Posted: 13 Dec 2017 12:31 PM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)

นัดสืบพยานโจทก์ คดีฟ้องเรียกค่าเสียหาย ตร.ซ้อม 'อนัน' เสียชีวิต 12 ก.พ.ปีหน้า ขณะที่คดี 'แม่สิบโทกิตติกร' ฟ้องแพ่งต่อ กองทัพบก เรียกค่าเสียหายลูกตายระหว่างถูกคุมในเรือนจำค่ายทหาร สืบพยานเสร็จแล้ว นัดอ่านคำพิพากษา ก.พ.ปีหน้า

13 ธ.ค. 2560 มูลนิธิผสานวัฒนธรรม รายงานว่า เมื่อวันที่ 12 ธ.ค.ที่ผ่านมา ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ได้นัดพร้อมเพื่อฟังผลการชำระค่าขึ้นศาลของโจทก์และกำหนดวันนัดพิจารณาคดีหมายเลขดำที่ พ.2307/2559 กรณีมารดาและบิดา ของ อนัน เกิดแก้ว ฟ้องเรียกค่าเสียหายกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จากกรณี อนัน หรือบุตรชาย เสียชีวิตในระหว่างถูกควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กระทำละเมิดต่อร่างกายและชีวิต อนัน ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่โดยทำร้ายร่างกาย อนัน เพื่อบังคับให้รับสารภาพหรือซ้อมทรมาน จนได้รับบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตในเวลาต่อมา

มูลนิธิผสานวัฒนธรรม รายงานด้วยว่า คดีนี้ได้มีการดำเนินการในเรื่องการขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล และศาลได้มีคำสั่งยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลให้แก่โจทก์ทั้งสองบางส่วน และศาลได้นัดพร้อมในวันที่ 12 ธ.ค. 2560 โจทก์แถลงไม่ติดใจในส่วนที่ศาลไม่ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลให้ ศาลจึงมีคำสั่งรับฟ้องในส่วนของคำฟ้องที่ได้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลให้แก่โจทก์ทั้งสอง ซึ่งเป็นส่วนค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องกว่าสี่ล้านบาท โดยศาลแพ่งกรุงเทพใต้ได้กำหนดวันนัดชี้สองสถาน(กำหนดประเด็นในคดี)หรือสืบพยานโจทก์ ในวันที่ 12 ก.พ. 2561 เวลา 09.00 น.
สืบพยานคดีสิบโทกิตติกร เสร็จ นัดอ่านคำพิพากษา ก.พ.ปีหน้า

นอกจากนี้ มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ยังรายงานด้วยว่า เมื่อวันที่ 6 - 8 ธ.ค.ที่ผ่านมา ศาลแพ่งนัดสืบพยานโจทก์และจำเลย คดีคดีหมายเลขดำที่ พ.1131/2560 ซึ่ง บุญเรือง สุธีรพันธุ์ มารดาสิบโทกิตติกร สุธีรพันธ์ ฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่งต่อกองทัพบกให้รับผิดกรณีละเมิดเป็นเหตุให้ สิบโทกิตติกร จนเสียชีวิต จากเหตุการณ์สิบเวรหรือผู้คุมเรือนจำมณฑลทหารบกที่ 25 (มทบ. 25 ) กับพวกร่วมกันทำร้ายร่างกายสิบโทกิตติกรเสียชีวิตในเรือนจำทหาร จ.สุรินทร์ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 20 ก.พ. 2559

