่าง พ.ร.บ. หลักประกันสุขภาพฯ

หลังจากที่ตัวแทนกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพเข้ายื่นจดหมายถึง พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 16 ต.ค. ที่ผ่านมา เพื่อให้เปิดโอกาสภาคประชาชนเข้าชี้แจงข้อมูลร่าง พ.ร.บ. หลักประกันสุขภาพแห่งชาติฯ ให้เกิดความเข้าใจอย่างรอบด้านก่อนที่จะออกกฎหมายที่มีผลกระทบต่อประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ผู้ประสานงานกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ ระบุว่า ยังไม่มีการตอบสนองใดๆ เกิดขึ้น
(เฟซบุ๊ก กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ, 2 พ.ย.60)


28 พ.ย.60 : แถลงประท้วงการใช้ความรุนแรง จับกุม ควบคุมตัว เครือข่ายคนสงขลา-ปัตตานี ไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหิน

ออกแถลงการณ์ร่วมกับเครือข่ายประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิการกรณีการใช้ความรุนแรง จับกุม ควบคุมตัว ปิดกั้น ขัดขวางการใช้สิทธิและเสรีภาพของเครือข่ายคนสงขลา-ปัตตานี ไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหิน โดยระบุว่าการเดินเท้าของประชาชนที่มุ่งหน้าไปยื่นจดหมายถึงนายกรัฐมนตรีเพื่อคัดค้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน ถือเป็นสิทธิและเสรีภาพที่ประชาชนกระทำได้ รัฐบาลต้องหยุดการละเมิดและคุกคามสิทธิของประชาชนในการออกมาชุมนุมอย่างสงบ ดังนั้นรัฐบาลต้องแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 27 พ.ย. 2560 ที่มีการตัดสินใจสลายขบวนเดินของประชาชน ส่งผลให้ประชาชนจำนวนหนึ่งได้รับบาดเจ็บ และมีบางส่วนถูกควบคุมตัว พร้อมทั้งเรียกร้องให้รัฐบาลปล่อยตัวและยกเลิกข้อกล่าวหาต่อประชาชนที่ถูกควบคุมตัวทั้งหมดทุกข้อกล่าวหาโดยไม่มีเงื่อนไข เนื่องจากการปะทะและความรุนแรงที่เกิดขึ้นมิได้เกิดจากประชาชน แต่เกิดจากการที่รัฐสั่งให้ทหาร ตำรวจ สกัดกั้นและกดดันจนนำไปสู่เหตุการณ์ดังกล่าว
(เฟซบุ๊ก กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ, 28 พ.ย.60)

19 ธ.ค.2560 : ร่วมกับภาคประชาชนกลุ่มอื่น ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้วินิจฉัยตัวคำสั่งคสช.

รวมกับภาคประชาชนกลุ่มอื่น ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้วินิจฉัยตัวคำสั่งคสช. ฉบับที่ 3/25558 ในข้อที่ 6 กับ ข้อที่ 12 ซึ่งเกี่ยวกับการจับกุมควบคุมตัวประชาชนได้ไม่เกิน 7 วัน และการห้ามชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คน รวมไปถึงการกระทำของเจ้าหน้าที่ตามคำสั่งดังกล่าว ว่าชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่
(เฟซบุ๊กกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ, 19 ธ.ค.60)



ประเด็นที่เห็นเหมือนกันกับคณะกรรมการพิจารณาร่างฯ จำนวน 4 ประเด็นได้แก่

1. มาตรา 14 ห้ามดำรงตำแหน่ง 2 คณะในขณะเดียวกัน และให้รวมถึงการเป็นกรรมการหลักประกันฯ และต่อเนื่องเป็นคณะกรรมการควบคุมคุณภาพฯ ก็ให้ถือว่าดำรงตำแหน่งต่อเนื่องกัน

2. มาตรา 15 วาระกรรมการไม่เกิน 2 สมัย โดยยึดตัวบุคคลห้ามใช้ตำแหน่งสลับไปมา

3. มาตรา 29 รายได้ของสำนักงานไม่ต้องนำส่งกระทรวงการคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ซึ่งเห็นร่วมในการแก้ไข เพื่อสร้างประสิทธิภาพในการบริหารกองทุน เนื่องจากงานบริการด้านสุขภาพ อัตราการป่วย การตายเป็นการคาดการณ์ ควรมีระบบบริหารจัดการในลักษณะเงินหมุนเวียน

4. ยกเลิกมาตรา 42 เรื่องการไล่เบี้ย การกำหนดเรื่องการไล่เบี้ย เป็นปัญหาต่อผู้ให้บริการดังนั้นควรยกเลิกมาตรานี้ เพื่อลดความขัดแย้งระหว่างผู้ประกอบวิชาชีพและผู้ป่วย

ประเด็นที่มีความเห็นแตกต่างกับคณะกรรมการพิจารณาร่างฯ จำนวน 5 ประเด็น ได้แก่

1. ไม่เห็นด้วยเรื่องการเพิ่มนิยาม “เงินกองทุนหลักประกันสุขภาพ” ตามมาตรา 3 เนื่องจากการเพิ่มนิยามคำนี้ จะเป็นการขัดแย้งกับวัตถุประสงค์ของกองทุนในมาตรา 38 ที่ระบุว่า “กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ” มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นค่าใช้จ่าย สนับสนุน และส่งเสริมการจัดบริการสาธารณสุขของหน่วยบริการ แต่การแก้ไขกลับเพิ่มนิยามที่จะส่งผลให้ไปจำกัดความหมายของ “กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ” ด้านการสนับสนุน ส่งเสริม การจัดบริการซึ่งสามารถสนับสนุนเป็นรูปแบบอื่นได้ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นเฉพาะตัวเงินเท่านั้น เช่นการสนับสนุนเป็นยา เวชภัณฑ์ เป็นต้น

ไม่เห็นด้วยเรื่องการแก้ไขนิยาม “สถานบริการ” ตามมาตรา 3 เนื่องจาก “หลักการ” ของ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ นอกจากมุ่งเน้นการส่งเสริมให้เกิดการเข้าถึงการบริการรักษาอย่างมีมาตรฐานแล้ว ยังมุ่งเน้นให้เกิดการมีส่วนร่วมในการร่วมจัดบริการด้านสุขภาพของประชาชน ประชาสังคม องค์กรสาธารณะ รวมทั้งองค์กรท้องถิ่น ดังนั้นจึงให้เพิ่มนิยาม “องค์กรชุมชน องค์กรเอกชนและภาคเอกชนที่ไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินการแสวงหาผลกำไร”

ทั้งนี้มีหลักฐานเชิงประจักษ์จากผลการทำงานของเครือข่ายภาคประชาชนในการสร้างการเข้าถึงบริการสาธารณสุขที่จำเป็น ยกตัวอย่างเช่น การทำงานร่วมให้บริการของกลุ่มผู้ติดเชื้อเอชไอวีในรูปแบบ “ศูนย์องค์รวม” ที่สามารถติดตาม ดูแล ให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีสามารถกินยาได้อย่างต่อเนื่อง ลดปัญหาการดื้อยา ส่งผลต่อการลดอัตราการเสียชีวิต หรือการริเริ่มของชุมชนในการให้บริการด้านการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค (Community Led Services) กับกลุ่มเป้าหมาย กลุ่มเปราะบางต่างๆ เป็นต้น

2. ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขมาตรา 13 ในการแก้ไของค์ประกอบของคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดยมีเหตุผลดังนี้

2.1 ไม่เห็นด้วยกับการที่ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นรองประธาน เนื่องจากขัดกับหลักการแยกผู้จัดบริการและผู้ซื้อบริการ (Purchaser Provider Split)
2.2 ให้คงจำนวนผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวนเดิม
2.3 เพิ่มผู้แทนหน่วยบริการในระดับต่างๆ จำนวน 5 คน เพื่อเป็นตัวแทนหน่วยบริการแทนผู้แทนสภาวิชาชีพที่ควรเป็นผู้แทนในคณะกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข
2.4 ตัดผู้แทนหน่วยงานรัฐ จำนวน 4 คน ได้แก่ ปลัดกระทรวงกลาโหม ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เหลือกรรมการจำนวน 26 คน จากเดิมจำนวน 30 คน

3. แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 41 ที่มีการระบุเพียงให้ได้รับเงินด้วยเหลือเบื้องต้น แต่เห็นว่าควรต้องเพิ่มเรื่องการเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้น ให้ทั้งผู้รับบริการและผู้ให้บริการ และยังคงเห็นร่วมว่าให้เพิ่มผู้ให้บริการเข้าไปในมาตรานี้ด้วย เพื่อลดการฟ้องคดีกับผู้ประกอบวิชาชีพ ผู้เสียหายได้รับการเยียวยาที่เหมาะสม และพัฒนาคุณภาพหน่วยบริการโดยไม่มีระบบเพ่งโทษตัวบุคคล

4.ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขมาตรา 46 ที่เสนอให้มีการแยกเงินเดือนและค่าตอบแทนบุคลากรออกจากงบเหมาจ่ายรายหัว เนื่องจากการแยกเงินเดือนออกจากงบเหมาจ่ายรายหัว จะมีผลกระทบต่อการกระจายบุคลากร และในการแก้ไขมาตรานี้มีนัยสำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อประชาชนในด้านการเข้าถึงบริการ หากบุคลากรไม่เพียงพอ ดังนั้นควรต้องมีการศึกษาด้านวิชาการ เพื่อนำมาประกอบการพิจารณามาตรานี้ เพื่อให้เกิดความรอบคอบ เนื่องจากการแก้กฎหมายจะส่งผลต่อการปฏิบัติในระยะยาว

