ศาลยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งถอนประกัน “ไผ่ จตุภัทร์” ชี้คำพิจารณาศาลขอนแก่นพิจารณาโดยชอบแล้ว
Posted: 27 Dec 2016 02:59 AM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เวบไซท์ประชาไท)
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 มีคำสั่งพิจารณาคำร้องอุทธรณ์กรณีศาลขอนแก่นสั่งเพิกถอนประกัน ไผ่ ดาวดิน ชี้ศาลขอนแก่นพิจารณาโดยชอบแล้ว ด้านนักวิชาการเข้าเยี่ยม แสดงความนับถือ เพจ NDM โพสต์บทความ เพื่อนเรายังยิ้มอยู่
27 ธ.ค. 2559 เวลา 11.55 น. ศาลอุทธรณ์ภาค 4 จังหวัดขอนแก่น ได้มีคำสั่งผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ มายังจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดิน ว่าผู้ต้องหามีพฤติกรรมไม่เกรงกลัวต่ออำนาจรัฐและกฎหมาย ประกอบกับหากให้มีการปล่อยตัว ผู้ต้องหาอาจไปทำให้พยานหลักฐานยุ่งเหยิงจึงพิจารณาว่าการออกคำสั่งถอนประกันโดยศาลจังหวัดขอนแก่นนั้นเป็นคำตัดสินโดยชอบแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ไผ่ ดาวดิน ถูกจับกุมตัวเมื่อวันที่ 3 ธ.ค. 2559 ตามความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จากการแชร์บทความพระราชประวัติรัชกาลที่ 10 จากเว็บไซต์ BBC Thai จากการเข้าแจ้งความโดย พันโทพิทักษ์พล ชูศรี รักษาการหัวหน้ากองกิจการพลเรือนมณฑลทหารบกที่ 23 นายทหารซึ่งได้ติดตามการทำกิจกรรม และการเคลื่อนไหวนักกิจกรรมและ ภาคประชาชนในพื้นที่จังหวัดขอนแก่นมาตั้งแต่หลังรัฐประหารปี 2557 โดยศาลจังหวัดได้ออกหมายจับลงวันที่ 2 ธ.ค. 2559 และเขาถูกควบคุมตัวในขณะกำลังร่วมขบวนเดินธรรมยาตรากับพระไพศาล วิสาโล ที่จังหวัดชัยภูมิ
ต่อมา ไผ่ ดาวดิน ได้รับการประกันตัวเมื่อวันที่ 4 ธ.ค. 2559 โดยศาลพิจารณาให้ปล่อยตัวชั่วคราว หลังจากทนายความได้ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว โดยให้เหตุผลว่า เนื่องจากผู้ต้องหามีคดีการเมืองอยู่ 4 คดี แต่ที่ผ่านมาไม่เคยมีพฤติกรรมหลบหนี อีกทั้งในวันที่ 8 ธ.ค. ผู้ต้องหามีสอบเป็นวิชาสุดท้าย หากไม่ได้เข้าสอบวิชาดังกล่าวจะส่งผลให้เขาเรียนไม่จบตามหลักสูตร พร้อมยื่นหลักทรัพย์เงินสดจำนวน 4 แสนบาทเป็นหลักประกัน ศาลจึงพิจารณาให้ปล่อยตัวชั่วคราว โดยมีเงื่อนไขว่า ให้นายประกัน ผู้ต้องหาให้มาศาลตามนัด ห้ามเกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษ และพยานหลักฐานในคดี หรือก่อความเสียหายใดๆ (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)
ต่อมาวันที่ 19 ธ.ค. 2559 ไผ่ ดาวดินได้เปิดเผยว่า ได้รับหมายศาลอีกครั้ง เนื่องจากพนักงานสอบสวนได้ยื่นใบคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนสัญญาปล่อยตัวชั่วคราว โดยในคำร้องได้ระบุว่าพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองขอนแก่นเป็นผู้ร้องขอให้ถอนประกัน โดยให้เหตุผลว่า หลังจากที่ผู้ต้องหาได้รับอนุญาตให้ประกันตัวที่ศาลจังหวัดขอนแก่นเมื่อวันที่ 4 ธ.ค.59 แล้ว ผู้ต้องหายังมีการแสดงความคิดเห็นในสื่อสังคมออนไลน์ เยาะเย้ยเจ้าพนักงาน กรณีที่ตนได้รับประกันตัวเป็นจำนวน 400,000 บาท ว่า “เศรษฐกิจมันแย่แม่งเอาแต่เงินประกัน”
