ปลายปี 2015 ผมค้นคว้าเกี่ยวกับวัฒนธรรมของอะไรก็ตามที่เรียกว่าเด็ก เยาวชน คนรุ่นใหม่ กับโลกออนไลน์เอาไว้ชิ้นหนึ่ง และมีส่วนหนึ่งที่ผมเห็นว่าสมควรจะคัดออกมาเผยแพร่ในเวลาที่ไม่ใช่แค่รัฐบาลนี้กำลังถูกมองอย่างย่ำแย่ในสายตาคนรุ่นใหม่ แต่ลามไปถึงความเป็นผู้ใหญ่ในตัวเองที่กำลังถูกมองย่ำแย่ลงเรื่อยๆ โดยธรรมชาติ
โดยรวบรัด ผมเห็นว่าต่อให้ผู้ใหญ่ไม่พยายามเข้ามาควบคุมโลกที่ตัวเองไม่เข้าใจของคนรุ่นใหม่ ผู้ใหญ่รุ่นที่เป็นผู้ใหญ่อยู่ในปัจจุบันนี้ก็กำลังจะถูกผู้น้อยหรือเด็กและเยาวชน และคนรุ่นใหม่ อะไรก็ตามเหล่านี้ มองด้วยสายตาที่ไม่ดีนักอยู่แล้ว
ตามรอยผู้ใหญ่ หลง
“มนุษย์ป้า/มนุษย์ลุง” เกิดขึ้นบนโซเชียลเน็ตเวิร์กของชาวไทยในปี 2014 เพื่ออธิบายการกระทำของผู้สูงวัยที่ไม่สนใจกฏกติกามารยาทสังคมจนเป็นปกติ ต่างจาก “แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน” ที่มองว่าผู้สูงวัยจะต้องมีความรู้ความสามารถเป็นปกติจนการแก่โดยไม่มีคุณสมบัติอะไรนอกจากอยู่มานานกลายเป็นความผิด (วริศ ลิขิตอนุสรณ์, 2015) ดังนี้การเกิดขึ้นของคำว่ามนุษย์ป้า/มนุษย์ลุงจึงแสดงถึงความเคลื่อนไหวที่กำลังรบกวนความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างเยาวชนกับผู้ใหญ่ไทย โดยโซเชียลเน็ตเวิร์กเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทั้งแสดงหลักฐานและส่งผลสำคัญ
คนแก่จะต้องแก่ไม่กะโหลกกะลา ไม่แก่เพียงเพราะกินข้าวแล้วอยู่ได้นาน แต่ต้องแก่อย่างมีความสามารถ การเดินตามผู้ใหญ่จะทำให้หมาไม่กัด เจริญรอยตามผู้มีประสบการณ์จะทำให้พ้นภัยได้ ทั้งหมดนี้เป็นความเชื่อปกติวิสัยในสังคมไทย แสดงให้
เห็นว่าความเท่าทัน (literacy) และบทบาทผู้เป็นที่พึ่ง มีผลต่อภาวะผู้นำ ผู้ตาม และที่สุดคือความสัมพันธ์เชิงอำนาจ
งานวิจัยของ ณัฐนันท์ ศิริเจริญ, กมลรัฐ อินทรทัศน์, และปิยฉัตร ล้อมชวการ (2558: 46-57) ชื่อ รูปแบบการสื่อสารเพื่อการรู้เท่าทันสื่อและสารสนเทศจากสื่ออินเทอร์เน็ตของเยาวชนไทย เสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงสถิติไว้ว่าเยาวชนไทยกลุ่มที่ผู้วิจัยได้สำรวจ คือนักศึกษาชั้นปีที่หนึ่งที่ลงเรียนตามรายวิชาที่เกี่ยวข้องกับความรู้เท่าทันสื่อจากมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ มีความรู้และทักษะต่อการรู้เท่าทันข้อมูลข่าวสารจากสื่ออินเทอร์เน็ตปานกลางเป็นส่วนใหญ่ ไม่เพียงพอต่อสถานการณ์ปัจจุบัน มีความละเลยต่อการหลงเชื่อโฆษณาชวนเชื่อ หากมาตามทางนี้จะยังเห็นว่าเด็กก็ยังเป็นเด็กอยู่วันยันค่ำ ผู้วิจัยต่างหากที่ดูจะรู้ว่าความเท่าทันคืออะไร
