โห อ.พรายพลบอกว่ารสนาไปถึงไทยพีบีเอส มีผู้บริหารต้อนรับ และพาเข้าไปกำกับการตัดต่อเทปรายการ
"ผมได้ทราบมาด้วยว่า ในเบื้องแรกวิทยากรหลักท่านนี้ได้ขอให้ไทย PBS บันทึกเทปรายการใหม่ แต่เมื่อทำไม่สำเร็จจึงได้เดินทางไปที่สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทย PBS ในเย็นวันที่ 7 มิถุนายนโดยมีผู้บริหารของสถานีให้การต้อนรับเป็นพิเศษและพาเข้าไปถึงในห้องปฏิบัติงานเพื่อกำกับการตัดต่อเทปรายการ "เถียงให้รู้เรื่อง" ที่กำลังจะออกอากาศในคืนนั้นด้วย ผมไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่า วิทยากรหลักท่านนี้มีอิทธิพลและอำนาจมากล้นจนทำให้สามารถกดดันให้ผู้บริหารไทย PBS ยอมโอนอ่อนผ่อนตาม และถูกแทรกแซงการทำงาน อันเป็นผลทำให้มีการแก้ไขเนื้อหาการออกอากาศตามความต้องการของวิทยากรหลักท่านนี้"

000000

การตัดความเห็นของนักวิชาการออกจากรายการออกอากาศ รวมทั้งการยอมให้อิทธิพลภายนอกเข้าไปครอบงำและแทรกแซงการทำงานอย่างไม่เหมาะสม อันอาจก่อให้เกิดการบิดเบือนในการนำเสนอเนื้อหาสาระของรายการโทรทัศน์ หากเป็นจริง ก็ย่อมเป็นเครื่องชี้ได้ว่า ผู้บริหารไทย PBS ที่รับผิดชอบในเรื่องนี้ได้ปฏิบัติหน้าที่อันขัดต่อข้อบังคับด้านจริยธรรม วิชาชีพอย่างร้ายแรง

วันที่ 9 มิถุนายน 2559 ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์ นักวิชาการด้านพลังงาน ทำจดหมายถึงประธานคณะกรรมการนโยบาย ส.ส.ท. หลังไปบันทึกเทปสำหรับรายการชื่อ "เถียงให้รู้เรื่อง" ในประเด็น :สัมปทานปิโตรเลียมรอบใหม่ ได้คุ้มเสียจริงหรือ? ที่สถานีวิทยุโทรทัศน์ของไทย PBS ถนนวิภาวดีรังสิต เมื่อตอนค่ำของวันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน 2559

ดร.พรายพล ระบุถึงการไปออกรายการ ในฐานะนักวิชาการ เป็น commentator ร่วมกับอาจารย์ฐิติศักดิ์ บุญปราโมทย์  ให้ความเห็นเพิ่มเติมจากการอภิปรายของวิทยากรหลัก 2 ท่านคือ คุณมนูญ ศิริวรรณ และคุณรสนา โตสิตระกูล  มีคุณอภิรักษ์ หาญพิชิตวณิชย์ เป็นพิธีกร และรายการที่บันทึกเทปนี้มีกำหนดออกอากาศผ่านช่องโทรทัศน์ของไทย PBS ในเวลาสี่ทุ่มครึ่งของวันอังคารที่ 7 มิถุนายน 2559นั้น

ต่อมาในเวลาประมาณสองทุ่มครึ่งของวันอังคารที่ 7 มิถุนายน เจ้าหน้าที่ของไทย PBS ซึ่งประสานงานการเชิญผมเข้าร่วมรายการดังกล่าวได้โทรศัพท์มาถึงผมและแจ้งให้ทราบว่าในการออกอากาศรายการ “เถียงให้รู้เรื่อง” ในคืนวันอังคารที่ 7 มิถุนายนนั้น สถานีจำเป็นต้องตัดส่วนที่เป็นความเห็นของนักวิชาการออกไปเพื่อให้เกิดความเป็นกลาง ซึ่งผมก็ตอบไปว่าผมไม่เห็นด้วยกับการกระทำเช่นนั้นและหากดำเนินการจริงก็จะทำเรื่องร้องเรียนผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไปในการออกอากาศรายการในคืนนั้นก็ปรากฏว่าสถานีไทย PBS ได้ตัดส่วนที่เป็นความเห็นของผมและอาจารย์ฐิติศักดิ์ออกไปทั้งหมดจริง

