Atukkit Sawangsuk

ถ้าเข้าใจทหารนะครับ ทหารจะมองว่าการที่ "พี่ป้อม" เช่าเหมาลำไปฮาวาย ขุ่นแม่ผ่องพรรณขึ้นซี 130 ไปเปิดฝาย หรือบิ๊กติ๊กเอาลูกเข้ารับราชการ ไม่เห็นจะเป็นไรเลย เรื่องลูกไปประมูลอาจดูไม่ค่อยดี แต่ราคาก็แค่ร้อยกว่าล้านเท่านั้นเอง

เพราะอะไร เพราะทหารเคยชินกับการที่ตัวเองมีอภิสิทธิ์มาตลอด สถาบันกองทัพถืออภิสิทธิ์ เชื่อว่าตัวเองเสียสละรับใช้ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ มีคุณความความดีเหนือใคร เราจึงมีบ้านหลวงรถหลวงน้ำมันหลวงให้ใช้ แถมทหารรับใช้ ผู้กองผู้พันผู้การ ผบ.พล จะเอาทหารไปกางเต็นท์งานแต่งงานศพญาติ เอารถไปบริการรับส่ง ก็ไม่มีใครว่าอะไร แบบเดียวกับผู้ว่าฯ นายอำเภอ แต่ข้าราชการหน่วยอื่นทำได้ยากหน่อย ไม่เหมือนทหารที่มีทัศนคติว่าเราเสี่ยงตายทำงานหนักเพื่อชาติมาเยอะแล้ว ของแค่นี้ เป็นไรไป (ๆๆๆๆๆๆ)

ตั้งแต่อดีต ทหารระดับสูงถือว่าการมี "ค่าหัวคิว" เวลาซื้ออาวุธหรือจัดซื้อจัดจ้าง เป็นเรื่องธรรมดา (ธรรมดาจริงนะครับ เพราะทุกบริษัทจ่ายทั้งนั้น จะหนีไปทางไหนล่ะ ไม่เอาก็โง่สิ) เป็นสิ่งตอบแทนในฐานะที่อุตส่าห์รับใช้ชาติมานานจนจะเกษียณ สมัยก่อนนะ (ต้องอ้างสมัยก่อน 55) แทบจะเป็นประเพณีว่า ผบ.เหล่าทัพจะได้ซื้ออาวุธก่อนเกษียณ ซึ่งก็หยวนๆ กัน ถ้าจะด่ากันก็คือจงใจซื้ออาวุธห่วยแตก ไม่ได้มาตรฐาน เพื่อจะเอา % เยอะๆ

การโกงที่เป็นข้อห้ามสำคัญ "ผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง" ของทหารคืออมเบี้ยเลี้ยงโกงสวัสดิการลูกน้อง เพราะจะทำให้ลูกน้องด่า ไม่นับถือ บังคับบัญชาไม่ได้ (เว้นแต่สมยอมกันเช่นทหารรับใช้ยอมให้รับเงินเดือนเบี้ยเลี้ยงแทนแล้วตัวเองกลับไปอยู่บ้าน อันนั้นถือว่า win-win) ตรงกันข้าม ถ้าได้เงินนอกลู่นอกทางมาแล้วเลี้ยงลูกน้อง ดูแลทุกข์สุข ถือว่าใจใหญ่ เป็นพี่ที่น้องๆ รักตายเลย (ไม่ฆ่าน้องไม่ฟ้องนายไม่ขายเพื่อน)

ภายใต้ทัศนคติแบบนี้ ทหารจึงเห็นว่าถ้าพวกตัวเองสมควรได้อภิสิทธิ์ เพราะอุตส่าห์รับใช้ชาติตลอดมา แต่ถ้าเป็นนักการเมืองจากเลือกตั้งละก็ พวกเมริงเป็นอาเสี่ยอากู๋จากไหนไม่รู้ รับเหมาอยู่ดีๆ เสือกได้เป็นรัฐมนตรี



แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.