ในอีกด้านหนึ่ง ผลการวิจัยในวิทยานิพนธ์ ค่านิยมกับพฤติกรรมด้านการสื่อสารออนไลน์ของเด็ก และเยาวชนไทย ของ ฑิตยา ปิยภัณฑ์ (2556) มีข้อเสนอในการวิจัยที่ระบุว่าเด็กและเยาวชนไทยจะสามารถแสดงตัวตนได้เต็มที่ในการสื่อสารออนไลน์ มีค่านิยมด้านเสรีภาพ ความซื่อสัตย์โปร่งใส การประสานความร่วมมือ ความบันเทิงและนวัตกรรมในระดับมากทุกค่านิยม สอดคล้องไปในทางเดียวกันกับค่านิยมของเยาวชนยุคดิจิทัลในระดับสากล ในขณะเดียวกัน ผลของการวิจัยส่วนที่ระบุว่าเยาวชนไทยมีระดับการใช้สื่อออนไลน์ที่สูงมากก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลช่วงต้นของโซเชียลเน็ตเวิร์กในปี 2013
นอกจากนี้แล้วยังมี ศศิธร ยุวโกศล และดวงกมล ชาติประเสริฐ (2553) เสนอผลการวิจัย การสร้างและรักษาความสัมพันธ์ในโลกออนไลน์ : โอกาสหรืออุปสรรค ว่าผู้ใช้ที่มีอายุน้อยประเมินว่าตนสามารถถ่ายทอดความเป็นตัวตนผ่านการใช้โปรแกรมสื่อสารต่าง ๆ บนอินเทอร์เน็ตได้มากกว่ากลุ่มผู้ใช้ที่มีอายุมาก ทำให้เห็นว่าเยาวชนกับโลกไซเบอร์เชื่อมถึงกันกว่าผู้ใหญ่
ผลวิจัยจากทั้งสามนำมาสู่ข้อสงสัยที่ว่า หากเยาวชนไทยยังคงไม่เท่าทัน (illiterate) แม้กระทั่งในปี 2015 ตามแบบณัฐนันท์แล้ว ทำไมพวกเขาถึงสามารถแสดงค่านิยมส่วนมากเป็นสากลตามแบบฑิตยามาตั้งแต่ปี 2013 และถ่ายทอดตัวตนของตนได้มากกว่าผู้ใหญ่ตั้งแต่ปี 2010 ตามแบบศศิธร?
ในขณะเดียวกัน ผลการวิจัยจากนานาชาติที่เสนอโดย โธมัส กวาดามูซ (2015) จากเวทีเสวนา Cybersex: เมื่อเรื่องเพศก้าวข้ามพรหมแดน กลับเสนอในภาพที่กว้างกว่าถึงรูปแบบในผลวิจัยทั่วโลกว่า ยิ่งเยาวชนใช้อินเทอร์เน็ตมาก และมีการเปิดกว้างทางเพศมาก ก็ยิ่งมีความเท่าทันในเรื่องเพศมากขึ้น
หากมองจากทุกมุมของผลวิจัยทั้งหมดแล้วจะพบว่าความไม่เท่าทันในความหมายของณัฐนันท์คือความไม่เท่าทันในการประเมินความเสี่ยง ความสามารถในการแสดงตัวตนที่สูงในผลวิจัยของฑิตยาและศศิธร หมายถึงความเท่าทันในการใช้งาน ส่วนมุมของโธมัสเสนอว่าความความเท่าทันในการใช้งานนั่นแหละที่จะเป็นปัจจัยนำไปสู่ความเท่าทันในการประเมินความเสี่ยง
ความไม่สอดคล้องบางประการที่พบในผลวิจัยเหล่านี้ทำให้ผมต้องหันกลับไปสู่การค้นคว้าเชิงทฤษฎี หากตั้งต้นใหม่ที่คำอธิบายของ Marc Prensky (2001) ที่เรียกเยาวชนในรุ่นปัจจุบันว่าเป็น Digital Native คือชนพื้นเมืองผู้เกิดมากับโลกดิจิทัล และเรียกผู้ใหญ่ว่า Digital Immigrant หรือผู้อพยพเข้ามาบนพื้นที่ดิจิทัล รวมคำอธิบายของ White and Le Cornu (2011) ที่เปลี่ยนการเปรียบเทียบนั้นเป็น Visitor and Resident (ผู้เยี่ยมเยียน