โดยในวันที่ 6 และ 7 ธ.ค. 2560 ฝ่ายโจทก์นำพยานมาสืบต่อศาลรวม 4 ปาก ได้แก่ 1. รายงานและภาพถ่ายการชันสูตรพลิกศพในที่เกิดเหตุและขณะผ่าศพที่โรงพยาบาลสุรินทร์ พร้อมคำเบิกความในคดีไต่สวนการตาย ของแพทย์ผู้ทำการชันสูตรพลิกศพ 2.นายทหารซึ่งเป็นกรรมการสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเสียชีวิตของสิบโทกิตติกร 3.เจ้าหน้าที่จากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เขตพื้นที่ 3 และ 4. ตัวโจทก์ คือ บุญเรือง มารดาผู้ตาย โดยได้ความว่า ในวันเกิดเหตุผู้ตายถูกคุมพิเศษขณะปฏิบัติหน้าที่สิบเวรดูแลผู้ต้องขังในเรือนจำ มทบ.25 กับพวก ร่วมกันทำร้ายร่างกายสิบโทกิตติกร โดยอ้างว่าเป็นการฟื้นฟูวินัย จนเป็นเหตุให้สิบโทกิตติกรถึงแก่ความตาย ซึ่งเป็นกรณีเจ้าหน้าที่ทหารในสังกัดมลฑลทหารบกที่ 25 หน่วยงานภายใต้บังคับบัญชาของกองทัพบกจำเลยในคดีนี้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลย ตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 กรณีการทำร้ายร่างกายผู้ตายจนถึงแก่ความตายนั้น ทาง มทบ.25 ได้ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง และสอบวินัย ตลอดจนมีการลงโทษทางวินัยกับผู้บังคับเรือนจำ และผู้คุมที่กระทำความผิด อีกทั้งได้ส่งเรื่องให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีอาญาผู้คุมกับพวกที่ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้ตาย จนกระทั่งพนักงานสอบสวนได้ส่งเรื่องไปยัง ป.ป.ท. แล้ว และเจ้าหน้าที่ ป.ป.ท. เขต 3 ได้เบิกความต่อศาลว่าปัจจุบัน ป.ป.ท. อยู่ระหว่างไต่สวนข้อเท็จจริง และได้นำหลักฐานทั้งหมดที่ได้มาจากพนักงานสอบสวน สภ.เมืองสุรินทร์เสนอต่อศาล

ส่วน บุญเรือง มารดาผู้ตาย ขึ้นเบิกความต่อศาลได้ความว่า ก่อนผู้ตายเสียชีวิต ผู้ตายซึ่งเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวได้ส่งเสียเลี้ยงดูเป็นอย่างดี ผู้ตายเป็นคนขยัน นอกจากรายได้จากราชการทหารแล้ว ยังใช้เวลาว่างจากงานราชการมาประกอบกิจการเปิดร้านค้าขายเสื้อผ้า และทำขนมขายส่ง ทั้งยังมีโครงการเตรียมจะปลูกข่าขายส่งอีกด้วย ภายหลังผู้ตายได้เสียชีวิตทำให้ตนได้รับความลำบาก และกิจการที่ผู้ตายได้ดำเนินการไว้ก่อนเสียชีวิตก็ต้องปิดตัวลงเนื่องด้วยนางบุญเรืองฯมีอายุมากขึ้นไม่สามารถดูแลกิจการที่ผู้ตายได้ทำไว้เพียงลำพัง ประกอบกับภายหลังเกิดเหตุมีผู้หวังดีคอยเตือนให้ระมัดระวังตัวเพราะอาจมีบุคคลมาทำร้าย ด้วยความกลัวทำให้นางบุญเรืองฯไม่ได้ออกไปค้าขายอย่างที่เคยทำ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้นางบุญเรืองฯได้รับความลำบากและขายรายได้ มีความเป็นอยู่ยากลำบาก

ต่อมาวันที่ 8 ธ.ค. 2560 ฝ่ายจำเลยได้นำเจ้าหน้าที่ทหารซึ่งเป็นอัยการผู้ช่วย มทบ.25 ผู้รับมอบอำนาจจากกองทัพบกขึ้นเบิกความต่อศาล ได้ความว่า ตนได้รับมอบหมายให้มาดำเนินคดีแทนกองทัพบก จำเลย เรื่องการเสียชีวิตของสิบโทกิตติกรมาภายหลังจากมีการสอบสวนข้อเท็จจริงและดำเนินการทางวินัยต่อผู้ที่เกี่ยวข้องแล้ว และตามรายงานที่ตนได้รับมา เห็นว่าการเสียชีวิตของสิบโทกิตติกรแม้จะถูกทำให้เสียชีวิตโดยเจ้าหน้าที่ทหารซึ่งเป็นบุคลากรในสังกัดของกองทัพบก แต่เจ้าหน้าที่ดังกล่าวได้กระทำให้สิบโทกิตติกรเสียชีวิตด้วยเหตุส่วนตัว ประกอบกับไม่มีกฎหมายหรือพระราชบัญญัติใดให้อำนาจเจ้าหน้าที่กระทำการอันเป็นการละเมิดสิทธิ เสรีภาพในชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่น

