อัยการแถลงยอมรับคำสั่งนายกฯ ย้าย 3 อัยการ ด้วย ม. 44 เร่งดำเนินการสอบภายใน 30 วัน
นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด แถลงกรณีที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ออกคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 33/2559ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญมาตรา 44 ย้ายข้าราชการอัยการ 3 รายเมื่อวันศุกร์ที่ 24 มิ.ย. ระบุเป็นคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาของข้าราชการ ต้องปฏิบัติตาม และสำนักงานอัยการจะเร่งสอบกรณีที่อัยการทั้ง 3 ถูกกล่าวหาว่าทุจริต หรือละเลยการปฏิบัติหน้าที่ภายใน 30 วัน
นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด แถลงกรณีที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ออกคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 33/2559ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญมาตรา 44 ย้ายข้าราชการอัยการ 3 รายเมื่อวันศุกร์ที่ 24 มิ.ย. ระบุเป็นคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาของข้าราชการ ต้องปฏิบัติตาม และสำนักงานอัยการจะเร่งสอบกรณีที่อัยการทั้ง 3 ถูกกล่าวหาว่าทุจริต หรือละเลยการปฏิบัติหน้าที่ภายใน 30 วัน
อัยการที่ถูกสั่งย้ายด้วยม. 44 ได้แก่ นายวาทิต สุวรรณยิ่ง อัยการจังหวัดนาทวี นายมาโนช รัมมะสินธุ์ รองอัยการจังหวัดนาทวี และนายนันทวุธ อุตสาหตัน รองอัยการจังหวัดสมุทรสาคร ไปปฏิบัติราชการ ในสํานักงานอัยการสูงสุด
คำสั่งย้ายดังกล่าวระบุด้วยว่า ให้ศูนย์อํานวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) แจ้งข้อเท็จจริงในการตรวจสอบ การปฏิบัติราชการของผู้นั้นให้หน่วยงานทราบ เพื่อให้ผู้บังคับบัญชาแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยต้องปรากฏผลให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน และหากผลการตรวจสอบพบว่าผู้ถูกตรวจสอบมีความผิด ให้ผู้บังคับบัญชาดําเนินการทางวินัยและกฎหมายต่อไป ในกรณีที่ไม่พบว่ามี การกระทําความผิดหรือไม่ถึงขั้นต้องดําเนินการทางวินัย ให้เยียวยาแก่ผู้ถูกตรวจสอบโดยให้ไปดํารงตําแหน่ง ในระดับเดิมตามความเหมาะสม แต่ให้อยู่นอกพื้นที่เดิมก่อนเข้าสู่กระบวนการแต่งตั้งโยกย้ายในคราวต่อไป
รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดกล่าวว่าขณะนี้ยังไม่ได้รับข้อมูลจาก ศอตช. แต่อย่างใด ซึ่งหากได้รับข้อมูลแล้ว คณะกรรมการอัยการจะดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้แล้วเสร็จภาย 30 วัน โดยถือว่าคำสั่งของหัวหน้า คสช. ในฐานะที่เป็นนายกรัฐมนตรีด้วยนั้นเป็นคำสั่งของผู้บังคับบัญชาของข้าราชการทั้งหมด ต้องปฏิบัติตาม
รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดยังกล่าวปฏิเสธกระแสข่าวก่อนหน้านี้ว่าอัยการสูงสุดพยายามประสานไปยังนายกรัฐมตรีเพื่อชี้แจงให้ทราบข้อเท็จจริงว่าทางสำนักงานอัยการสูงสุดได้ตรวจสอบกรณีการย้ายข้าราชการแล้วพบว่าไม่มีความผิด โดยรองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดยืนยันว่าข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง
คำสั่งหัวหน้าคสช. ที่ 33/2559 เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. สั่งย้ายข้าราชการตำรวจ อัยการ และฝ่ายปกครอง รวม 23 ราย โดยระบุว่าเป็นกรณีที่ข้าราชการซึ่งถูกร้องเรียนหรือกล่าวหาว่าปล่อยปละละเลยให้มีการกระทําความผิดเกิดขึ้นในพื้นที่ของตน หรือมีการทุจริต หรือประพฤติมิชอบ หรือดําเนินการหรือไม่ดําเนินการตามอํานาจหน้าที่ จนเกิดความเสียหายแก่ทางราชการและมีมูลอันสมควรตรวจสอบ โดยให้ระงับการปฏิบัติราชการในพื้นที่เดิมและให้ไปปฏิบัติราชการในหน่วยงานอื่นในสังกัดเดิมเป็นการชั่วคราว
คำสั่งย้ายดังกล่าวระบุด้วยว่า ให้ศูนย์อํานวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) แจ้งข้อเท็จจริงในการตรวจสอบ การปฏิบัติราชการของผู้นั้นให้หน่วยงานทราบ เพื่อให้ผู้บังคับบัญชาแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยต้องปรากฏผลให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน และหากผลการตรวจสอบพบว่าผู้ถูกตรวจสอบมีความผิด ให้ผู้บังคับบัญชาดําเนินการทางวินัยและกฎหมายต่อไป ในกรณีที่ไม่พบว่ามี การกระทําความผิดหรือไม่ถึงขั้นต้องดําเนินการทางวินัย ให้เยียวยาแก่ผู้ถูกตรวจสอบโดยให้ไปดํารงตําแหน่ง ในระดับเดิมตามความเหมาะสม แต่ให้อยู่นอกพื้นที่เดิมก่อนเข้าสู่กระบวนการแต่งตั้งโยกย้ายในคราวต่อไป
รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดกล่าวว่าขณะนี้ยังไม่ได้รับข้อมูลจาก ศอตช. แต่อย่างใด ซึ่งหากได้รับข้อมูลแล้ว คณะกรรมการอัยการจะดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้แล้วเสร็จภาย 30 วัน โดยถือว่าคำสั่งของหัวหน้า คสช. ในฐานะที่เป็นนายกรัฐมนตรีด้วยนั้นเป็นคำสั่งของผู้บังคับบัญชาของข้าราชการทั้งหมด ต้องปฏิบัติตาม
รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดยังกล่าวปฏิเสธกระแสข่าวก่อนหน้านี้ว่าอัยการสูงสุดพยายามประสานไปยังนายกรัฐมตรีเพื่อชี้แจงให้ทราบข้อเท็จจริงว่าทางสำนักงานอัยการสูงสุดได้ตรวจสอบกรณีการย้ายข้าราชการแล้วพบว่าไม่มีความผิด โดยรองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดยืนยันว่าข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง
คำสั่งหัวหน้าคสช. ที่ 33/2559 เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. สั่งย้ายข้าราชการตำรวจ อัยการ และฝ่ายปกครอง รวม 23 ราย โดยระบุว่าเป็นกรณีที่ข้าราชการซึ่งถูกร้องเรียนหรือกล่าวหาว่าปล่อยปละละเลยให้มีการกระทําความผิดเกิดขึ้นในพื้นที่ของตน หรือมีการทุจริต หรือประพฤติมิชอบ หรือดําเนินการหรือไม่ดําเนินการตามอํานาจหน้าที่ จนเกิดความเสียหายแก่ทางราชการและมีมูลอันสมควรตรวจสอบ โดยให้ระงับการปฏิบัติราชการในพื้นที่เดิมและให้ไปปฏิบัติราชการในหน่วยงานอื่นในสังกัดเดิมเป็นการชั่วคราว
แสดงความคิดเห็น