และเจ้าบ้าน) แล้วเห็นตรงกันว่าหากจะเทียบว่าใครเท่าทันมากกว่า ก็คงเป็นเยาวชน ไม่ใช่ผู้ใหญ่ เป็นหลานที่จะสอนคุณยายแชร์ภาพพระลงเฟซบุ๊ก พวกเขาจะมีความสามารถในการแก้ไขปัญหาทางเทคนิคพื้นฐานของโปรแกรมและฮาร์ดแวร์ การศึกษาตั้งแต่ระดับประถมถึงมัธยมจะทำให้พวกเขาปรับตัวเข้าหาพื้นที่ไซเบอร์ได้มากกว่าผู้ใหญ่ เหมือนว่ามีร่างกายที่แข็งแรงกว่าเมื่ออยู่บนโลกไซเบอร์ เหตุนี้จึงทำให้เกิดความเท่าทันต่อความเสี่ยงในบางมุมไปโดยปริยาย เช่นการแยกแยะระหว่างลิงก์ไวรัส กับลิงก์ทั่วไป ที่เกิดขึ้นได้จากประสบการณ์และความเคยชินต่อพื้นที่ ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองเรื่องเพศและเยาวชนบนโลกไซเบอร์ของโธมัส
ไม่มีปุ่มสั่ง ไม่มีปุ่มกราบนอกจากความเท่าทันแล้ว Richard H. R. Harper (2010) นักวิจัยระบบสังคมดิจิทัล (Socio-Digital Systems) จาก Microsoft Research ยังให้ความเห็นเรื่องการเปลี่
ยนแปลงของความสัมพันธ์ระหว่างบุ
คคลบนโซเชียลเน็ตเวิร์กไว้ในหนั
งสือชื่อ Texture: Human Expression in the Age of Communication Overload ว่าบริการโซเชียลเน็ตเวิร์กอย่
าง facebook ให้อำนาจกับลูกหลานในเครือญาติ
ที่ไม่อยากจะให้พ่อแม่และญาติ
ของตัวเองเข้ามาวุ่นวายกับพื้
นที่ส่วนบุคคลของพวกเขา โดยให้พวกเขาสามารถจะไม่รั
บคำขอเข้าถึง (friend request) ของคนเหล่านั้นได้ โซเชียลเน็ตเวิร์กจึงไม่ได้เพี
ยงมีไว้สำหรับติดต่อคนที่อยากติ
ดต่อ แต่ยังมีไว้สำหรับปฏิเสธคนที่
ไม่อยากติดต่ออีกด้วย เป็นอำนาจใหม่ของเยาวชนที่แม้
จะอยู่ในบ้านในฐานะลูก แต่ก็อยู่บนโซเชียลเน็ตเวิร์
กในฐานะผู้ใช้คนหนึ่งเท่า ๆ กับพ่อแม่
อนึ่ง โซเชียลเน็ตเวิร์กเป็นพื้นที่ที่
เชื่อมโยงและคู่ขนานกับสั
งคมกายภาพ เป็นไปได้ว่าสองโลกจะไม่บรรจบกั
นในบางกรณี นายทหารชั้นผู้ใหญ่เมื่ออยู่
บนเฟซบุ๊กก็ไม่มีอำนาจในเชิ
งนโยบายมากไปกว่าพลเรือน นอกเสียจากจะตามหาระบุตั
วตนพลเรือนผู้นั้นให้ได้ก่อน ซึ่งกระบวนการสืบหาตัวตนก็ไม่
สามารถทำได้มากกว่าผู้ใช้คนอื่น ๆ หากผู้ใช้ไม่มีทุนเหนือมนุษย์
จำนวนมหาศาลร่วมผลประโยชน์กับผู้
ให้บริการ ผู้ใช้ก็จะมีสถาะพื้นฐานที่เท่
าเทียมกันโดยหลักการบนโซเชี
ยลเน็ตเวิร์ก โซเชียลเน็ตเวิร์กที่เป็นที่นิ
ยมโดยทั่วไปมีหลักการเช่นนั้น
1 หรือจงใจแสดงให้เห็นว่าเป็นเช่
นนั้น ซึ่งส่งผลต่อนโยบายและความรู้สึ
กของผู้ใช้
อวัจนภาษามีผลอย่างสำคัญกั
บความสัมพันธ์เชิงอำนาจ คนไทยยอมรับลำดับข่มทางวัยวุฒิ (age hierarchy) ผ่านภาพลักษณ์ของอวัจนภาษา การทักทายและภาษากายแบบไทยมีข้
อกำหนดเรื่องชนชั้นและความสูงต่ำ