5.ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขมาตรา 48 (8) ที่มีการเสนอเพิ่มเฉพาะวิชาชีพ และผู้ให้บริการเนื่องจากจะเป็นการลดสมดุลกรรมการในการพิจารณากรณีปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างผู้ให้บริการและผู้ป่วย ซึ่งในกฎหมายปัจจุบันสัดส่วนของผู้ให้บริการและวิชาชีพมีมากอยู่แล้ว ในขณะที่ในส่วนของผู้ป่วย และผู้รับบริการกลับมีสัดส่วนน้อย ดังนั้นภาคประชาชนจึงเสนอเพิ่มตัวแทนประชาชนจาก 5 คนเป็น 8 คน โดยให้เพิ่มสัดส่วนของงานด้านคุ้มครองผู้บริโภค และหน่วยรับเรื่องร้องเรียนที่เป็นอิสระจากผู้ให้บริการตามมาตรา 50 (5) และเครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์จำนวน 3 คน

ขณะที่ข้อเสนอใหม่เพื่อการปฏิรูปในการแก้ไขกฎหมายจำนวน 7 ประเด็น ได้แก่
1.แก้ไขมาตรา 5 โดย 1.1. ให้บริการสาธารณสุขคนไทยทุกคน รวมถึง บุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิ คนไทยพลัดถิ่น คนไทยตกสำรวจ 1.2. ยกเลิกการเก็บการร่วมจ่าย ณ หน่วยบริการ หรือในแต่ละครั้งที่เข้ารับการบริการ เพราะกระทบต่อการเข้าถึงบริการของผู้ป่วยได้ ก่อให้เกิดการเลือกปฏิบัติหลายมาตรฐาน เป็นสาเหตุความขัดแย้งระหว่างหน่วยบริการและผู้รับบริการ เพื่อยืนยันคำพูดของนายกรัฐมนตรีว่าไม่เคยคิดเก็บเงินซักบาทเดียว

2.แก้ไขมาตรา 9 เสนอให้มีสิทธิประโยชน์ด้านบริการสาธารณสุขเดียวสำหรับทุกคน เนื่องจากสอดคล้องกับยุทธศาสตร์กระทรวงสาธารณสุข 20 ปี ที่ต้องการลดความเหลื่อมล้ำในระบบบริการสาธารณสุข เป็นไปตามเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สนับสนุนสิทธิมนุษยชนด้านสุขภาพที่ทุกคนได้รับบริการสาธารณสุขโดยมีสิทธิประโยชน์เดียวกัน มีมาตรฐาน เพราะปัจจุบันมีสิทธิประโยชน์ในการรับบริการสาธารณสุขที่แตกต่างกัน รวมทั้งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการกองทุน

3.แก้ไขมาตรา 10 เสนอให้มีมีสิทธิประโยชน์เดียวสำหรับประชาชนทุกคน และรัฐต้องจ่ายสมทบเรื่องสุขภาพให้ผู้ประกันตน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำให้ผู้ประกันตนที่ต้องจ่ายสมทบด้านสุขภาพทางตรงเพียงกลุ่มเดียว และเหตุผลอื่นๆ เดียวกันกับการแก้ไขมาตรา 9

4. เสนอให้มีการแก้ไขมาตรา 18 แก้ไขอำนาจของคณะกรรมการ ในการจัดหายา เวชภัณฑ์และอุปกรณ์การแพทย์ที่จำเป็นเพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้เงินกองทุน โดยมีเหตุผลดังนี้

4.1 การเข้าถึงยา วัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีราคาแพงสำหรับผู้ป่วย เช่น ผู้ป่วยเอชไอวี มะเร็ง เป็นต้น
4.2 เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการกองทุน โดยเพิ่มอำนาจกรรมการให้สามารถจัดซื้อยาและอุปกรณ์การแพทย์ราคาแพง 10 ปีที่ผ่านมา สปสช.จัดซื้อยารวมเพียงร้อยละ 4.9 ของการจัดซื้อยา ทำให้สามารถประหยัดงบประมาณได้มากถึง 50,000 ล้านบาท
4.3 ลดภาระงบประมาณของประเทศ หากไม่แก้กฎหมายให้สามารถจัดซื้อได้ รัฐบาลจะต้องนำเงินเพิ่มเติมปีละ5,000 ล้านบาท ท่ามกลางทรัพยากรที่จำกัดของประเทศ
4.4 เป็นโอกาสในการเก็บเงินร่วมจ่าย ณ หน่วยบริการ ซึ่งทำให้เกิดหลายมาตรฐานบริการสาธารณสุข และ
4.5 เกิดความขัดแย้งระหว่างหน่วยบริการและผู้ป่วย

5. แก้ไขมาตรา 26 ให้สามารถตรวจสอบหน่วยบริการที่ไม่โปร่งใส ด้วยเหตุผลดังนี้ ภายใต้ข้อจำกัดของงบประมาณที่ได้รับทำให้ต้องมีการกำหนดการจ่ายในลักษณะ Global budget ซึ่งหากหน่วยบริการใดที่ผลการตรวจสอบเชื่อได้ว่ามีการจงใจจัดทำข้อมูลเพื่อการเบิกจ่ายที่เกินจริงก็จะส่งผลกระทบกับหน่วยบริการอื่น ดังนั้น ควรมีมาตรการที่สามารถดำเนินการลงโทษทางปกครองกับหน่วยบริการที่จงใจเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเกินจริง เพื่อให้เกิดธรรมาภิบาลในการบริหารกองทุนและก่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่หน่วยบริการที่ดำเนินการถูกต้อง ซึ่งการลงโทษทางปกครองเป็นการลงโทษการกระทำของบุคคลที่จงใจฝ่าฝืนกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือคำสั่งของเจ้าหน้าที่

6. แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 47/1 ให้สามารถสนับสนุนองค์กรชุมชน องค์กรเอกชน และภาคเอกชนที่ไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินการแสวงหาผลกำไร ให้สอดคล้องตามคำสั่ง คสช.ที่ 37/2559 6.1 เพื่อให้หน่วยบริการ เครือข่ายหน่วยบริการ หน่วยบริการที่รับการส่งต่อ ผู้รับบริการ องค์กรชุมชน องค์กรเอกชนและภาคเอกชนที่ไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินการแสวงหาผลกำไร และ 6.2 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานของรัฐที่ได้รับมอบหมายให้ทำกิจการในอำนาจหน้าที่ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ตามกฎหมายว่าด้วยหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ มีสิทธิได้รับค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องและจำเป็นต่อการสนับสนุนและส่งเสริมการจัดบริการสาธารณสุขและค่าใช้จ่ายอื่นจากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

7. เสนอให้ตัดบทเฉพาะกาลมาตรา 66 ออกทั้งหมด เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรา 9 และมาตรา 10 เรื่องการบริหารจัดการกองทุนด้านสุขภาพ
[full-post]

Posted: 29 Dec 2017 01:49 AM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)

แรร์ไอเท็ม ผลโหวตสิ่งของแห่งปี 2017 'หมุดหน้าใส' ที่มาแทนหมุดคณะราษฎร เป็นอันดับ 1 ตามด้วย 'นาฬิกาหรู' ของ พล.อ.ประวิตร และกล้องวงจรปิดวิสามัญ 'ชัยภูมิ ป่าแส' ที่จนถึงทุกวันนี้สาธารณชนยังไม่เห็น แต่แม่ทัพภาพที่ 3 บอกว่า "ณ เวลานั้นอาจกดออโต้ได้"


29 ธ.ค. 2560 จากกรณีที่ประชาไทชวนแฟนเพจเฟซบุ๊กร่วมโหวตไอเท็มหรือสิ่งของแห่งปี 2017 ตั้งแต่วันที่ 25 - 28 ธ.ค. ที่ผ่านมา ผลปรากฎว่ามีผู้โหวตให้ หมุดหน้าใส เป็นอันดับ 1 คือ 694 โหวต รองลงมาคือ นาฬิกาลุงป้อม ได้ 424 โหวต และ กล้องวงจรปิดวิสามัญชัยภูมิ ได้ 235 โหวต ส่วน เรือดำน้ำจีน และ บัตรคนจน ตามมาเป็นอันดับที่ 4 และ 5


หมุดหน้าใส

กรณีการหายไปของ ‘หมุดคณะราษฎร’ และถูกแทนที่ด้วย ‘หมุดหน้าใส’ ณ บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า เมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา นำมาสู่การตั้งคำถาม วิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นฝีมือของใครและมีวัตถุประสงค์อย่างไร ซึ่งก็ไม่ยังมีคำตอบ แต่ผู้ที่เรียกร้องและทวงถามกลับถูกเจ้าหน้าที่รัฐคุกคาม ทั้งถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจติดตาม บางรายครอบครัวถูกกดดัน บางรายถูกเจ้าหน้าที่ไปหาแม่ที่ที่ทำงานเพื่อเก็บข้อมูลส่วนตัว บางวงเสวนาถูกเจ้าหน้าที่สั่งงด ไปจนถึงการควบคุมตัว ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญ นักเคลื่อนไหวทางสังคม หลังไปยื่นหนังสือต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อขอให้ดำเนินการตรวจสอบการเปลี่ยนหมุดฯ การคุมตัวนักกิจกรรมและอดีตนักโทษการเมืองอย่าง เอกชัย หงส์กังวาน เข้าค่ายทหาร หลังประกาศจะนำหมุดคณะราษฎรจำลองกลับไปติดที่เดิม หรือการเอาผิดทางกฎหมาย อย่างที่วัฒนา เมืองสุข นักการเมืองพรรคเพื่อไทย ถูกดำเนินคดี ด้วยข้อหานำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จากการโพสต์ว่าหมุดดังกล่าวเป็นโบราณวัตถุ


