ปูนเทพ ศิรินุพงศ์: ชำแหละร่างมีชัย ซูเปอร์ตุลาการและการปูทางให้สามารถฉีกรธน.โดยที่รธน.ยังบังคับใช้ได้
ปูนเทพเริ่มต้นการอภิปรายว่า อันที่จริงร่างรัฐธรรมนูญมีรายละเอียดปลีกย่อยเต็มไปหมดที่โต้แย้งได้ แต่เราเลือกเฉพาะเรื่องใหญ่ ใน 3 ประเด็นคือ
1.ภาพของโครงสร้างสถาบันการเมืองที่จะเกิดขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ ตุลาการ ว่ามันจะนำไปสู่อะไร 
2. มาตรา 5 ของร่างรัฐธรรมนูญที่มีปัญหาว่าอะไรคือประเพณีการปกครอ
3.การแก้ไขรัฐธรรมนูญ

ประเด็นที่หนึ่ง ภาพของโครงสร้างสถาบันการเมืองที่จะเกิดขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ ตุลาการ
การแบ่งแยกอำนาจ 3 ฝ่าย ทุกองค์กรต้องตรวจสอบถ่วงดุลกันอย่างมีดุลยภาพ แต่จะวางกลไกตรวจสอบกันอย่างไรก็ออกแบบกันไป แต่ประชาชนจะเป็นผู้เป็นฐานความชอบธรรมของทั้งสามอำนาจนี้ ทั้งสามต้องเชื่อมโยงและรับผิดชอบต่อประชาชน แต่เมื่อดูฉบับปัจจุบันมีลักษณะลดทอนอำนาจตัดสินใจของประชาชน และสร้างองค์กรใหม่ขึ้นมาหรือเอาองค์กรที่มีอยู่แล้วขึ้นมาทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ ตรวจสอบเพื่อไม่ให้องค์กรที่มีฐานความชอบธรรมจากประชาชนมีอำนาจ
ขอลงรายละเอียดในบางประเด็น เช่น
ระบบเลือกตั้ง
เรื่องนี้ควรให้ประชาชนมีส่วนร่วมตัดสินใจ ระบบจัดสรรปันส่วนผสมที่ร่างนี้กำหนดไว้ พื้นฐานของมันคล้ายกับร่างของอาจารย์บวรศักดิ์ที่ยืนบนระบบสัดส่วน แต่ความต่างคือ ในขณะที่ร่างอาจารย์บวรศักดิ์หรือแบบเยอรมันนั้น ประชาชนสามารถเลือกคะแนนได้ 2 ลักษณะ คือ พรรคการเมืองและผู้แทนแบบแบ่งเขต แล้วเอาคะแนนพรรคมาเป็นฐานในการจัดสรรปันส่วน แต่ของอาจารย์มีชัยเลือกได้แบบเดียว ถ้าประชาชนอยากเลือกส.ส.คนนี้แต่เกลียดพรรคนี้ ก็ไม่มีทางออกให้ในระบบ เท่ากับเป็นการบิดเบือนเจตนารมย์ของประชาชน และยังมีปัญหารายละเอียด เช่น มันยืนบนจำนวน ส.ส.แบบแบ่งเขต ปัญหาคือถ้าพรรคไม่มีปัญญาส่งส.ส.ลงสมัครทุกเขตทั่วประเทศจะทำอย่างไร ระบบนี้อิงคะแนนจาก ส.ส.ในเขตเลือกตั้ง ถ้าเกิดส.ส.เขตเลือกตั้งหายไป เช่น โดนใบเหลือง ใบแดง แล้วจะมีผลต่อคะแนนอย่างไร มันจะกลายเป็นระบบ “ส.ส.แบบชักเข้าชักออก” ระบบการคำนวณแบบมีชัยจึงมีปัญหาในเชิงหลักการทฤษฎีมาก มีความไม่แน่นอนของส.ส.บัญชีรายชื่ออยู่ภายใน 1 ปีแน่ๆ ว่าเขาจะพ้นจากตำแหน่งหรือไม่ ถามว่าในต่างประเทศใช้ไหม มีบ้างแต่น้อยมาก
วุฒิสภา
เราคุ้นเคยกับรัฐธรรมนูญ 2540 ใช้ระบบเลือกตั้ง ปี 2550 ใช้ระบบเลือกครึ่งหนึ่งแต่งตั้งครึ่งหนึ่ง โดยหลักการต้องตั้งคำถามก่อนว่าควรมี ส.ว.หรือไม่ ถ้ามี มีไว้ทำไม อำนาจควรมีมากแค่ไหน ถ้ามีอำนาจมากก็ต้องมีความเชื่อมโยงกับประชาชนมากด้วย
ส.ว.ตามรัฐธรรมนูญนี้ สามารถเลือกศาลรัฐธรรมนูญ เลือกองค์กรอิสระ ร่วมกับส.ส.ตรากฎหมาย แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ แก้ไขพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ทำหน้าที่รัฐสภาในบางกรณี