ประเด็นจึงมีอยู่ว่า การตัดความเห็นของนักวิชาการออกจากรายการนั้นก่อให้เกิด”ความเป็นกลาง” หรือไม่อย่างไร ผมได้รับเชิญเข้าร่วมรายการในฐานะที่เป็นนักวิชาการด้านพลังงาน ซึ่งได้ศึกษาและมีประสบการณ์ในการทำงานด้านพลังงานมาเป็นเวลาหลายสิบปี ผมตระหนักดีว่าการให้ความเห็นของผมในฐานะดังกล่าวจะต้องยึดหลักการของการมีเหตุมีผล มีหลักวิชา และมีข้อมูลที่ถูกต้องสนับสนุนอย่างรอบด้าน ไม่จำเป็นต้องเอาใจใครหรือตามใจใครไม่มีอคติเป็นการส่วนตัว และไม่เห็นแก่พวกพ้อง ผมเชื่อมั่นว่าผมได้ให้ความเห็นในรายการนี้โดยยึดหลักการดังกล่าวอย่างดีที่สุดแล้ว ผมเชื่อว่าอาจารย์ฐิติศักดิ์ก็คงยึดหลักการเดียวกัน ผมและอาจารฐิติศักดิ์จึงเปรียบเสมือนเป็น “คนกลาง” ที่ให้ความเห็นจากแง่มุมของวิชาการโดยแท้จริง ดังนั้นผมจึงไม่เข้าใจเลยว่า การตัดความเห็นของนักวิชาการออกจากรายการจะทำให้เกิดความเป็นกลางได้อย่างไร ในทางตรงกันข้ามการตัดความเห็นของ “คนกลาง” ออกไปกลับจะทำให้ความเป็นกลางด้อยน้อยลงไปเสียด้วยซ้ำ

ในกรณีที่ความเห็นของนักวิชาการทั้งสองคนเผอิญไปสนับสนุนความเห็นของวิทยากรหลักท่านใดท่านหนึ่งเป็นส่วนใหญ่ ก็ไม่ได้หมายความว่า รายการจะไม่มีความเป็นกลางและก็ไม่ได้หมายความว่าวิทยากรหลักอีกท่านหนึ่งจะเสียเปรียบหรือ "โดนรุม" เพราะผมเห็นว่าพิธีกรก็เปิดโอกาสให้วิทยากรหลักทั้งสองฝ่ายสามารถชี้แจงตอบโต้นักวิชาการและตอบโต้กันเองได้อย่างเต็มที่อยู่แล้ว 

ผมเห็นว่าไทย PBS ควรออกอากาศเนื้อหาสาระที่วิทยากรหลักและนักวิชาการได้นำเสนอไว้ในการบันทึกเทปอย่างครบถ้วน แล้วเปิดโอกาสให้ผู้ชมรายการสามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเองว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อใครโดยอาศัยเหตุผลและข้อมูลของแต่ละฝ่ายสำหรับผู้ชมรายการที่มีใจเป็นกลางแล้ว ความเห็นที่คน 3 คนเห็นตรงกันแต่ไม่มีเหตุผลเพียงพอย่อมไม่น่าเชื่อถือมากไปกว่าความเห็นของคนคนเดียวที่มีเหตุผลและข้อมูลสนับสนุนอย่างหนักแน่น

ผมได้ทราบมาว่า การที่ไทย PBS ตัดความเห็นของนักวิชาการออกจากรายการที่ได้ออกอากาศในวันนั้น เนื่องมาจากว่ามีวิทยากรหลักท่านหนึ่งไม่พอใจที่นักวิชาการทั้งสองคนมีความเห็นขัดแย้งกับความเห็นของตน และมองไปว่าการอภิปรายโต้เถียงกันมีลักษณะที่ตนถูกรุมโจมตี (ในทำนอง “สามรุมหนึ่ง”) จึงได้ติดต่อไปทางสถานีเพื่อให้แก้ไขตัดต่อเทปสำหรับการออกอากาศซึ่งจะทำให้ข้อเสนอและความเห็นของตนมีน้ำหนักและความน่าเชื่อถือมากขึ้นโดยวิธีการตัดความเห็นของนักวิชาการออกไปในที่สุด