ภาพหมุดใหม่ จากเฟซบุ๊กแฟนเพจ หมุดคณะราษฎร

มีการวิเคราะห์ว่า การหายไปของหมุดคณะราษฎร อันเป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นประชาธิปไตยไทยและการปรากฏหมุดหน้าใสคือการพยายามลบล้างประวัติศาสตร์การอภิวัฒน์ของคณะราษฎร บ้างก็ว่าหมุดหน้าใสคือสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นกลับไปสู่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สยามใหม่อีกครั้งหนึ่ง แต่นิธิ เอียวศรีวงศ์ นักประวัติศาสตร์ เขียนไว้ในบทความ 'หมุดหาย อะไรโผล่' เห็นแย้งแนวคิดดังกล่าวข้างต้นว่า โอกาสที่จะเกิดเช่นนั้น เป็นไปได้ยากมากหรือเป็นไปไม่ได้เอาเลย เหตุผลก็เพราะว่า เมื่อระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ถูกโค่นล้มไปแล้ว ก็ไม่พบในสังคมใดเลยว่า ระบอบนี้จะสามารถฟื้นตัวขึ้นได้ใหม่ แต่ไม่จำเป็นว่าการโค่นล้มของระบอบนี้จะนำมาซึ่งระบอบประชาธิปไตย ในหลายต่อหลายครั้งมักนำมาซึ่งระบอบสมบูรณาญาสิทธิ์มากกว่า พร้อมชี้ว่า หมุดคณะราษฎรเป็นสัญลักษณ์การสิ้นสุดของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สยาม ไม่ใช่การสิ้นสุดของสถาบันกษัตริย์ เมื่อเอาหมุดนั้นออกไป ก็ไม่ทำให้สมบูรณาญาสิทธิราชย์ฟื้นคืนชีพขึ้นได้ ตรงกันข้าม เพื่อให้หมุดนั้นสูญหายไปชั่วนิรันดร์อย่างไม่มีวันหวนคืนกลับมาได้อีก กลับทำให้ต้องพึ่งพิงสมบูรณาญาสิทธิ์นายพลมากขึ้น จนทำให้สมบูรณาญาสิทธิ์นายพลเริ่มมีความชอบธรรมในตัวเอง

หมุดคณะราษฏรถูกรื้อถอน พบหมุดใหม่ “ประชาชนสุขสันต์หน้าใส” มาฝังแทนที่
เปิดภาพจากจุดเช็คอินลานพระบรมรูปทรงม้า ก่อนหมุดคณะราษฎรหาย
นิธิ เอียวศรีวงศ์: หมุดหาย อะไรโผล่
รวมกรณีการถูกคุกคามก่อนหน้าวันครบรอบ 85 ปีเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ขุดคุ้ยประวัติศาสตร์กับ 'ธำรงศักดิ์': หมุดคณะราษฎร ‘เสี้ยน’ ที่บ่งไม่ออก (สักที) 

นาฬิกาลุงป้อม

นาฬิกาข้อมือราคาแพง ยี่ห้อริชาร์ด มิลล์ ปรากฎขึ้นมาหลังจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สวมใส่ถ่ายรูปหมู่คณะรัฐมนตรีเมื่อ 4 ธ.ค.ที่ผ่านมา จนเกิดการตั้งข้อสังเกตุในโซเชียลเน็ตเวิร์ก พร้อมทั้งตรวจสอบพบว่าไม่มีในรายการทรัพย์สินที่แจ้งต่อ คณะกรรมการป้องกันะละกราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นั้น โดยที่ต่อมา พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า นาฬิกาและแหวนเป็นของเก่าเก็บที่มีมานานแล้ว ที่ผ่านมาสวมแหวนวงนี้มาโดยตลอด มีน้ำหนักเพียง 1 กะรัต แต่เมื่อวานนี้เป็นเรื่องบังเอิญที่แหวนกระทบกับแสงแดดจนเกิดแสงสะท้อนต่อหน้าสื่อมวลชนพอดี หลังกระแสวิพากษ์วิจารณ์ สื่อมวลชนได้สอบถาม พล.อ.ประวิตร ถึงกรณีดังกล่าว ซึ่งตอบกลับมาว่า จะชี้แจงให้ ป.ป.ช. โดยไม่ต้องตอบสื่อมวลชน


นอกจากนาฬิกาที่ปรากฎในภาพถ่ายนั้นแล้ว ผู้ใช้เฟซบุ๊กยังมีการนำภาพ พล.อ.ประวิตร ในวาระอื่นๆ ซึ่งปรากฎเห็นนาฬิกาอีกหลายเรือน อีกด้วย และ 7 ธ.ค. ที่ผ่านมา ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้ยื่นร้องเรียนต่อ ป.ป.ช.ให้ตรวจสอบกรณีดังกล่าว โดย ศรีสุวรรณ ระบุว่า ทรัพย์สินดังกล่าวไม่ปรากฎในเอกสารบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน ซึ่งได้รายงานไว้ต่อ ป.ป.ช. เมื่อครั้งเจ้ารับตำแหน่งทางการเมืองเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 57 อันอาจขัดต่อ พ.ร.บ. ป.ป.ช. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 32 มาตรา 33 และมาตรา 34 ประกอบมาตรา 66 ซึ่ง ป.ป.ช. จะต้องดำเนินการไต่สวนและยื่นฟ้องเป็นคดีฐานจงใจไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อป.ป.ช. หรือจงใจยื่นบัญชีฯด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ โดยต้องเสนอเรื่องให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัยโดยเร็วต่อไป

ศรีสุวรรณ ชี้ด้วยว่า นอกจากกรณีนี้อาจมีลักษณะจงใจยื่นบัญชีฯด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบแล้ว ยังอาจเข้าข่าย การร่ำรวยผิดปกติ ตามมาตรา 66 อีกด้วยเนื่องจากตามเอกสารบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน ซึ่ง พล.อ.ประวิตร ได้รายงานไว้ต่อ ป.ป.ช. เมื่อครั้งเจ้ารับตำแหน่งทางการเมืองเมื่อวันที่ 7 ต.ค.57 นั้นพบว่ามีบัญชีเงินฝากในธนาคารมากถึงกว่า 53 ล้านบาท ซึ่งรวมทรัพย์สินอื่น ๆ แล้วมีมูลค่ามากกว่า 87 ล้านบาท ซึ่งไม่ปรากฏที่มาของเงินในบัญชีธนาคารและทรัพย์สินอื่น ๆ ทั้งนี้หากจะประมาณการจากการที่พล.อ.ประวิตรรับราชการทหารมาประมาณ 40 ปีและเป็นนักการเมืองมา 2 สมัยและไม่ได้มีธุรกิจใดๆ เลยนั้นก็ไม่น่าที่จะมีรายได้มากมายถึงขนาดนี้

ป.ป.ช.ขีดเส้น 30 วัน 'พล.อ.ประวิตร' แจงปมนาฬิกาหรู
รวบเอกชัยหน้าบ้านสี่เสา เตรียมมอบนาฬิกาให้บิ๊กป้อม อายแทนไม่อยากให้ตกเป็นขี้ปากชาวบ้าน
ของเก่าเก็บ? ตรวจบัญชีทรัพย์สินย้อนหลังไม่พบ 'ประวิตร' ยื่นรายการ นาฬิกาหรู ให้ ป.ป.ช.
ข้องใจ 'ศรีสุวรรณ' จ่อร้องสอบปมนาฬิกาหรู - ประวิตร ขอแจง ป.ป.ช. เอง

กล้องวงจรปิดวิสามัญชัยภูมิ

กล้องวงจรปิด กลายเป็นหลักฐานที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมจำนวนมาก จากกรณีของ ชัยภูมิ ป่าแส นักกิจกรรมชาวลาหู่ อายุ 17 ปี ที่ถูกเจ้าหน้าที่ทหารวิสามัญฆาตกรรม ณ ด่านตรวจบ้านรินหลวง ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ในวันที่ 17 มี.ค.ที่ผ่านมา แต่ปัจจุบันคดีนี้กำลังอยู่ระหว่างไต่สวนการตาย ซึ่งทางสุมิตรชัย หัตถสาร ทนายความศูนย์พิทักษ์และฟื้นฟูสิทธิชุมชนท้องถิ่น และทนายความของครอบครัวชัยภูมิ กล่าวว่า จนถึงตอนนี้ยังไม่เห็นภาพจากกล้องวงจรปิด โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจเคยได้ฮาร์ดดิสก์กล้องวงจรปิดจากทหารแล้วแต่ก็เปิดนำภาพออกมาไม่ได้ และได้พยายามขอให้ทหารส่งมาใหม่ตั้งแต่ก่อนที่เรื่องจะถึงอัยการแล้ว โดยต้นปีหน้า สุมิตรชัย จะขอให้ศาลออกหมายขอภาพจากกล้องวงจรปิดไปยังหน่วยที่ตั้งอยู่ ณ ที่เกิดเหตุ และทำสำเนาให้กับ พล.ท.วิจักขฐ์ สิริบรรสพ แม่ทัพภาพที่ 3 ที่เคยระบุว่าได้เห็นภาพจากกล้องวงจรปิดแล้ว จนกระทั้งบอกว่า "ถ้าเป็นผม ณ เวลานั้นอาจกดออโต้ได้"

ทนายครอบครัว ‘ชัยภูมิ ป่าแส’ เผยยังไม่เห็น 'ภาพวงจรปิด' ในชั้นศาล
เปิด Timeline จากปากคำชาวกองผักปิ้ง วัน ชัยภูมิ ป่าแส ถูกทหารวิสามัญฯ
เปิดข้อมูลเจ้าของรถที่ "ชัยภูมิ ป่าแส" นั่ง-พบซื้อรถปี 58 ยังจัดไฟแนนซ์-ไม่มีข้อมูลต้องคดี
กสม. แจงเงินของ 'ชัยภูมิ' มาจากธุรกิจกาแฟ จี้ผบช.ภาค 5 หากมีหลักฐานก็เปิดต่อสังคม