ส.ว.200 คนมากจากการเลือกกันเองของกลุ่มส.ว.รายละเอียดการเลือกที่จะเกิดในทางปฏิบัติ คุณสบัติต่างๆ จะอยู่ในพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ถามว่าการเลือกกันเองคือการเลือกตั้งไหม มองในมุมมองหลักการการเลือกตั้ง การเลือกตั้งมี 2 ประเภท คือ เลือกตั้งทางตรง คือ เราเลือกผู้ถูกเลือกโดยตรง กับเลือกตั้งทางอ้อม เราเลือกคนที่จะไปเลือกคนในตำแหน่งอีกที แต่ไม่ว่าอย่างไรทางตรงหรือทางอ้อมก็ต้องย้อนกับมาสู่ประชาชนได้ ส่วนบทเฉพาะกาลที่กำหนดให้คสช.แต่งตั้งส.ว.ทั้งหมดใน 5 ปีแรก ขอยกไว้ก่อน
ฯลฯ
นอกจากนี้ในร่างรัฐธรรมนูญมีชัยยังมีคำประหลาดให้ต้องตีความอีกหลายคำ เช่น “มาตรฐานจริยธรรม” ตอนนี้คนไม่รู้ว่าคืออะไร โดยให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระไปออกแบบมาตรฐานจริยธรรม ถ้านักการเมืองไม่ทำตาม ป.ป.ช.มีอำนาจตรวจสอบ ยื่นเรื่องให้ศาลฎีกาวินิจฉัยให้นักการเมืองนั้นๆ พ้นจากตำแหน่งและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งไม่เกิน 10 ปี และเพิกถอนสิทธิในการสมัครรับเลือกตั้งด้วย โดยไม่กำหนดกรอบเวลา
“เรามีระบบที่จะให้คนลงเลือกตั้งไม่ได้ตลอดชีวิต”
ยิ่งกว่านั้น ยังเพิ่มคุณสมบัติของ รมต. ครม. และนายกฯ ว่าต้อง “มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์” ถ้าไม่มีสิ่งนี้อาจทำให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่ง กลายเป็นว่าศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นผู้ตัดสินทั้งที่เขาผ่านการเลือกตั้งของคนทั้งประเทศแล้ว นี่ยังไม่นับว่า พวกปิดทองหลังพระคนไม่รู้จักทำอย่างไร
“เราไม่มีสิทธิรู้เลยว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะเขี่ยใครออกจากตำแหน่ง”
ฯลฯ
“อยากสรุปว่าเป็นการเขียนคำกว้างๆ ให้องค์กรตุลาการเข้ามาแทรกแซงควบคุมฝ่ายบริหารได้ฝ่ายเดียว โดยไม่มีใครตรวจสอบเขาได้ ทั้งที่เขามีความชอบธรรมทางประชาธิปตไยน้อยมาก”
ฯลฯ
ประเด็นที่สอง มาตรา 5 ในร่างรัฐธรรมนูญ
สร้างสิ่งใหม่ขึ้นมาคือ องค์กรพิเศษที่จะมาวินิจฉัยว่าอะไรคือประเพณีการปกครองประชาธิปไตยแบบมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ซึ่งเรื่องนี้หากไปถามคนร่างก็น่าจะตอบไม่เหมือนกัน แต่ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 5 ซึ่งกำหนดว่าเรื่องใดไม่มีบัญญัติในรัฐธรรมนูญให้ใช้ตามจารีตประเพณีที่ว่า และให้ประธานศาลฎีกาจัดการประชุมร่วมหลายฝ่ายเพื่อวินิจฉัย โดยให้คำวินิจฉัยเป็นที่สุด
ปัญหาของมันคือ การตีความร่างธรรมนูญนั้น จะมีบทบัญญัติเป็นลายลักษณ์และบางเรื่องอาจมีประเพณีมาเสริม แต่ไม่ว่าอย่างไรส่วนเสริมนั้นก็ไม่สามารถขัดกับลายลักษณ์ได้ แต่มาตรา 5 สร้างกลไกใหม่ขึ้นมา และประธานศาลรัฐธรรมนูญเป็นคนกำหนดว่าเรื่องนั้นๆ ไม่มีบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญต้องใช้กลไกแล้ว แม้ว่าคนทั้งประเทศอาจเห็นว่ายังใช้รัฐธรรมนูญต่อไปได้ก็ตาม