ผมได้ทราบมาด้วยว่า ในเบื้องแรกวิทยากรหลักท่านนี้ได้ขอให้ไทย PBS บันทึกเทปรายการใหม่ แต่เมื่อทำไม่สำเร็จจึงได้เดินทางไปที่สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทย PBS ในเย็นวันที่ 7 มิถุนายนโดยมีผู้บริหารของสถานีให้การต้อนรับเป็นพิเศษและพาเข้าไปถึงในห้องปฏิบัติงานเพื่อกำกับการตัดต่อเทปรายการ "เถียงให้รู้เรื่อง" ที่กำลังจะออกอากาศในคืนนั้นด้วย ผมไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่า วิทยากรหลักท่านนี้มีอิทธิพลและอำนาจมากล้นจนทำให้สามารถกดดันให้ผู้บริหารไทย PBS ยอมโอนอ่อนผ่อนตาม และถูกแทรกแซงการทำงาน อันเป็นผลทำให้มีการแก้ไขเนื้อหาการออกอากาศตามความต้องการของวิทยากรหลักท่านนี้

หากเหตุการณ์นี้เป็นจริง ก็ถือได้ว่าเป็นการใช้อิทธิพลและอำนาจโดยบุคคลที่บ้าอำนาจ เห็นแก่ตัว มีจิตใจคับแคบไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี และสังคมไม่ควรให้การยอมรับนับถือ

การตัดความเห็นของนักวิชาการออกจากรายการออกอากาศ รวมทั้งการยอมให้อิทธิพลภายนอกเข้าไปครอบงำและแทรกแซงการทำงานอย่างไม่เหมาะสม อันอาจก่อให้เกิดการบิดเบือนในการนำเสนอเนื้อหาสาระของรายการโทรทัศน์ หากเป็นจริง ก็ย่อมเป็นเครื่องชี้ได้ว่า ผู้บริหารไทย PBS ที่รับผิดชอบในเรื่องนี้ได้ปฏิบัติหน้าที่อันขัดต่อข้อบังคับด้านจริยธรรมวิชาชีพอย่างร้ายแรง โดยเฉพาะในข้อบังคับที่ให้ความสำคัญกับความเที่ยงตรง ความเป็นธรรมและความเป็นอิสระของวิชาชีพ ไทย PBS ในฐานะองค์กรก็คงไม่สามารถทำหน้าที่เป็นสถาบันสื่อสาธารณะที่สร้างสรรค์สังคม คุณภาพ และคุณธรรมได้อีกต่อไป ความเชื่อมั่นในการเป็นสถาบันสื่อที่มีความเป็นอิสระเพราะได้รับงบประมาณจากรายได้ภาษีสรรพสามิตของรัฐก็จะเสื่อมถอยลงในที่สุด

อนึ่ง การไม่ยอมให้ความเห็นทางวิชาการของผมได้รับการเผยแพร่ น่าจะเข้าข่ายการจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและเสรีภาพทางวิชาการอันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน ซึ่งได้รับการคุ้มครองในรัฐธรรมนูญของไทยเกือบทุกฉบับ

ดังนั้น ผมจึงขอร้องเรียนต่อคณะกรรมการนโยบาย ส.ส.ท. ให้สืบหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์และบุคคลที่ทำ ให้ความเห็นของผมและอาจารย์ฐิติศักดิ์ ถูกตัดออกจากรายการ"เถียงให้รู้เรื่อง" ซึ่งออกอากาศในคืนวันอังคารที่ 8 มิถุนายน 2559 และหากพบว่า มีการปฏิบัติหน้าที่อันขัดต่อข้อบังคับด้านจริยธรรมวิชาชีพ ก็ให้ดำเนินการตามระเบียบวินัยขององค์กรต่อไป พร้อมทั้งหาทางป้องกันไม่ให้เกิดข้อบกพร่องในการทำงานเช่นนี้อีกในอนาคต

ในช่วงเวลาไม่กี่วันที่ผ่านมา ผมทราบว่าในกรณีที่ผมร้องเรียนนี้ ไทย PBS ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในแง่ลบผ่านโซเชียลมีเดียเป็นจำนวนมาก ผมจึงหวังว่าคณะกรรมการฯ จะสามารถพิจารณาข้อร้องเรียนของผมได้อย่างรวดเร็วและเป็นธรรม และชี้แจงผลการพิจารณาให้สาธารณชนได้ทราบ อันจะเป็นการกอบกู้ฟื้นฟูให้ไทย PBS มีภาพลักษณ์ที่ดีขึ้นและสามารถกลับมาทำหน้าที่เป็นสื่อสาธารณะที่สร้างสรรค์สังคมได้อย่างแท้จริง

source :- FB Atukkit Sawangsuk & http://www.isranews.org/isranews-article/item/47577-tpbs_5165.html


แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.