เรือดำน้ำจีน


ช่วงเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา รัฐบาลการจัดซื้อเรือดำน้ำจากประเทศจีน ซึ่งระบุเป็นเอกสารลับในราคากว่า 3.6 หมื่นล้านบาท จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคม ซึ่ง พล.อ.ประวิตร อธิบายว่า ทางคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติจัดซื้อเรือดำน้ำมานานแล้ว ซึ่งไม่ได้เป็นการอนุมัติเงียบอย่างที่กล่าวอ้างกันแต่อย่างใด โดยการจัดซื้อเรือดำน้ำนั้นมีความจำเป็นอย่างมาก เพราะทางกองทัพเรือมีความต้องการมานานแล้ว เพื่อจะได้ใช้เป็นยุทธศาสตร์ 200 ไมล์ทะเลทางทะเลฝั่งทะเลอันดามันของประเทศไทย เพื่อปกป้องดูแลทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลของชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น มาเลเซีย อินโดนิเซีย สิงคโปร์ และเวียดนาม ซึ่งเป็นประเทศติดกับทะเลต่าง ๆ ก็ต้องจัดหาเรือดำน้ำไว้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ทางทะเลของประเทศ เช่นกัน


นอกจากกระแสวิพากษ์วิจารณ์เรื่องความโปร่งใส ในประเด็นรัฐบาลไม่เปิดเผยข้อมูลรายละเอียดการจัดซื้อเรือดำน้ำจากจีนนั้น เดือนเด่น นิคมบริรักษ์ ผู้อำนวยการวิจัย สถาบันเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(ทีดีอาร์ไอ) ชี้ว่าถือว่ามีปัญหาเรื่องความโปร่งใสแล้ว

ยังมีการตั้งคำถามถึงความจำเป็นในการจัดซื้อด้วย เช่น 26 เม.ย.ที่ผ่านมา ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีนี้ว่า การจัดซื้อดังกล่าวต้องคำนึงถึงว่าเมื่อมีเม็ดเงินจำกัด ฝ่ายบริหารต้องพิจารณาว่าจะใช้อะไรเป็นอย่างแรก เพราะทราบว่ารัฐบาลมีความจำเป็นถึงขนาดจะยอมยกเลิก 30 บาท แต่กลับไปซื้อเรือดำน้ำตรงนี้ก็ต้องพิจารณาว่าอะไรเร่งด่วนกว่ากัน และอะไรคือความคุ้มค่า ในภาวะเช่นนี้ ทั้งนี้ ในฐานะเคยเป็นอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมก็เข้าใจในเรื่องความต้องการที่จะมีเรือดำน้ำไว้เพื่อป้องกันประเทศเพื่อความมั่นคง แต่วันนี้บ้านเมืองยังอยู่ในสภาวะปกติ อาจมีบางส่วนที่สามารถที่จะชะลอได้ แล้วนำงบประมาณนั้นไปใช้ในสิ่งที่เร่งด่วนกว่า ซึ่งในวันข้างหน้าหากมีงบประมาณและมีความสามารถในการหารายได้มากขึ้น มีงบประมาณเหลือเพียงพอ ก็สามารถที่จะซื้อสิ่งที่ต้องการหรือต้องใช้ในอนาคตได้ เพราะการซื้อเรือดำน้ำเป็นการซื้อที่มีภาระผูกพันในอนาคต เป็นภาระด้านงบประมาณรายจ่ายต่อปี ค่าบำรุงรักษา จึงเป็นภาระระยะยาว ยังไม่รวมถึงค่าบำรุงรักษา การฝึกยุทโธปกรณ์ต่างๆ และจำนวนเรือดำน้ำ ซึ่งต้องดูประกอบว่าน่านน้ำที่ต้องการจะต้องใช้กี่ลำ เท่าที่ทราบต้องมีเป็นชุดไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถทำงานป้องกันได้ ถ้าสั่งมาเพื่อทดสอบอย่างเดียวก็สามารถซื้อในช่วงที่ไม่เกิดภาวะเร่งด่วนหรือว่ารัฐมีเงินงบประมาณเหลือเพียงพอที่จะใช้ในส่วนนั้นได้ ดังนั้นสิ่งหนึ่งการใช้งบประมาณจะต้องคำนึงว่าเงินอะไรที่ใช้เร่งด่วนก็ต้องใช้สิ่งนั้นก่อน โดยเฉพาะความเป็นอยู่ เรื่องความจำเป็นในการบริหารบ้านเมืองและเรื่องปากท้องของพี่น้องประชาชนจากนั้นสิ่งที่อยากได้ ก็จะเป็นความสำคัญอันดับสองรองลงมา ซึ่งฝ่ายบริหารเท่านั้นที่ต้องใช้ดุลยพินิจในการตัดสินใจเรื่องนี้

ประวิตร แจงที่ไม่แถลงซื้อเรือดำน้ำ เหตุเป็นเอกสารลับ ย้ำดำเนินการโปร่งใส
ศรีสุวรรณ มาแล้ว จ่อยื่น ผู้ว่า สตง. สอบปมจัดซื้อเรือดำน้ำจีน พรุ่งนี้
ทีดีอาร์ไอระบุดัชนีคอร์รัปชั่นไม่ดีขึ้นหรือแย่ลง ซื้อเรือดำน้ำอาจมีปัญหาความโปร่งใส
ปมซื้อเรือดำน้ำจีน 'พท.-ปชป.' ขอ รบ.ทบทวน อธิบายสังคมให้รอบคอบ
ทหารเยี่ยมบ้าน 'ศรีสุวรรณ' หลังยื่นผู้ตรวจฯ สอบกองทัพเรือซื้อเรือดำน้ำผิด พ.ร.บ.งบประมาณ – รธน.
เจาะดีลเรือดำน้ำ “ถูกและดีมีจริงหรือ” กองทัพมาก่อน ปากท้องมาทีหลัง

บัตรคนจน 

โครงการประชารัฐสวัสดิการการให้ความช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือที่เรียกกันว่า ‘บัตรคนจน’ ของรัฐบาล คสช. มีประชาชนซึ่งลงทะเบียนไว้กว่า 11 ล้านคนที่ได้รับบัตรดังกล่าว พร้อม 2 สิทธิพิเศษคือ มาตรการลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือนและมาตรการช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ซึ่งมาตรการหลังเป็นการเปลี่ยนจากการไม่ต่ออายุมาตรการรถเมล์และรถไฟฟรีที่ให้แก่ประชาชนทุกคน มาเป็นการช่วยเหลือเฉพาะผู้มีบัตรดังกล่าว


ที่มาภาพประกอบ: สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์

ข้อวิพากษ์วิจารณ์หนึ่งของ ‘บัตรคนจน’ คือข้อกังวลว่านี่คือการนำร่องเพื่อบ่อนทำลายแนวคิด ‘รัฐสวัสดิการ’ ที่วางบนฐานความคิดว่าทุกคนในสังคมไม่ว่าจะยากดีมีจนมีความเท่าเทียมกันและต้องสามารถเข้าถึงสิทธิของตนได้ โดยรัฐต้องเป็นผู้จัดสรรให้ไปสู่ ‘รัฐสังคมสงเคราะห์’ หรือการช่วยเหลือเฉพาะกลุ่ม ข้ออ้างหนึ่งที่รัฐใช้กับนโยบายนี้คือวาทกรรมว่าคนรวยแอบมาใช้สวัสดิการดังกล่าว ซึ่งนอกจากเชิงแนวคิดจะมีปัญหาแล้ว ในเชิงเทคนิคก็ยังมีปัญหาด้วย ดังที่สมชัย จิตสุชน นักวิชาการจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยหรือทีดีอาร์ไอ วิจารณ์ช่องโหว่ของนโยบายดังกล่าวในบทความ ‘จนไม่จด คนจดกลับไม่จน’ พร้อมเสนอว่าการทำให้เป็นสิทธิแบบถ้วนหน้าเป็นวิธีที่ช่วยเหลือประชาชนได้ผลที่สุดที่จะทำให้ช่วยเหลือคนจนได้โดยไม่ตกหล่น พร้อมโต้วาทกรรมคนรวยแอบมาใช้สวัสดิการด้วยว่า รวยจริงๆ คงไม่มาใช้ ยกเว้นแต่ชนชั้นกลาง อย่างไรก็ตาม หากจะรั่วไหลก็ยังดีกว่าช่วยได้ไม่ทั่วถึง

นักวิจัยทีดีอาร์ไอ ชี้ช่องโหว่นโยบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ‘จนไม่จด คนจดกลับไม่จน’
จาตุรนต์ ฉายแสง: 'บัตรคนจน' อาจเป็นเรื่องใหญ่กว่าที่เป็นอยู่
'ศรีสุวรรณ' จี้รัฐบาลหยุดเอื้อประโยชน์ธุรกิจให้เจ้าสัวผ่านบัตรคนจน
TCIJ : ทำไมต้องมี ‘บัตรคนจน’? หวั่นซ้ำซ้อน-ซ้ำรอยปัญหา ‘บปช.สมาร์ทการ์ด’
[full-post]


Posted: 29 Dec 2017 04:25 AM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)

นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีฯ ชาวมลายูมุสลิมชายแดนใต้ ถูกกลุ่มคนอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่เก็บข้อมูลส่วนตัวอย่างละเอียด ขณะที่กลางเดือนที่ผ่านมา แม่ทัพภาคที่ 4 เปิดการอบรมยุทธศาสตร์ประชาชนมีส่วนร่วมต่อต้านการก่อเหตุรุนแรงนอกพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้

29 ธ.ค. 2560 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มูฮัมหมัดกัสดาฟี กูนา นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช เปิดเผยว่า เมื่อเวลาประมาณ 14.00 วันนี้ (29 ธ.ค.60) ขณะที่เขากำลังรับประทานอาหารอยู่ในร้านอาหารมุสลิมกับเพื่อนใกล้มัสยิด มีเจ้าหน้าที่ทั้งหมด 6 นายมาในรถกะบะไม่ติดป้ายทะเบียน เข้ามาอ้างว่า เป็นตำรวจจากกองปราบปรามพิเศษ นครศรีธรรมราช เข้ามาหาที่ร้านอาหาร และถามหาคนที่เป็นชาวมลายูมุสลิมจากปัตตานี ยะลา และนราธิวาส เมื่อเจ้าหน้าที่ทราบว่า เขาและเพื่อนอีกสามคน และเจ้าของร้านอาหารเป็นชาวมลายูมุสลิมจากสามจังหวัด จึงได้ทำการ “ขอสัมภาษณ์”