ไว้ชัดเจน เช่นการโค้ง การไหว้ การโน้มตัวระหว่างเดินผ่าน ล้วนคอยบ่งบอกว่าใครเป็นเด็
กใครเป็นผู้ใหญ่ อะไรควรอะไรไม่ควร ระยะห่าง (proximity) ระดับความสูงต่ำ (level) และการจับต้อง (touch) ล้วนบ่งบอกชัดเจนถึงแนวดิ่
งของอำนาจ แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปบนโซเชี
ยลเน็ตเวิร์กคือ แม้จะมีการติดต่อสื่อสารที่ทั
นท่วงทีและต่อเนื่อง (realtime) แต่ภาษากายเหล่านั้นนำเข้าไปไม่
ได้ ไม่สามารถเกิดสัมผัส หรือให้ความรู้สึกแห่งการอยู่ด้
วยกัน (togetherness) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการสั
งเกตเพื่อการประมวลการรับส่
งสารของมนุษย์
2 นี่จึงเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่
ทำให้ความสัมพันธ์เชิงอำนาจเปลี่
ยน
ด้วยลักษณะของโซเชียลเน็ตเวิร์ก เยาวชนในฐานะผู้ใช้หนึ่งคนเท่า ๆ กับผู้ใหญ่ ไม่ต้องกดไหว้หรือขออนุญาตก่
อนแสดงความคิดเห็น แต่ใช้พื้นที่สื่อโดยไม่ต้
องรอให้ผู้ใหญ่หยิบยื่นให้ และจึงไม่ได้มีบทบาทเป็นเพียงผู้
สืบทอดวัฒนธรรมเพียงอย่างเดี
ยวอีกต่อไป ความเท่าทันสื่อที่มากกว่า และการเปลี่ยนแปลงของความสัมพั
นธ์เชิงอำนาจดังกล่าวทำให้วั
ฒนธรรมเยาวชนมีพื้นที่เป็
นของตนเองได้มากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะเดียวกันก็ลดความจำเป็
นในการต้องแสดงความเคารพ ที่ผูกอยู่กับความเป็นผู้กุ
มความรู้และทรัพยากรมากขึ้นเรื่
อย ๆ
เด็กมันเห็นหมดแล้ว
ก่อนอินเทอร์เน็ตและโซเชียลเน็ตเวิร์ก การเห็นญาติผู้ใหญ่เกี้ยวพาราสีหรือเห็นครูบาอาจารย์ทะเลาะกันเองแทบจะเป็นไปไม่ได้ แต่บนโซเชียลเน็ตเวิร์กมันกลับถูกเห็นได้เป็นเรื่องปกติ เยาวชนสามารถเห็นมุมอื่น ๆ ที่เป็นมนุษย์ของผู้ใหญ่และคล้ายกับตนมากขึ้น จึงลดความกลัวและระยะห่างเชิงอำนาจลง
การมีโอกาสเห็นเรื่องน่าอายและความผิดพลาดที่มักจะเกิดขึ้นมากในกลุ่ม Digital Immigrants อาจลดบทบาทผู้เป็นที่พึ่งของผู้ใหญ่ลงจนสลับบทบาทให้ Digital Natives ขึ้นมาเป็นที่พึ่งหรือผู้ขบขันอยู่เหนือกว่าแทน การขอความช่วยเหลือเกี่ยวกับเฟซบุ๊กของครูประจำชั้น การเห็นผู้อำนวยการโรงเรียนกดไลค์การ์ตูนโป๊โดยไม่ตั้งใจ หรือการได้เห็นลุงง้อป้าบนหน้าไทม์ไลน์โดยไม่รู้ว่าคนอื่นก็มองเห็นอยู่ด้วย การกระทำต่าง ๆ ที่เดิมทีถูกสงวนไว้ในพื้นที่ของผู้ใหญ่ด้วยกันเท่านั้น ได้ถูกมองและเลื่อนผ่านหน้าข่าวของเยาวชนไปหมดแล้ว เส้นกั้นเขตแดนระหว่างเยาวชนกับผู้ใหญ่จึงพร่ามัว มีความเป็นไปได้ที่ผู้ใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กจะเข้าใจว่าตนมีความสัมพันธ์กับผู้ใช้อื่น ๆ ในระดับที่ลึกขึ้นในมุมของข้อมูลส่วนบุคคล ความรู้ความเข้าใจเช่นนี้จะทำให้ความสัมพันธ์เปลี่ยน (ศศิธร ยุวโกศล และดวงกมล ชาติประเสริฐ, 2553) เพราะโซเชียลเน็ตเวิร์กแสดงข้อมูลส่วนบุคคลและการแสดงความคิดเห็นผ่านโพสต์ให้ผู้ใช้ทุกคนเห็นกันและกัน ระยะห่างระหว่างเยาวชนและผู้ใหญ่จึงอาจลดลงไปด้วยและเป็นระนาบกว่าเดิม
