ตัวแทนภาคประชาชนริมแม่น้ำโขง ออกแถลงการณ์หลังเจรจาหารือกับผู้แทนบริษัทต้าถัง(ลาว) เขื่อนไฟฟ้าปากแบ่ง จำกัด ย้ำต้องมีการศึกษาแม่น้ำโขงทั้งลุ่มน้ำโดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบจากการสร้างเขื่อนทางตอนบนในจีน ซึ่งสร้างความเสียหายต่อระบบนิเวศมาตลอด 2 ทศวรร
17 ม.ค. 2561 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า ตัวแทนภาคประชาชนริมแม่น้ำโขง ที่ได้ร่วมประชุมเจรจาหารือระหว่างผู้แทนบริษัทต้าถัง(ลาว) เขื่อนไฟฟ้าปากแบ่ง จำกัด เมื่อวันที่ 15 ม.ค.ที่ผ่านมา ออกแถลงการณ์หลังประชุมเจรจาดังกล่าว โดยเรียกร้องให้มีการศึกษารวบรวมองค์ความรู้เกี่ยวกับแม่น้ำโขงทั้งลุ่มน้ำโดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบจากการสร้างเขื่อนทางตอนบนในจีน ซึ่งสร้างความเสียหายต่อระบบนิเวศมาตลอด 2 ทศวรรษที่ผ่านมา มีความจำเป็นที่จะต้องทบทวนการพัฒนา
พร้อมระบุว่า ไม่สามารถมาพูดคุยกันทีละเขื่อน แต่ต้องมองเขื่อนชุดทั้งหมด 11 โครงการในแม่น้ำโขงตอนล่าง ทั้งโครงการเขื่อนปากแบง โครงการเขื่อนสานะคาม เขื่อนไซยะบุรี เขื่อนดอนสะโฮง และเขื่อนอื่นๆ ที่จะสร้างบนแม่น้ำโขง พร้อมทั้งคิดถึงการมีธรรมาภิบาลในการจัดการแม่น้ำโขงอย่างเป็นธรรม การใช้แม่น้ำด้วยความยั่งยืน มีความยุติธรรมถึงภาคส่วนต่างๆ ประชาชนที่อยู่ด้านล่าง จะได้รับประโยชน์
ตัวแทนภาคประชาชนริมแม่น้ำโขง ระบุต่อว่า การเจรจาครั้งนี้เป็นเพียงครั้งแรก และไม่ใช่การยินยอมใดๆ พร้อมทั้งเห็นว่าจำเป็นต้องเอาความรู้ การเก็บข้อมูล วิจัย นำมาประกอบการตัดสินใจ ต้องมีความรู้เพื่อการตัดสินใจในทรัพยากรของภูมิภาค สำหรับกรณีของเขื่อนปากแบงนั้นเราพบว่าการศึกษาที่ใช้อ้างอิง เป็นข้อมูลเก่าที่บางชิ้นเก่ากว่า 15 ปี จึงไม่เพียงพอที่จะตัดสินใจดำเนินโครงการ โดยหวังว่าหากช่วยกันในหลายฝ่าย เอาความรู้เป็นผู้นำ จัดประชุมเจรจากันต่อๆ ไป เพื่อสร้างองค์ความรู้แม่น้ำโขง กลุ่มยินดีที่จะต้อนรับทุกทุกคนเพื่อที่จะรักษาแม่น้ำโขง
โดยมีรายละเอียดของแถลงการณ์ดังนี้ :
แถลงการณ์จากการประชุมเจรจากับบริษัทต้าถังกรณีโครงการเขื่อนปากแบง เครือข่ายประชาชนไทย 8 จังหวัดลุ่มน้ำโขง
17 มกราคม 2561