มูฮัมหมัดกัสดาฟี ระบุว่า การขอสัมภาษณ์กลับกลายเป็นการเก็บข้อมูลส่วนตัวอย่างละเอียด โดยเจ้าหน้าที่ได้ขอบัตรประชาชน นำบัตรไปถ่ายรูป พร้อมกับถ่ายรูปตัว กรอกรายละเอียดลงในเอกสาร ซึ่งมีช่องให้กรอกข้อมูลส่วนตัวอย่างละเอียด รวมถึงชื่อบิดา มารดา ชื่อเพื่อนสนิท เบอร์โทรศัพท์ ความสูง ลักษณะรูปพรรณสันฐาน ลักษณะตา หู จมูก ปาก รอยแผลเป็น และให้ทั้งสี่คนพิมพ์ลายนิ้วมือ และเซ็นชื่อในเอกสาร

มูฮัมหมัดกัสดาฟี พยายามสอบถามเจ้าหน้าที่ถึงจุดประสงค์ของการเก็บข้อมูล ซึ่งเจ้าหน้าที่ตอบว่า ต้องการรวบรมข้อมูลของชาวสามจังหวัดไว้เฉยๆ เขากล่าวเพิ่มว่า เจ้าหน้าที่บางคนใส่เสื้อกั๊กมีข้อความว่า “สพ.อ. นครศรีธรรมราช”

ในวันเดียวกันนั้น เขาได้รับข้อมูลอีกว่า เจ้าหน้าที่ได้เข้าไปเก็บข้อมูลแบบเดียวกันในหอพักนักศึกษา ซึ่งทำให้เกิดความกังวลและความกลัวในหมู่นักศึกษาเป็นอย่างยิ่ง เขายังระบุด้วยว่า มีคนโดนแบบเขาทั้งหมดมีมากกว่า 20 กว่าคน ที่เขาตรวจสอบได้ได้
"เขามุ่งเป้าคนพูดยาวีเท่านั้น" "อย่างนี้ไม่ใช่การมาขอข้อมูลแล้ว แต่เป็นการคุกคามและลิดรอนสิทธิ ผมรู้สึกไม่โอเค อยากให้เจ้าหน้าที่ชี้แจง" มูฮัมหมัดกัสดาฟี กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า แม้จังหวัดนครศรีธรรมราชจะไม่ใช่พื้นที่ที่มีการใช้กฎหมายความมั่นคง เจ้าหน้าที่กลับใช้อำนาจเก็บข้อมูล ของชาวมลายูมุสลิม อย่างละเอียด ซึ่งรวมถึงข้อมูลรูปพรรณสันฐาน ข้อมูลบัตรประชาชน ลายนิ้วมือ ทำให้เกิดความรู้สึกตกเป็นเป้าและหวาดกลัวของหมู่นักศึกษาชาวมลายูในจังหวัดนครศรีธรรมราช

ย้อนไปเมื่อกลางเดือนที่ผ่านมา 18 ธ.ค. 60 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า) รายงานว่า พล.ท. ปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4 และผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 เป็นประธานเปิดโครงการ “ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ประชาชนมีส่วนร่วม ในการต่อต้านการก่อเหตุรุนแรงนอกพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ “ ณ ห้องประชุม โรงแรมแกรนด์เซาร์เทิน อ.ทุ่งส่ง จ.นครศรีธรรมราช


ภาพโครงการ “ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ประชาชนมีส่วนร่วม ในการต่อต้านการก่อเหตุรุนแรงนอกพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ “ ณ ห้องประชุม โรงแรมแกรนด์เซาร์เทิน อ.ทุ่งส่ง จ.นครศรีธรรมราช

สำหรับโครงการขับเคลื่อนทางยุทธศาสตร์ประชาชนมีส่วนร่วม กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ระบุว่า เป็นกิจกรรมของการพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง หรือการต่อต้านการก่อเหตุรุนแรงนอกพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ถือเป็นยุทธศาสตร์ปกป้องมาตุภูมิเพื่อความมั่นคงเชิงรับ โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อสกัดกั้นขบวนการ การก่อเหตุรุนแรง นอกพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจให้ประชาชนตื่นตัวและมีความเข้าใจในขบวนการ การก่อเหตุรุนแรง รวมทั้งได้มีความเข้าใจในแนวทางการปฎิบัติ และการแก้ปัญหาของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 และรัฐบาลอย่างอย่างถูกต้อง อีกทั้งยังเป็นการสร้างเครือข่ายประชาชนให้มีจิตสำนึกในการปกป้องและหวงแหนแผ่นดินเกิด

กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า รายงานด้วยว่า การอบรมในครั้งนี้ เป็นโครงการต่อเนื่อง และ นับเป็นรุ่นแรกในปีงบประมาณ 2561 โดยมีวิทยากรที่มีความรู้ ผ่านประสบการณ์การทำงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มาให้ความรู้ ความเข้าใจในกระบวนการ การก่อเหตุรุนแรง โดยนำเอาประสบการณ์ที่ได้พบเห็นหรือร่วมแก้ปัญหาด้วยตัวเองมาถ่ายทอดแนะนำแนวทางให้กับผู้เข้าร่วมอบรมได้รับรู้ อย่าถูกต้อง และ เกิดจิตสำนึกร่วมในการแก้ปัญหา ร่วมกับเจ้าหน้าที่ภาครัฐ อันจะนำไปสู่กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการดูแลพื้นที่เพื่อให่เกิดความปลอดภัยต่อไป


ที่มาภาพ : เฟซบุ๊กแฟนเพจ เครือข่ายคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกายทั่วโลก 

Posted: 28 Dec 2017 04:25 AM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)

อัยการยื่นฟ้องอดีตโฆษกศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย เป็นจำเลยต่อศาล จากการแถลงและเผยแพร่แถลงการณ์ผ่านเฟซบุ๊กกรณีตรวจค้นวัดของเจ้าหน้าที่รัฐ ศาลรับฟ้องคดีไว้พิจารณา พร้อมให้ประกันตัว 4 แสน นัดตรวจพยานฯ 26 ก.พ.61

28 ธ.ค. 2560 รายงานข่าวระบุว่า วันนี้ เมื่อ เวลา 9.30 น. พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 8 สำนักงานอัยการสูงสุด ยื่นฟ้อง องอาจ ธรรมนิทา โฆษกศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย เป็นจำเลยในความผิด ทำให้ปรากฎแก่ประชาชนด้วยวาจาหรือวิธีใดอื่นมิใช่การกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือเพื่อแสดงความเห็น ติชมโดยสุจริต เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดก่อความไม่สงบหรือล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 ต่อศาลอาญา รัชดา กรุงเทพฯ กรณีการแถลงข่าวจุดยืนคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. 2559

ศาลได้ประทับรับฟ้องคดีไว้พิจารณา พร้อมทั้งสอบคำให้การ องอาจ โดยอ่านและอธิบายฟ้อง แล้วสอบถาม ซึ่ง องอาจ ได้ให้การปฏิเสธ ขอต่อสู้คดี และจัดเตรียมทนายความไว้แก้ต่างคดี ศาลจึงนัดตรวจพยานหลักฐานอีกครั้ง ในวันที่ 26 ก.พ. 2561 เวลา 13.30 น.

จากนั้น วิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความจำเลยได้ยื่นหลักทรัพย์เป็นเงินสด 400,000 บาท ขอปล่อยชั่วคราวระหว่างสู้คดี และต่อมาศาลได้มีคำสั่งให้ประกันตัว พร้อมกำหนดเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล

คดีดังกล่าวสืบเนื่องจาก 9 ธันวาคม 2559 กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอจัดประชุมเจ้าหน้ารัฐเพื่อตรวจค้นจับกุมพระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายตามหมายจับศาลอาญา จำเลยเป็นโฆษก ศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย ได้แถลงด้วยวาจาและเผยแพร่แถลงการณ์ผ่านเฟซบุ๊กชื่อ เครือข่ายศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกายทั่วโลก เนื้อหาระบุถึงสถานการณ์ส่อจะเกิดความรุนแรงของเจ้าหน้าที่รัฐกับสถาบันพระพุทธศาสนามาจากการดำเนินการของพนักงานสอบสวนคดี สหกรณ์เครดิตยูเนียนคลองจั่น ที่เกี่ยวโยงกันไม่มีความเป็นธรรมหลายประการและมีเจตนากลั่นแกล้ง เช่น การสั่งหยุดออกอากาศสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม DMC โดยไม่ไต่สวน ทั้งที่มีเนื้อหาในการสอนธรรมมะ ซึ่งเป็นคำสั่งที่นำโดยพลตำรวจเอกศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งข่าวปรากฎว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐ 3,000 คน เตรียมบุกวัดธรรมการต่อเนื่อง 4 วัน มีการสั่งเตรียมแพทย์ซึ่งจะทำให้มีผู้บาดเจ็บ ส่อให้เห็นว่าจะมีการใช้ความรุนแรง และจะเป็นบาดแผลอย่างลึกซึ้งระหว่างสถาบันชาติกับพระพุทธศาสนา การกระทำดังกล่าวได้เผยแพร่ให้บุคคลทั่วไปที่มาร่วมฟังแถลงข่าวและใช้เฟซบุ๊กได้รับทราบ ทำให้ประชาชนที่เห็นข้อความดังกล่าวเข้าใจว่าพนักงานของรัฐกระทำการรุนแรงไม่ชอบด้วยกฎหมาย กลั่นแกล้งดำเนินคดีกับวัดพระธรรมกาย อันเป็นการกระทำเพื่อก่อให้เกิดความกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนที่จะเกิดความไม่สงบ หรือล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ชั้นสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธ



ที่มา : สำนักข่าวไทยและเฟซบุ๊กแฟนเพจ เครือข่ายคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกายทั่วโลก


Posted: 28 Dec 2017 08:11 AM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)