ผมไม่อยากจะเสนอว่าโซเชียลเน็ตเวิร์กหรืออะไรทำนองนี้ที่หนุนด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่กับเสรีนิยมใหม่ เป็นพระเอกนางเอกที่เราควรปกป้อง หรือว่ามันกำลังปกป้องเราเลย ในขณะเดียวกัน ผมก็ไม่ได้อยากจะทำให้ผู้ใหญ่ คนแก่ หรือคนที่ไม่เท่าทันโลก กลายเป็นตัวร้ายที่ต้องกำจัด เพราะภายในเวลาไม่นานอันไม่นานจริงๆ นี้ เราทุกคนก็กำลังจะตกรุ่น หรือได้ตกรุ่นไปแล้ว การคิดถึงสวัสดิภาพของคนตกรุ่นในยุคที่เทคโนโลยีโตอย่างรวดเร็วเช่นนี้เป็นสิ่งสำคัญมาก
แต่ในช่วงเวลาแบบนี้ ก็ได้แต่พูดกันเท่านี้ไปก่อน และหวังลมๆ แล้งๆ ว่าจะได้พูดถึงอะไรที่มีมิติกว่านี้ ในเร็วๆ นี้
อ้างอิงHarper, R. (2010). Texture: human expression in the age of communications overload. Cambridge, Mass.: MIT Press.
Prensky, M. (2001). Digital Natives, Digital Immigrants Part 1. On the Horizon, 1-6.
White, D., & Le Cornu, A. (2011). Visitors and Residents: A new typology for online engagement.
Retrieved 2015, from
http://firstmonday.org/article/view/3171/3049ฑิตยา ปิยภัณฑ์. (2556). ค่านิยมกับพฤติกรรมด้านการสื่
อสารออนไลน์ของเด็ก และเยาวชนไทย.
วิทยานิพนธ์นิเทศศาสตร์มหาบัณฑิ
ต กลุ่มวิชาวารสารและสารสนเทศ คณะนิเทศศาสตร์. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, กรุงเทพฯ.
ณัฐนันท์ ศิริเจริญ, กมลรัฐ อินทรทัศน์, และปิยฉัตร ล้อมชวการ (2558). รูปแบบการ สื่อสารเพื่อการรู้เท่า
ทันสื่อและสารสนเทศจากสื่ออิ
นเทอร์เน็ตของเยาวชนไทย. วารสารศรีปทุมปริทัศน์, 15(1), 46-57.
โธมัส กวาดามูซ. (2015). Cybersex: เมื่อเรื่องเพศก้าวข้ามพรหมแดน, 42.29-56.33 [บรรยาย].
สืบค้นเมื่อ 2015, จาก
https://www.youtube.com/watch?v=YMev1jhHIwgวริศ ลิขิตอนุสรณ์. (2015). คุณค่าอาวุโสในสำนวน (สุ)ภาษิต คำพังเพยไทย. AC ECHO, 7, 39-46.
ศศิธร ยุวโกศล และดวงกมล ชาติประเสริฐ. (2553). การสร้างและรักษาความสัมพันธ์
ระหว่างบุคคลใน
โลกออนไลน์: โอกาสหรืออุปสรรค. วารสารนิเทศศาสตร์, 28(4), 47-75.
หมายเหตุ: คัดจากส่วนหนึ่งของของบทความ “ในกลิ่นน้ำนม: วัฒนธรรมเยาวชนไทยบนสื่อและเครื
อข่ายสังคม ปี 2013-2015” เมื่อปลายปี 2015 เข้าถึงได้ที่
academia.edu
แสดงความคิดเห็น