มูลนิธิผสานวัฒนธรรม รายงานด้วยว่า ในคดีนี้ได้มีการไต่สวนการตายเป็นคดีหมายเลขดำที่ ช.1/2559โดยศาลได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 26 ก.ค.2559 ว่า “ผู้ตายคือ สิบโทกิตติกร สุธีรพันธุ์ ตายที่เรือนจำมณฑลทหารบกที่ 25 เมื่อวันที่ 21 ก.พ. 2559 เหตุและพฤติการณ์ที่ตายคือ มีอาการบาดเจ็บที่ศีรษะอย่างรุนแรงร่วมกับกระเพาะอาหารแตก เนื่องจากถูกทำร้ายร่างกายโดยพลอาสาสมัครสี่นาย (ปกปิดชื่อ) ร่วมกันทำร้ายจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย” อีกทั้งปรากฎในรายงานการผ่าศพของแพทย์พบว่าภายในศีรษะมีเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมอง สมองบวม บริเวณทรวงอกภายในมีกระดูกซี่โครงหัก 2ซี่ บริเวณปอดมีรอยฟกช้ำที่กลีบปอดซ้าย บริเวณท้องมีของเหลวสีน้ำตาลอยู่ภายในช่องท้องประมาณ 200มิลลิลิตร กระเพาะอาหารแตก และมีรอยฟกช้ำเล็กน้อยที่บริเวณกลีบซ้ายของตับ โดยรายงานการชันสูตรพลิกศพสรุปว่าสาเหตุการตายเกิดจาก มีการบาดเจ็บที่ศีรษะอย่างรุนแรง ร่วมกับกระเพาะอาหารแตก เนื่องจากถูกทำร้ายร่างกาย โดยพลอาสาสมัครทั้งสี่นายได้การกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเป็นเหตุให้สิบโทกิตติกรถึงแก่ความตาย อีกทั้งมีพลอาสาสมัครผู้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้คุมเรือนจำมีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องรักษาความสงบเรียบร้อยภายในบริเวณเรือนจำที่ตนเป็นสิบเวรประจำวัน มีหน้าที่รักษาความปลอดภัยต่อหน่วยงานและบุคคลผู้ต้องขัง แต่ได้จงใจสั่งการและร่วมกันกับพลทหารผู้ช่วย ทำร้ายสิบโทกิตติกรฯ โดยทรมานและทารุณโหดร้าย และจงใจไม่แจ้งให้แพทย์ทราบถึงอาการบาดเจ็บของสิบโทกิตติกรฯ และไม่ได้แจ้งให้ผู้บังคับบัญชาทราบ มีพฤติการณ์ข่มขู่ไม่ให้ผู้ต้องขังที่อยู่ภายในห้องขังเดียวกันช่วยเหลือสิบโทกิตติกรฯ และได้สั่งผู้ต้องขังในห้องขังทำร้ายร่างกายสิบโทกิตติกรฯ ที่นอนไม่ได้สติอยู่ที่พื้นห้องหลายครั้งจนกระทั่งสิบโทกิตติกรถึงแก่ความตาย

ภายหลังคู่ความสืบพยานจนแล้วเสร็จทั้งสองฝ่าย ศาลจึงได้นัดหมายเพื่ออ่านและฟังคำพิพากษา ในวั ที่ 22 ก.พ. 2561 เวลา 09.00 น. ณ ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก
[right-side]

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.