“เราจะมีศาลรัฐธรรมนูญพิเศษเพิ่มมาเพื่อวินิจฉัยเรื่องในส่วนที่ไม่มีในรัฐธรรมนูญ และผลก็ผูกพันทุกองค์กร ความชอบธรรมทางประชาธิปไตยมีน้อยมาก ในบริบทในประวัติศาสตร์ไทยมีการอ้างมาตรา 7 หลายครั้งเพื่อขอนายกฯ พระราชทาน เช่นเมื่อปี 2548 ตอนปี 2557 ก็ใช้มาตรา 7 เพื่อให้ ส.ว.เลือกนายกได้ แต่ปัญหาคือไม่มีใครมายืนยันว่าทำได้ คนอยากทำเลยไม่กล้าแต่ถ้ามีมาตรา 5 ตอนนี้ถ้ามีคนอยากให้พระมหากษัตริย์พระราชทานนายกฯ อยากให้ส.ว.เลือกนายกฯ ก็ส่งเข้าที่ประชุมร่วม และถ้าที่ประชุมร่วมบอกทำได้ ก็ทำได้ แม้ว่าจะขัดกับความเห็นคนทั้งประเทศหรือแม้แต่ขัดกับหลักในรัฐธรรมนูญเอง”
“มันอาจเป็นการฉีกรัฐธรรมนูญขณะที่รัฐธรรมนูญยังบังคับใช้อยู่ เราอาจได้เห็น ผบ.ทบ.เป็นนายกฯ ได้โดยไม่ต้องทำรัฐประหาร”
ประเด็นที่สาม การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเป็นไปไม่ได้
กระบวนการแก้กฎหมายสูงสุดนั้นต้องเรียกร้องเสียงในการแก้ให้มากและยากกว่ากฎหมายอื่นนั้นถูกต้อง แต่ไม่ใช่แก้ไม่ได้ เพราะโดยสภาพเราต้องปรับรัฐธรรมนูญให้เข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลง การออกแบบการแก้ไขเพิ่มเติมต้องให้ได้สมดุลระหว่าง “แก้ไขยากกับแก้ไขได้” แต่ร่างรัฐธรรมนูญมีชัยนั้นแก้ไขยากมากๆ
มาตรา 255 บอกว่าไม่ว่าจะยังไงก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงการปกครองหรือรูปของรัฐได้ ซึ่งคนวินิจฉัยคือ ศาลรัฐธรรมนูญ
โดยกระบวนการแก้ไขก็ยากมาก วาระที่หนึ่ง คะแนนเสียงเห็นชอบไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งทั้งสภา (เหมือนเดิม) แต่ส.ว.ต้องเห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ซึ่งส.ว.มาจาก คสช.แต่งตั้งใน 5 ปีแรก หลังจากนั้นมาจากการคัดเลือกกันเอง ถ้าส.ว.ไม่เอา ต่อให้ส.ส.จับมือกันทุกพรรคก็แก้ไม่ได้ วาระที่สอง ให้ใช้เสียงข้างมากเป็นประมาณ วาระที่สาม ต้องเห็นชอบมากกว่ากึ่งหนึ่ง โดยต้องมีส.ส.จากฝ่ายค้านไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 (เพิ่มจากร่างแรกคือร้อยละ 10) ของทุกพรรคด้วย พูดง่ายๆ พรรคเสียงข้างมากต่อให้คุณมีเสียงข้างมาก ร้อยละ 75-80 แต่ถ้าคนในพรรคฝ่ายค้านไม่เอาด้วย ไม่ถึงเกณฑ์ที่รัฐธรรมนูญเขียนก็ไม่มีทางแก้ไขได้ ไม่มีที่ไหนในโลกเขียนแบบนี้ เป็นกลไกเขียนขึ้นมาใหม่
ต่อให้คุณผ่านกระบวนการรัฐสภาไปได้หมด ก็ยังมีด่านต่อไป ถ้าร่างนี้แก้หมวด 1,2,15 หรือหน้าที่ของศาลหรือองค์กรอิสระ รัฐธรรมนูญกำหนดว่าก่อนขึ้นทูลเกล้าฯ ก็ต้องให้ออกเสียงประชามติก่อน
แม้จะผ่านสภาแล้วและผ่านประชามติแล้ว คนก็ยังส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญได้อีก ตามมาตรา 55
“ถ้าไม่เปิดโอกาสให้ผลักดันการเปลี่ยนแปลงตามระบบ มันจะนำไปสู่ความขัดแย้ง บังคับให้คนออกไปสู่การใช้กำลังเข้าสถาปนารัฐธรรมนูญ โดยสภาพอาจนำไปสู่จุดนั้น ที่ผ่านมารัฐธรรมนูญเราแก้ยาก เมื่อแก้ไม่ได้ก็ใช้วัฒนธรรมนแบบไทยคือ ฉีกแล้วร่างใหม่ตลอด แต่คนที่เขาเคารพกติกามาตลอด 30 ปีแล้วยังต้องอยู่ภายในรัฐธรรมนูญนี้เขาอาจทนไม่ไหวต่อไปอีกก็ได้”
อ่านที่แถลงการณ์นิติราษฎร์ฉบับเต็มhttp://prachatai.com/journal/2016/04/65115

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.