พิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการของนายโดนัลด์ ทรัมป์ เวลา 24.00 น. ตามเวลาในประเทศไทย พิธีจะเริ่มโดยผู้พิพากษาศาลสูงสุด จะทำพิธีสาบานตนให้นายไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐฯก่อน และในเวลา 24.00 น. หัวหน้าผู้พิพากษาศาลสูงสุดจะทำพิธีสาบานตนให้นายทรัมป์ และนายทรัมป์จะกล่าวสุนทรพจน์รับตำแหน่ง โดยมีประธานาธิบดีบารัค โอบามาเข้าร่วมด้วย ถือเป็นการส่งมอบอำนาจไปสู่ประธานาธิบดีใหม่ จากนั้นจะมีขบวนพาเหรดไปตามถนนเพนซิลเวเนีย ปิดท้ายด้วยงานเลี้ยงเฉลิมฉลองพิธีรับตำแหน่ง ซึ่งจัดขึ้นในหลายสถานที่คาดว่าจะมีชาวอเมริกันมาร่วมชมพิธีราว 900,000 คน

ก่อนเริ่มพิธีการสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ นาย ทรัมป์ ส่งข้อความผ่านทวีตเตอร์ว่า ทุกอย่างเริ่มต้นในวันนี้ พบกันในเวลา 11.00 น. ในพิธีสาบานตน เดินหน้าต่อไป-การทำงานเริ่มต้นแล้ว มีประชาชนกว่า 800,000 คน มาชุมนุมกันที่หน้าเนชั่นแนล มอลล์ ศูนย์กลางของกรุงวอชิงตัน ดีซี เพื่อร่วมเฉลิมฉลองการรับตำแหน่ง พิธีการเริ่มต้นด้วยการเข้าโบสถ์เซนต์ จอห์น ที่ตั้งอยู่ใกล้กับทำเนียบขาว เพื่อผ่านพิธีการทางศาสนาโดยมีสาธุคุณโรเบิร์ต เจฟเฟรส เป็นเจ้าพิธี นายทรัมป์ พร้อมกับนางเมลาเนีย ภริยา และลูกๆของนายทรัมป์เดินเข้าโบสถ์เมื่อเวลาประมาณ 09.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นในกรุงวอชิงตัน และ จะใช้เวลาในโบสถ์ราว 1 ชั่วโมง ก่อนที่นายทรัมป์ และ ครอบครัวจะนั่งรถยนต์ไปตามถนนเพนซิลเวเนียเป็นระยะทาง 4 กิโลเมตรเพื่อทำพิธีสาบานตนที่เวทีที่จัดขึ้นบนขั้นบันไดของอาคารแคปิตอล ฮิลล์

ก่อนหน้านี้นายโอบามา และ และนางมิเชล โอบามา ได้ทักทายและแสดงความยินดีกับนายทรัมป์และภริยา พร้อมทั้งได้เผยแพร่ภาพสุดท้ายที่ทำเนียบขาวก่อนอำลาตำแหน่ง ขณะที่มิเชล ยังได้โพสต์ข้อความทาง IG อำลา บอกรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของสหรัฐฯ และขอขอบคุณอย่างสุดหัวใจ

