Posted: 10 Oct 2018 07:35 AM PDT (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท www.prachatai.com)
Submitted on Wed, 2018-10-10 21:35


ใบตองแห้ง

ข่าวผู้อยู่อาศัยในคอนโดร้องเรียนเสียงระฆังวัด แล้วถูกกระแสสังคมรุมประณาม กระทั่งตามล่าหาคนร้องเรียน สะท้อนภาพสังคมป่วย สื่อเสื่อม และอำนาจรัฐบ้าจี้ ไม่มีวิจารณญาณแยกแยะ

เบื้องต้นเข้าใจได้ว่า คนอ่านข่าวรู้สึกโกรธ ด้วยสาเหตุ 2-3 ประการ “คอนโดหรู” ซึ่งภาพข่าวบางมุม ตั้งสูงลิบชะเงื้อมวัด เป็นผู้มาทีหลัง เป็นตัวแทนความร่ำรวยทางวัตถุ รุกล้ำวิถีชุมชนดั้งเดิม อีกทั้งเนื้อข่าวยังระบุว่า น่าจะมีการใช้เส้นสาย อ้างผู้หลักผู้ใหญ่ มาบีบเขตให้ไปบีบวัด จนพระท่านยอมปรับเปลี่ยนหลายอย่างแล้วก็ยังไม่พอใจ ได้คืบจะเอาศอก

แต่กระแสสังคมที่ตีโต้ กลับเลยเถิดไปปลุกความคลั่งศาสนา กระทั่งเรียกร้องให้เอาผิดคนร้องเรียนว่าเหยียดหยามศาสนา “ล่าแม่มด” เอาผู้ช่วยผู้อำนวยการเขตมาเสียบประจาน บรรดาสื่อน้อยใหญ่ซึ่งกระหายเรตติ้ง ยอดวิวยอดแชร์ ก็แห่เอาใจสังคม ช่วยกันรุมด่า คนแบบไหนกันที่ฟังเสียงระฆังเสียงสวดมนต์แล้วรำคาญ น่าจะเป็นผีห่าซาตาน สัตว์นรก หรือไม่ก็หมา

ทั้งที่บรรดาสื่อปากเก่ง ลองให้ไปอยู่ข้างวัด สะดุ้งตื่นตีสามตีสี่ คงแทบจะบ้า บรรดาชาวเน็ตก็เหมือนกัน แต่การรุมด่าคนเลว มันช่วยทำให้ตัวเองเป็นคนดี

จากนั้นอำนาจรัฐก็บ้าจี้ สั่งการเป็นขั้น ๆ ตั้งแต่ผู้นำไปถึงผู้ว่า ที่จะเรียกคนร้องเรียนมาปรับทัศนคติ และเมื่อพบว่าที่แท้ ต้นตอมาจากคนมีเงิน ปล่อยห้องให้ฝรั่งเช่า ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ซึ่งท่านผู้บัญชาการคนใหม่ มีแฟนเพจของตัวเอง) ก็บุกค้นคอนโด เจอแจคพอต ได้ตัวอาชญากรเกาหลีหลบหนีคดี

เออนะ นี่ถ้าไม่ร้องเรียนวัด คงจับไม่ได้ กรรมติดจรวดจริง ๆ แต่คอนโดอื่นอีกเป็นร้อยเป็นพันล่ะว่าไง

ที่จริงกรณีนี้ว่าตามหลักนิติศาสตร์ ก็เป็นอย่างที่อัยการท่านหนึ่งชี้ คือวัดอยู่มาก่อน มีสิทธิเหนือกว่า คอนโดมาทีหลังต้องยอมรับ ว่าจะมีเสียงระฆังรบกวน ต้องหาทางป้องกันเอง

แต่หลักนี้ก็ไม่ใช่จะสัมบูรณ์ครอบจักรวาล เพราะเมื่อสังคมเปลี่ยน กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ก็ต้องปรับตามความเหมาะสม เช่น กฎหมายเรื่องระดับเสียง ว่าไม่ควรเกินกี่เดซิเบล เพื่อการอยู่ร่วมกันของชุมชน ที่มีบ้านเรือนผู้คนมากขึ้น ไม่ใช่กลางทุ่งเหมือนสมัยก่อน เทียบเคียงกรณีเมรุเผาศพ ก็จะเห็นได้ว่า เมรุแบบเก่าก่อมลภาวะ วัดก็ต้องปรับเปลี่ยนทั้งหมด

แน่ละ กรณีนี้ผู้ร้องเรียนดูเหมือนจะเกินกว่าเหตุ เพราะเจ้าอาวาสท่านพยายามปรับเปลี่ยน เช่นลดขนาดไม้ตีระฆัง เปลี่ยนเวลา สร้างห้องกระจกกันเสียง ฯลฯ ก็ยังไม่ลดละ

แต่การที่สังคมรุมกระหน่ำจนเป็นมารศาสนา และเลยเถิดว่าคนไทยคนพุทธต้องทนฟังเสียงระฆังยามรุ่งสางได้ ก็เท่ากับปิดปากผู้คนอีกมากมาย ซึ่งเดือดร้อนกับเสียงแสงสีพิธีกรรมศาสนา งานประเพณีต่าง ๆ ที่ต้องการให้ปรับเปลี่ยนบ้าง

เอาเข้าจริง เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องสิทธิ เป็นเรื่องของการอยู่ร่วมกัน เป็นเรื่องการเอาใจเขาใส่ใจเรา ไม่ใช่เรื่องที่จะเอาศาสนามาปิดปาก

ย้อนไปสองเดือนก่อน ก็มีข่าวหญิงชาวพุทธในอินโดนีเซีย ถูกตัดสินจำคุก 18 เดือน ฐานหมิ่นศาสนาอิสลาม จากการร้องเรียนเสียงสวดอาซานมัสยิดใกล้บ้าน ลำโพงดังแสบแก้วหู ทำให้คนมุสลิมไม่พอใจ เกิดจลาจลระหว่างคนพุทธคนมุสลิม

คนไทยก็ลองย้อนดูบ้าง ว่าตัวเองคิดอย่างไรในกรณีนั้น แต่รัฐบาลอินโดฯ ก็น่าชื่นชม รีบออกข้อกำหนดให้มัสยิดทั่วประเทศใช้เสียงอย่างเหมาะสม



เผยแพร่ครั้งแรกใน: ข่าวหุ้นธุรกิจ www.kaohoon.com/content/255971

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.