นายจ้างมิตซูบิชิฯ ใช้สิทธิปิดงานงดจ้าง หลังเจรจาพิพาทแรงงานกับสหภาพแรงงานเพื่อปรับสภาพการจ้างไม่คืบ ด้านคนงานระบุนายจ้างยื่นเงื่อนไขสวนไม่เป็นธรรม เตรียมพบ รมว.แรงงาน-ไปทำเนียบ รองประธาน คสรท. ชี้บริษัทฯปรับโครงสร้างใหม่ คนงานเงินเดือนลด

28 ธ.ค. 2560 สื่อหลายสำนักรายงานตรงกันว่า เมื่อ 27 ธ.ค.ที่ผ่านมา โนริคาสึ อิชิคาว่า ประธานบริษัท มิตซูบิชิ อีเล็คทริค คอนซูมเมอร์ โปรดักส์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้ลงนามในประกาศเรื่อง ขอใช้สิทธิปิดงานงดจ้าง ส่งถึงประธานสหภาพแรงงาน มิตซูบิชิฯ และสมาชิกสหภาพ และพนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานจังหวัดชลบุรี ระบุว่า ตามที่สหภาพแรงงาน มิต​ซูบิชิ อีเล็คทริค ประเทศไทย ได้ยื่นข้อเรียกร้องเพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้าง ประจำปี 2560 ตามหนังสือเลขที่ สมอท.058/2560 ลงวันที่ 7 ก.ย. 2560 ต่อบริษัท มิตซูบิชิ อีเล็ดทริค คอนซูมเมอร์ โปรดักส์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งผู้แทนทั้งสองฝ่ายได้ทำการเจรจาร่วมกัน 7 ครั้ง แต่ไม่สามารถหาข้อยุติตกลงกันได้ ต่อมาสหภาพแรงงาน มิตซูบิชิ ประเทศไทย ได้แจ้งข้อพิพาทแรงงาน ต่อสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จ.ชลบุรี เมื่อวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา และพนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานได้นัดหมายผู้แทนการเจรจาทั้งสองฝ่าย ทำการเจรจาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทแรงงาน โดยมีการไกล่เกลี่ยตั้งแต่วันที่ 6 พ.ย.- 2 ธ.ค. 2560 รวม 10 ครั้ง แต่ผลการเจราจาทั้งสองฝ่ายไม่สามารถตกลงกันได้

ประกาศของบริษัทฯ ระบุว่า อาศัยอำนาจตามมาตรา 22 ของพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ 2518 บริษัทฯ จึงขอใช้สิทธิปิดงานเฉพาะข้อเรียกร้องของสหภาพแรงงานฯ โดยไม่จ่ายค่าจ้างและสวัสดิการอื่นใดให้กับมวลชนสมาชิกสหภาพแรงงานฯ และผู้เกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2560 เวลา 06.00 น. เป็นต้นไป จนกว่าข้อเรียกร้องจะตกลงกันได้ สำหรับลูกจ้างอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องให้เข้าทำงานและได้รับค่าจ้างตามปกติ

คนงานประท้วงหน้า สนง.คุ้มครองแรงงาน ชลบุรี

ขณะที่ ผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า ช่วงบ่ายวันนี้ (28 ธ.ค.) กลุ่มตัวแทนพนักงานบริษัท มิตซูบิชิฯ กว่า 200 คน จากพนักงานทั้งสิ้นกว่า 2,000 คน ได้รวมตัวประท้วง ที่หน้าสำนักงานสวัสดิการที่และคุ้มครองแรงงาน จ.ชลบุรี อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี เพื่อเรียกร้องค่าแรงและสวัสดิการ จากบริษัทฯ ซึ่งวันนี้ กระทรวงแรงงาน ได้นัดเจรจา 3 ฝ่าย ประกอบด้วยลูกจ้าง นายจ้าง และสํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดชลบุรี กระทรวงแรงงาน พร้อมเจ้าหน้าที่ประนอมข้อพิพาท จากส่วนกลาง เพื่อมาร่วมไกล่เกลี่ยในครั้งนี้ โดยนั่งรอนายจ้างนานกว่า 2 ชั่วโมง นายจ้างที่เป็นชาวญี่ปุ่นไม่ก็มาตามนัดหมายนี้ โดยอ้างว่าไม่มีความปลอดภัยในการเดินทางมาเจรจาในครั้งนี้

10 ข้อเรียกร้องสหภาพฯ 

สมชาย ไชยมาตย์ พนักงานบริษัทมิตซูบิชิฯ และรองประธานสหภาพฝ่ายคุ้มครองแรงงาน กล่าวว่า ที่ผ่านมาพนักงานได้ยื่นข้อเรียกร้อง 10 ข้อ ประกอบด้วย 1. การปรับค่าจ้างเงินเดือนประจำปี 2561 ให้กับพนักงานทุกคน ในอัตราเฉลี่ยร้อยละ 7.50 ของค่าจ้างพื้นฐาน ตามการประเมินผลการปฏิบัติงาน 2. การจ่ายโบนัสประจำปี 2560 ในอัตรา 8.00 เท่า ของค่าจ้างเงินเดือนสุดท้าย บวกเงินพิเศษ 40,000 บาท 3. ประกันสุขภาพกลุ่ม 4.ค่าฝีมือการปฏิบัติงาน 5.การสมัครใจลาออกก่อนกำหนดเกษียณอายุการทำงาน อายุครบ 10 ปี ,15 ปี 20 ปี และครบ 25 ปี จ่ายเงินช่วยเหลือเท่ากับอัตราค่าจ้างสุดท้าย คือ 240 วัน ,270 วัน ,300 วัน และ 360 วัน ตามลำดับอายุงาน

6. สวัสดิการแสดงความยินดีแก่พนักงาน เช่น เงินขวัญถุงแต่งงานของพนักงาน จาก 2,000 บาท เป็น 3,000 บาท ,คลอดบุตร จาก 1,500 บาท เป็น 2,500 บาท และอุปสมบท จาก 2,000 บาท เป็น 3,000 บาท 7. สวัสดิการสิทธิลาคลอด ไม่ได้รับเงินค่าจ้าง ตั้งแต่วันที่ 46 จนถึง 90 วัน ได้รับเงินช่วยเหลือวันละ 300 บาท 8. ค่าปฏิบัติงานอาวุโส 9.ค่าการส่งเสริมกิจกรรมด้านแรงงานสัมพันธ์ และ 10. ผลประโยชน์อื่นใด ที่พนักงานเคยได้รับและไม่ได้ระบุอยู่ในข้อตกลงในครั้งนี้ ให้คงสภาพไว้ตามเดิม
บริษัทฯ ยื่นเงื่อนไขสวน

สมชาย กล่าวต่อไปว่า สำหรับข้อเรียกร้องต่างๆของสหภาพแรงงาน นั้น บริษัทได้ยื่นเงื่อนไข โดยเฉพาะการปรับค่าจ้างแบบใหม่ที่สหภาพเรียกร้องให้ใช้ระบบเดิม คือ 4-6 เปอร์เซ็นต์ เช่น เงินเดือน 20,000 บาท ก็จะได้ค่าจ้าง 1,200 บาทต่อปี แต่บริษัทจะจ่ายให้ในอัตราเท่ากันในแต่ละปีเป็นจำนวนเงิน 400 บาท โดยไม่ต้องประเมินผลการปฏิบัติงาน ซึ่งหากรับข้อเสนอนี้ ขอเรียกร้องอื่นๆก็จะพิจารณาต่อไป
สหภาพฯ มองไม่เป็นธรรม เล็งพบ รมว.แรงงาน-ไปทำเนียบต่อ

สมชาย ระบุว่า ข้อเสนอของบริษัทฯ ดังกล่าว ทางสหภาพเห็นว่าไม่เป็นธรรม ทำให้บริษัทไม่ยอมเจรจาต่อไป แม้กระทรวงแรงงานจะเข้ามาไกล่เกลี่ยแล้วถึง 10 ครั้ง ก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไปบังคับหรือทำอะไรกับบริษัทฯนี้ได้

“โดยหลังจากนี้ คณะกรรมการสหภาพ จะประชุมใหญ่ในวันที่ 6-7 มกราคม 2561 นี้ เพื่อจะกดดันต่อไป เช่น เข้าพบผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี จากนั้นจะเข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน หรือบุกไปทำเนียบต่อไป” นายสมชาย กล่าว

ชี้บริษัทฯปรับโครงสร้างใหม่ คนงานเงินเดือนลด

ด้าน ชาลี ลอยสูง รองประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) กล่าวว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นจากการที่บริษัทฯ​ ได้ปรับโครงสร้างการปรับเงินเดือนใหม่ จากเดิมเคยให้ฐานเงินเดือนเฉลี่ยเป็นเปอร์เซ็นต์ต่อคน ทำให้เมื่อลูกจ้างบวกลบค่าจ้างพบว่า ไม่ได้ปรับฐานเงินเดือนขึ้น แต่เงินเดือนลดลง รวมถึงโบนัสที่เคยได้กลับไม่ได้ ทำให้ลูกจ้างราว 1,800 คน ได้เรียกร้องต่อนายจ้างเพื่อขอเจรจาให้ปรับเปลี่ยนโครงสร้าง ซึ่งได้เริ่มเจราจาตั้งแต่ ก.ย. เป็นต้นมา จนครั้งสุดท้ายคือ วันที่ 27 ธ.ค. พบว่า ยังไม่มีข้อยุติ ทำให้ช่วงเช้าของวันนี้นายจ้างขอปิดงานงดจ้างลูกจ้าง โดยทั้งหมดเป็นฝ่ายผลิตชิ้นส่วน อะไหล่ ประกอบเครื่องปรับอากาศของยี่ห้อมิตซูบิชิเพื่อส่งออก มีผลตั้งแต่วันที่ 29 ธ.ค. เป็นต้นไป ส่วนวันที่ 28 ธ.ค. ลูกจ้างไม่ต้องมาทำงานแต่ยังได้รับค่าจ้าง ซึ่งประกาศดังกล่าวทำให้ลูกจ้างไม่พอใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากต้องลูกเลิกจ้างงานทำให้วันนี้ได้รวมตัวกันประท้วงที่อมตะนคร จ.ชลบุรี และตนจะร่วมเข้าเจรจาในช่วงบ่ายของวันนี้