นายฌอน สไปเซอร์ ว่าที่โฆษกทำเนียบขาว กล่าวว่านายทรัมป์ เตรียมใช้อำนาจสูงสุดหรืออำนาจพิเศษในฐานะผู้นำสหรัฐ ตั้งแต่วันแรกที่ปฏิบัติหน้าที่ โดยทีมงานด้านการเปลี่ยนผ่านอำนาจและคณะที่ปรึกษาของนายทรัมป์ เตรียมแนวทางการใช้คำสั่งมากกว่า 200 รายการ ให้ว่าที่ประธานาธิบดี ศึกษาอย่างละเอียดและเตรียมพร้อมใช้อำนาจ เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลง นายสไปเซอร์ ปฏิเสธที่จะลงลึกในรายละเอียดว่าอำนาจพิเศษที่นายทรัมป์จะเลือกใช้เป็นลำดับต้นมีอะไรบ้าง แต่กล่าวในภาพกว้างว่าครอบคลุมกฎหมายประกันสุขภาพ ข้อตกลงการค้า นโยบายด้านสิ่งแวดล้อมและพลังงาน และนโยบายคนเข้าเมือง ตลอดจนนโยบายด้านการบริหารภายในทำเนียบขาว ซึ่งมีการคาดการณ์กันมาระยะหนึ่งแล้วว่า หากนายทรัมป์ใช้อำนาจดังกล่าวจริง น่าจะรวมถึงการแก้ไขกฎหมายประกันสุขภาพ โอบามาแคร์ การห้ามเจ้าหน้าที่รัฐทำงานให้กับล็อบบี้ยิสต์ทั้งในและต่างประเทศ ภายในระยะเวลา 5 ปีนับจากวันที่พ้นตำแหน่ง การถอนตัวออกจากความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาตร์เศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก ( ทีพีพี ) และการเจรจาแก้ไขความตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ ( นาฟต้า ) กับแคนาดาและเม็กซิโก นอกจากนี้ การใช้อำนาจพิเศษของนายทรัมป์ ยังอาจรวมถึงการยกเลิกงบประมาณสนับสนุนโครงการด้านสิ่งแวดล้อมของสหประชาชาติ ( ยูเอ็น ) และนำเงินส่วนนั้นกลับมาพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำและสิ่งแวดล้อมในสหรัฐฯแทน และการระงับความสนับสนุนด้านงบประมาณให้แก่เมืองใดก็ตาม ที่เจ้าหน้าที่ปล่อยปละละเลยให้มีผู้อพยพผิดกฎหมายอาศัยอยู่ อย่างไรก็ตาม กระบวนการทำงานของคณะรัฐบาลนายทรัมป์ ยังไม่เข้าที่เข้าทาง เนื่องจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแทบทุกคนยังไม่ได้รับการอนุมัติจากวุฒิสภา และตำแหน่งระดับรองลงมาอีกจำนวนมากที่ยังไม่ได้รับการแต่งตั้ง ซึ่งนายทรัมป์ ขอให้เจ้าหน้าที่ในสมัยของนายโอบามา มากกว่า 50 คน ช่วยปฏิบัติงานต่อไปก่อนระยะหนึ่ง.

คณะรัฐบาลของนายทรัมป์ ยังไม่ชัดเจนในหลายตำแหน่ง โดยเฉพาะในกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงกลาโหม ทั้งนี้ บุคคลที่จะอยู่ในตำแหน่งต่อไปก่อน รวมถึงนายโรเบิร์ต เวิร์ค รมช.กระทรวงกลาโหม นางเคเธอรีน โนเวลลี รมช.กระทรวงการต่างประเทศ นางวิคตอเรีย นูแลนด์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศด้านกิจการยุโรป และนางสเตฟานี โอซัลลิแวน รองผู้อำนวยการสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ ( ดีเอ็นไอ ) ขณะที่แหล่งข่าวในกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เปิดเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์ ว่ากระบวนการถ่ายโอนอำนาจในกระทรวงการต่างประเทศเป็นไปอย่างยุ่งเหยิง และทีมงานของนายทรัมป์ แทบไม่เคยติดต่อประสานงานมายังเจ้าหน้าที่ระดับสูงซึ่งเป็นข้าราชการประจำของกระทรวง นอกจากนี้ การถ่ายโอนอำนาจและภาระงานจากนายจอห์น แคร์รี สู่นายเร็กซ์ ทิลเลอร์สัน รมว.กระทรวงการต่างประเทศคนใหม่ ยังแทบไม่ชัดเจน และคณะกรรมาธิการด้านวิเทศสัมพันธ์ของวุฒิสภายังไม่มีกำหนดการที่แน่นอนในการลงมติรับรองหรือปฏิเสธนายทิลเลอร์สัน แต่หลายฝ่ายเชื่อว่าการหยั่งเสียงน่าจะเกิดขึ้นภายในต้นสัปดาห์หน้า


CR:CNN,AP,The SUN

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.