จากการประชุมเจรจาหารือระหว่างผู้แทนบริษัทต้าถัง(ลาว) เขื่อนไฟฟ้าปากแบ่ง จำกัด และตัวแทนภาคประชาชนริมแม่น้ำโขง เมื่อวันที่ 15 มกราคม ที่ผ่านมานั้น พวกเราได้แสดงจุดยืนชัดเจนในการปกป้องแม่น้ำโขงและวิถีชีวิตของประชาชนในลุ่มน้ำ เราเรียกแม่น้ำสายนี้ว่าแม่น้ำของ และแม่น้ำโขง คำว่าแม่ในภาษาไทย ลาว เขมร แปลว่าเป็นผู้ให้กำเนิดของพวกเรา เป็นแม่น้ำของพวกเราทุกคน ไม่ใช่เฉพาะเชียงของ ปากแบง หรือของประเทศไทย หรือประเทศใด เพราะแม่น้ำโขงเป็นทรัพยากรข้ามพรมแดน ในการเจรจาและตัดสินใจใดๆ เราต้องเคารพถึงความคิดของแต่ละฝ่าย ทั้งพี่น้องชาวบ้านที่อาศัยเป็นแหล่งหล่อเลี้ยงชีวิต ต้องคำนึงถึงทุกคนให้มีส่วนร่วม Inclusive Development และต้องเป็นการพัฒนาที่คำนึงถึงองค์ความรู้ Knowledge-based Development เป็นฐานในการพัฒนาและการพัฒนาอย่างยั่งยืน
ในการประชุมดังกล่าว เราได้รับการติดต่อมาว่าจะเป็นการประชุมร่วมกับบริษัทจากจีน แต่ก็พบว่ามีตัวแทนของรัฐบาลลาว นำคณะเข้าร่วมด้วย คือ ดร.จันแสวง บุนนอง อธิบดีกรมนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน สปป.ลาว และผู้เชี่ยวชาญจากบริษัทที่ปรึกษา Norconsult ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการเขื่อนปากแบง
จากการประชุมครั้งนี้ พวกเรายืนยันว่า มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้ความสำคัญกับการศึกษา รวบรวมองค์ความรู้เกี่ยวกับแม่น้ำโขงทั้งลุ่มน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบจากการสร้างเขื่อนทางตอนบนในจีน ซึ่งสร้างความเสียหายต่อระบบนิเวศมาตลอด 2 ทศวรรษที่ผ่านมา มีความจำเป็นที่จะต้องทบทวนการพัฒนา สร้างการคิดใหม่ และหาทางเลือกพลังงานให้แก่ภูมิภาคโดยไม่ทำลายทรัพยากรของคนรุ่นต่อไป
เราไม่สามารถมาพูดคุยกันทีละเขื่อน แต่ต้องมองเขื่อนชุดทั้งหมด 11 โครงการในแม่น้ำโขงตอนล่าง ทั้งโครงการเขื่อนปากแบง โครงการเขื่อนสานะคาม เขื่อนไซยะบุรี เขื่อนดอนสะโฮง และเขื่อนอื่นๆ ที่จะสร้างบนแม่น้ำโขงที่เป็นแม่น้ำของเรา
เราต้องคิดถึงการมีธรรมาภิบาลในการจัดการแม่น้ำโขงอย่างเป็นธรรม Transboundary governance การใช้แม่น้ำด้วยความยั่งยืน มีความยุติธรรมถึงภาคส่วนต่างๆ ประชาชนที่อยู่ด้านล่าง จะได้รับประโยชน์อย่างไร
การเจรจาครั้งนี้เป็นเพียงครั้งแรก และไม่ใช่การยินยอมใดๆ เราเห็นว่าจำเป็นต้องเอาความรู้ การเก็บข้อมูล วิจัย นำมาประกอบการตัดสินใจ เราต้องมีความรู้เพื่อการตัดสินใจในทรัพยากรของภูมิภาค สำหรับกรณีของเขื่อนปากแบงนั้นเราพบว่าการศึกษาที่ใช้อ้างอิง เป็นข้อมูลเก่าที่บางชิ้นเก่ากว่า15 ปี จึงไม่เพียงพอที่จะตัดสินใจดำเนินโครงการ
หากเราช่วยกันในหลายฝ่าย เอาความรู้เป็นผู้นำ จัดประชุมเจรจากันต่อๆ ไป เพื่อสร้างองค์ความรู้แม่น้ำโขง เรายินดีที่จะต้อนรับทุกท่าน มาร่วมมือกัน เพื่อที่จะรักษาแม่น้ำโขงชั่วลูกหลานต่อไป[right-side]
แสดงความคิดเห็น