Voice TV รายงานด้วยว่า อนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวว่า เหตุการณ์นี้ เนื่องจากนายจ้างและลูกจ้างยังไม่สามารถหาข้อยุติในประเด็นเรื่องการปรับค่าจ้างและโบนัสประจำปีได้ ซึ่งตามกฎหมายระหว่างที่ยังเจรจาหาข้อยุติไม่ได้ สามารถขอให้พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานเข้าไปช่วยได้ และหากพ้นการไกล่เกลี่ยเกิน 5 วัน บริษัทในฐานะนายจ้างสามารถได้ใช้สิทธิตามพ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2541 ปิดงานงดจ้างได้ จนกว่าจะหาข้อยุติได้ ซึ่งจะมีผลให้พนักงานไม่ได้รับค่าจ้างและสวัสดิการใดๆ ในช่วงดังกล่าว ส่วนพนักงานก็มีสิทธิตามกฎหมายที่จะหยุดงาน หรือสไตร์คได้เช่นกัน ยกเว้นแต่จะมีการกักขัง หน่วงเหนี่ยว หรือทำลายร่างกายพนักงาน นายจ้างก็จะมีโทษได้ ในระหว่างนี้กรมฯ จึงสั่งการให้พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงาน ซึ่งอยู่ในพื้นที่ให้ข้อมูลทั้ง 2 ฝ่าย และเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยเพื่อให้ได้ข้อยุติ พร้อมชี้แจงทำความเข้าใจและตักเตือนให้หลีกเลี่ยงการกระทำที่อาจผิดกฎหมาย รวมถึงประสานหน่วยงานดูแลความเรียบร้อยปลอดภัยในการชุมชน เพื่อลดผลกระทบด้านการจราจรและผลกระทบต่อชุมชน
[full-post]



Posted: 28 Dec 2017 08:31 AM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)

28 ธ.ค. 2560 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ได้เผยแพร่รายงานสถานการณ์สื่อมวลชนประจำปี 2560 โดยระบุว่า สถานการณ์ด้านสื่อในนี้ภายใต้รัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตกอยู่ในสถานการณ์ “ควบคุม คุกคาม คลุกคลาน” เป็นอีกปีหนึ่งที่สื่อยังคงปฏิบัติงานภายใต้การกำกับดูแลอย่างเข้มงวดของอำนาจรัฐ อีกทั้งเผชิญกับท่าทีของผู้นำที่มีอคติในการทำงานของสื่อ เป็นปีที่สื่อยังถูกกดดันจากการปฏิบัติหน้าที่ในการตรวจสอบอำนาจรัฐด้วยข้ออ้างเหตุผลความมั่นคงของรัฐ ถูกใช้เป็นเครื่องมือกดดัน แทรกแซงการทำงานของสื่ออยู่เสมอ นับเป็นอุปสรรคสำคัญในการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล ขณะเดียวกัน ยังเป็นปีที่สื่อยังต้องเผชิญกับวิกฤติจากการเปลี่ยนของเทคโนโลยีสู่โลกดิจิทัล และผลจากปัญหาเศรษฐกิจทำให้สื่อหลายค่าย ทั้งหนังสือพิมพ์ ทีวีดิจิทัล ต้องปรับโครงสร้างขนานใหญ่นำมาสู่การเลิกจ้างพนักงานจำนวนมาก

โดยมีรายละเอียดดังนี้



ควบคุมเข้มข้น

ปี 2560 เป็นปีที่ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ผ่านการทำประชามติ เพื่อเตรียมเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง คืนเสรีภาพให้ประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย ขณะที่เนื้อหาในรัฐธรรมนูญได้รองรับสิทธิในการแสดงความคิดเห็น การพูด การพิมพ์ไว้ ในมาตรา 34 และมาตรา 35 บัญญัติให้บุคคลซึ่งประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนย่อมมีเสรีภาพในการเสนอข่าวสาร หรือการแสดงความคิดเห็นตามจริยธรรมแห่งวิชาชีพ แต่คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฉบับที่ 97 และ 103 ที่ออกมาตั้งแต่ปี 2557 ห้ามวิพากษ์วิจารณ์การปฏิบัติงานของคสช. โดยมีเจตนาเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของคสช. ยังคงมีผลบังคับใช้ เพื่อควบคุมการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนอย่างเข้มงวด ทำให้การทำหน้าที่ของสื่อมวลชนต้องระมัดระวังตัวและเซ็นเซอร์ตัวเอง โดยเฉพาะประเด็นตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐบาล บุคคลในคณะรัฐบาล ต่อเรื่องความโปร่งใสต่างๆ ที่มักจะถูกเตือน และกดดันจากคนในรัฐบาล ส่งผลต่อเสรีภาพในการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน และการรับรู้ข้อมูลข่าวสารเพื่อรักษาประโยชน์ส่วนรวมของประชาชน

รัฐบาลคสช. ยังคงควบคุมเวทีเสวนาการแสดงความเห็นที่มีต่อนโยบายรัฐ ที่องค์กรต่างๆ จัดอย่างเข้มงวด ผู้จัดจะต้องแจ้งไปยังสถานีตำรวจในท้องที่ทราบทุกครั้งก่อน หลายเวทีถูกเจ้าหน้าที่ร้องขอให้ยกเลิก เช่น เวทีของสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ แห่งประเทศไทย หรือ FCCT ที่เตรียมจัดหัวข้อ "ความทรงจำแห่งอภิวัฒน์ 2475 - ปริศนาหมุดคณะราษฎรหาย" เมื่อวันที่ 3 พ.ค. 2560 สถานีตำรวจนครบาลลุมพินีให้เหตุผลว่ากระทบต่อความมั่นคง ผู้ไม่หวังดีอาจฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์ต่างๆ ให้เกิดความวุ่นวาย หรือ เวทีเสวนาแถลงจุดยืนผลกระทบของประชาชนที่มีต่อ 'ร่าง พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ - ร่าง พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า' ฉบับใหม่ของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) ที่มูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย ถนนรามคำแหง 39 เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. 2560 เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหาร ได้เข้าควบคุมและปิดกั้นไม่ให้สื่อมวลชนเข้ารายงานข่าว อ้างว่ากลัวกลุ่มการเมืองจะเอาเยี่ยงอย่าง

ความพยายาม “ควบคุม” สื่อมวลชน ยังสะท้อนผ่านการเสนอร่างพระราชบัญญัติการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรม และมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ. .... ของคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการสื่อสารมวลชน ที่เสนอให้สภาขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศ (สปท.) เห็นชอบ ซึ่งเป็นข้อเสนอในกรอบการปฏิรูปประเทศด้านสื่อจากแม่น้ำ 5 สายของคสช.

เนื้อหาในร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว องค์กรวิชาชีพสื่อและนักข่าวได้รวมพลังคัดค้านอย่างหนัก เพราะเห็นเป็นกฎหมายที่มีหลักการควบคุมบังคับมากกว่าคุ้มครอง เปิดทางให้รัฐเข้าแทรกแซงการทำงานของสื่อ รวมถึงให้มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพสื่อ เช่นวิชาชีพอื่นๆ พร้อมทั้งกำหนดบทลงโทษ หากรายงานข่าวผิดจากมาตรฐานกลาง จะถูกเพิกถอนใบประกอบวิชาชีพไม่สามารถกลับมาทำงานสื่อมวลชนได้ หรือถ้าสื่อไม่มีใบอนุญาต จะถูกปรับ และผู้บริหารสื่อองค์กรสื่อที่ฝ่าฝืนอาจได้รับโทษจำคุกด้วย

ถึงแม้ คณะกรรมาธิการจะยอมปรับเนื้อหา ไม่บังคับให้สื่อมวลชนต้องมีใบอนุญาตและลดตัวแทนภาครัฐเหลือเพียงปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ที่จะเข้าร่วมเป็นกรรมการสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติเพื่อลดกระแสคัดค้านจากสื่อมวลชน จนที่ประชุมสปท. เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว ส่งให้รัฐบาลพิจารณาออกเป็นกฎหมาย แต่องค์กรวิชาชีพสื่อยังคงคัดค้านและได้เข้าพบกับนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้รับปากว่าหากรัฐบาลจะผลักดันให้มีกฎหมายคุ้มครองสื่อจะไม่ยึดรูปแบบของสปท. แต่เห็นด้วยที่จะให้มีกลไกกำกับดูแลสื่อ มีผู้ตรวจการสื่อรับเรื่องร้องทุกข์แต่ละสังกัด และให้ประชาชนมีบทบาทตรวจสอบสื่อที่ละเมิดจริยธรรม ตามแนวทางที่องค์กรวิชาชีพสื่อเสนอ

อย่างไรก็ตาม เมื่อรัฐบาลได้แต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสื่อสารมวลชน เทคโนโลยีสารสนเทศ พร้อมกับคณะกรรมการปฏิรูปด้านอื่น โดยตั้งตัวแทนจากภาครัฐ สปท. สื่อมวลชน และนักวิชาการเข้าร่วม เพื่อวางกรอบการปฏิรูปสื่อสารมวลชนทั้งระบบ แยกออกเป็น 6 ประเด็น อาทิ การปฏิรูปโครงสร้างอุตสาหกรรมสื่อสารมวลชน การปฏิรูปดูแลสื่อออนไลน์ การปฏิรูประบบความปลอดภัยไซเบอร์ การปฏิรูประบบข้อมูลข่าวสารภาครัฐ และการปฏิรูปมาตรฐานวิชาชีพและระบบกำกับดูแลสื่อมวลชน ซึ่งในเรื่องหลังนี้ยังพบว่า มีการเสนอร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองสื่อฉบับสปท. ให้พิจารณา รวมถึงยังมีความพยายามผลักดันแนวคิด “ควบคุมสื่อ” ผ่านกรรมการที่ใกล้ชิดภาครัฐ

จึงต้องจับตาว่า ในแผนการปฏิรูปสื่อที่จะเสนอเป็นร่างกฎหมายออกมาในปี 2561 จะเกิด “สภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ”ครอบคลุมสื่อทุกประเภท มากำกับดูแลกันเองของสื่อมวลชนวิชาชีพในประเทศไทยให้มีประสิทธิภาพมากย่ิงขึ้น โดยยังคงรักษาหลักการ“กำกับดูแลกันเอง”ของสื่อมวลชน โดยองค์กรวิชาชีพ ในมาตรฐานสากล เคารพกฎหมาย สำนึกแห่งความรับผิดชอบด้านจริยธรรมวิชาชีพ ในช่วงรอยต่อการปฏิรูปนี้จริงหรือไม่
คุกคามลุยฟ้อง

การคุกคามสื่อมวลชนที่ชัดเจนคือ การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าดำเนินคดีกับนายณัฐพร วีระนันท์ ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา ข้อหาบุกรุกสถานที่และยึดโทรศัพท์มือถือ หลังจากได้ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ หจก.สมถวิล เรียลเอสเตรท ในชื่อ “เก๋ไก๋ อพาร์ทเม้นท์” ภายในซอยพหลโยธิน 32 ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 9 ส.ค. 2560 เพื่อสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับหอพักของ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. และน้องชาย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หลังถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไต่สวนการแจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน

การกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้เชิญตัวนายณัฐพรไปโรงพักและยึดโทรศัพท์มือถือ เป็นการใช้กฎหมายเพื่อข่มขู่ คุกคามการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนที่ได้ปฏิบัติตามหน้าที่โดยสุจริตเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม เพราะขณะที่ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ได้แสดงตนและสังกัดชัดเจน ไม่ได้เข้าไปในจุดห้ามเข้า หรือรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ จึงไม่เข้าข่ายบุกรุกสถานที่ ตามที่พนักงานสอบสวนทำสำนวนฟ้องอัยการ

อีกกรณีคือ การฟ้องร้องสื่อ นักวิชาการกลุ่มการเมืองด้วยข้อหายุยงปลุกปั่น มาตรา 116 ตามประมวลกฎหมายอาญา พบแนวโน้มการฟ้องร้องจากเจ้าหน้าที่ทหารสูงขึ้นนับตั้งแต่มีการรัฐประหารเมื่อปี 2557 รวมแล้วจนถึงขณะนี้เกือบ 30 คดี ส่วนใหญ่เป็นการวิจารณ์รัฐบาลคสช. และเป็นการติชมโดยสุจริต โดยในปี 2560 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ตั้งข้อหากับนายประวิตร โรจนพฤกษ์ ผู้สื่อข่าวอาวุโสของ Khaosod English กรณีโพสต์เฟซบุ๊ก ที่มีข้อความกระทบกฎหมายอาญา มาตรา 116 และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จำนวน 5 โพสต์ เช่น การแสดงความคิดเห็นต่อการตัดสินคดีจำนำข้าวของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร การจัดการปัญหาน้ำท่วมภาคอีสานของคสช. ซึ่งหากผิดจริง โทษความผิดสูงสุดจำคุก 20 ปี

การฟ้อง “เหมาเข่ง” ด้วยข้อหายุยงปลุกปั่น ได้กลายเป็นเครื่องมือของรัฐเพื่อใช้ปรามนักเคลื่อนไหว สื่อมวลชนที่วิจารณ์รัฐบาลโดยสุจริต ซึ่งการฟ้องในช่วงหลังจะพ่วงความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เข้าไปด้วยตามคำสั่งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่กำชับให้รัฐมนตรีทุกกระทรวงกวดขันหัวหน้าหน่วยตรวจสอบข้อมูลในโซเชียลมีเดีย หากถูกพาดพิงทำให้เสียหายก็ให้ดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ อย่างไรก็ตาม หากดูผลของคดีความผิด มาตรา 116 จำนวน 20 กว่าคดีจะพบว่า ส่วนใหญ่อยู่ในชั้นสอบสวนและการพิจารณาของศาล มี 6 คดีที่ศาลได้จำหน่ายคดีและสั่งไม่ฟ้อง
ล้มลุกคลุกคลาน

เป็นปีที่สื่อมวลชนอยู่ในภาวะยากลำบากจากผลกระทบของสึนามิดิจิตอลลูกใหญ่ที่รุนแรง หรือ Digital Disruption จากพฤติกรรมผู้อ่านที่เปลี่ยนไปเสพสื่อออนไลน์ที่ฟรีและเร็วกว่า ควบคู่กับปัญหาเศรษฐกิจ ทำให้ยอดงบโฆษณาลดลง บริษัทสื่อขนาดใหญ่ปรับลดขนาดองค์กร ลดพนักงาน นิตยสารชื่อดังที่อยู่คู่สังคมมาหลายสิบปีถึงคราวอวสานลง ส่วนทีวีดิจิตอลก็ลดคน เป็นปีแห่งการล้มลุกคลุกคลานของสื่ออีกปี

สื่อกระแสหลักในค่ายดังประกาศนโยบายเออลี่ รีไทร์เช่น บริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ออกโครงการสมัครใจเกษียณก่อนกำหนดรอบที่สาม และขายสินทรัพย์บริษัทรวม 1,403 ล้านบาท อาทิ มหาวิทยาลัยเนชั่น บริษัท วอยซ์ ทีวี จำกัด ประกาศเลิกจ้างพนักงานจำนวน 127 คน ปรับโครงสร้างองค์กร ปรับผังรายการ ลดความเข้มข้นในรายการข่าว และวิเคราะห์ข่าวการเมืองเพื่อความอยู่รอด ส่วนเครือมติชนปรับโครงสร้างลดต้นทุน ยุบแผนกการพิมพ์ แผนกขนส่ง มีพนักงานถูกเลิกจ้าง 270 คน ยังมีอีกหลายค่ายที่ไม่เป็นข่าวแต่ก็ได้รับผลกระทบหนักหน่วงไม่ต่างกัน หนังสือพิมพ์ลดจำนวนหน้าเพื่อลดต้นทุนและมุ่งทำเนื้อหาบนออนไลน์

ในปี 2560 เป็นปีขาลงของนิตยสารทั้งไลฟ์สไตล์ การเมือง แฟชั่น บันเทิง ต่างประสบชะตากรรมจำนวนมาก “ดิฉัน” ตีพิมพ์ฉบับสุดท้ายเดือนธันวาคม 2560 รวมอายุ 37 ปี "ขวัญเรือน" อำลาผู้อ่านฉบับเดือนธันวาคมเป็นฉบับสุดท้ายเช่นกัน รวมอายุ 49 ปี “คู่สร้างคู่สม” ฉบับสุดท้ายเดือนธันวาคม อวสานในอายุ 38 ปี “เนชั่นสุดสัปดาห์” ก็ปิดตัวหลังโลดแล่นมา 25 ปี ยังไม่นับนิตยสารฉบับดังที่จากลาไปเมื่อปี 2559 เช่น ขวัญเรือน สกุลไทย Cosmopolitan บางกอกรายสัปดาห์ เปรียว หรือ หนังสือพิมพ์บ้านเมือง

ขณะที่ทีวีดิจิทัล ได้รับผลกระทบถ้วนหน้าจากผู้บริโภคที่หันไปดูทีวีออนไลน์แทน ผลประกอบการส่วนใหญ่ขาดทุน หลายช่องแก้ปัญหาด้วยการดึงกลุ่มทุนเข้ามาถือหุ้น ในปี 2560 ทีวีดิจิทัลที่ประกาศโครงการเออรี่รีไทร์ เช่น ไทยรัฐทีวี วอยซ์ทีวี ส่วนไทยพีบีเอส ออกโครงการออลี่ รีไทร์รอบสอง ค่ายเนชั่น ขายช่อง NOW26 แต่หากนับจากปลายปี 2559 เกิดการเปลี่ยนแปลงเพื่อต่อลมหายใจหลายช่อง เช่น เครือแกรมมี่ขายช่อง GMM25 ให้ตระกูลสิริวัฒนภักดี ส่วนอีกช่องของแกรมมี่ คือ ช่อง ONE กลุ่มปราสาททองโอสถเจ้าของช่องพีพีทีวี เข้าซื้อหุ้นร้อยละ 50 เช่นเดียวกับ บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้งฯ เจ้าของช่อง AMARIN ขายช่องให้กับ ตระกูลสิริวัฒนภักดี

วิกฤติอุตสาหกรรมทีวีดิจิทัลทำให้มีข้อเสนอจากสมาคมโทรทัศน์ระบบดิจิตอล (ประเทศไทย) ถึงรัฐบาลให้เข้าแก้ปัญหา โดยขอให้รัฐเป็นผู้รับภาระค่าโครงข่ายทีวีดิจิทัลภาคพื้นดินแทนผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล และยุติการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมใบอนุญาตงวดที่เหลืออยู่ทั้งหมดของผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล ซึ่งได้ชำระค่าธรรมเนียมไปแล้วรวมมีมูลค่ามากกว่ามูลค่าคลื่นที่ใช้ในกิจการทีวีดิจิทัลในปัจจุบันทั้งหมด

จากสถานการณ์สื่อในปี 2560 สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ขอเป็นกำลังใจให้เพื่อนร่วมวิชาชีพยืนหยัดต่อสู้ต่อผลกระทบต่างๆ ที่เกิดขึ้นแม้จะเหนื่อยยากเพียงใด ทั้งนี้เพื่อธำรง รักษาอุดมการณ์ของความเป็นสื่อมวลชนมืออาชีพที่มีหน้าที่นำเสนอข่าวสาร ข้อมูลเพื่อประชาชนส่วนรวม เพื่อประโยชน์สาธารณะ มีความรับผิดชอบ เคารพกฎหมาย และจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพอย่างแน่วแน่ มั่นคงต่อไป

[full-post]
ขับเคลื่อนโดย Blogger.