เหตุผลนอกจากข้างต้นแล้วก็ยังมีเนื่องจากผู้ต้องหาเคยมีประวัติการกระทำความผิดเกี่ยวกับคดีความมั่นคงมาหลายคดี และคดีนี้เป็นคดีร้ายแรงตามประมวลกฎหมายอาญา ม.112 พร้อมยังได้อ้างเหตุฉุกเฉินจำเป็นเร่งด่วนว่า ผู้ต้องหายังมีการแสดงความคิดเห็นในสื่อสังคมออนไลน์เรื่อยมา และอาจจะเป็นการยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน หากรอถึงวันที่ 23 ม.ค.60 อาจก่อให้เกิดความเสียหายเพิ่มขึ้น
ในเอกสารคำร้องขอให้ศาลถอนประกันของพนักงานสอบสวน ไม่ได้พิมพ์ชื่อผู้ร้องไว้ มีเพียงแต่ลายเซ็น โดยระบุว่ามียศเป็นร้อยตำรวจโทหญิง แต่มีชื่อของ พ.ต.ท.จิรัฐเกียรติ์ ศรวิเศษ สารวัตรสอบสวนเป็นผู้เรียง/พิมพ์ ซึ่งจตุภัทร์ตั้งข้อสังเกตว่าไม่เคยมีเจ้าหน้าที่ผู้หญิงในชุดเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำการสอบสวนตนในคดีนี้ (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)
ต่อมาวันที่ 22 ธ.ค. 2559 ศาลจังหวัดขอนแก่น ได้นัดพิจารณาคำร้องของพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรเมืองขอนแก่น ที่ขอให้ศาลเพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราว จตุภัทร์ ในคดีแชร์บทความพระราชประวัติรัชกาลที่ 10 จากเว็บไซต์ BBC thai โดยศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า จตุภัทร์ ได้ทำผิดเงื่อนไขการประกันตัว จึงสั่งให้เพิกถอนการปล่อยชั่วคราว ทั้งยังเห็นว่านายประกัน ซึ่งเป็นบิดา ไม่ได้ทำการห้ามปราบการกระทำดังกล่าวแต่อย่างใด
โดยศาล พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว ศาลได้มีคำสั่งกำชับให้นายประกัน, ผู้ต้องหาให้มาศาลตามนัด ห้ามเกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษ พยานหลักฐานในคดี หรือก่อความเสียหายใดๆ หลังปล่อยตัวชั่วคราว หากผิดนัด ผิดเงื่อนไข ศาลอาจถอนประกันและอาจไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวอีก และภายหลังปล่อยตัวชั่วคราว ได้ความจากทางไต่สวนว่า ผู้ต้องหาไม่ได้ลบข้อความที่ถูกกล่าวหาเป็นคดีนี้ในสื่อสังคมออนไลน์บนเฟซบุ๊กของผู้ต้องหา กับทั้งผู้ต้องหาได้แสดงออกถึงพฤติกรรมในสื่อสังคมออนไลน์ในเชิงสัญลักษณ์เย้ยหยันอำนาจรัฐ โดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง ก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติ ทั้งผู้ต้องหายังมีแนวโน้มจะกระทำการในลักษณะเช่นนี้ต่อไปอีก ผู้ต้องหาเป็นนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มีอายุ 25 ปี ย่อมรู้ดีว่า การกระทำของผู้ต้องหาดังกล่าวข้างต้นเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งศาล จึงฟังได้ความตามคำร้องว่า ผู้ต้องหาได้กระทำการอันก่อให้เกิดความเสียหายภายหลังการปล่อยตัวชั่วคราว ประกอบกับนายประกันผู้ต้องหาไม่ได้กำชับหรือดูแลให้ผู้ต้องหาปฏิบัติตามเงื่อนไขศาลที่มีคำสั่ง จนก่อให้เกิดความเสียหายดังกล่าว จึงให้เพิกถอนสัญญาประกันตัวผู้ต้องหา หมายขังผู้ต้องหา ตรวจคืนหลักประกันให้นายประกัน (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)
ต่อมาวันที่ 23 ธ.ค. 2559 ที่ศาลจังหวัดขอนแก่น ทนายความเครือข่ายของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนเข้ายื่นคำร้องอุทธรณ์ถึงศาลอุทธรณ์ภาค 4 กรณีที่ศาลจังหวัดขอนแก่นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 22 ธ.ค. ที่ผ่านมา ถอนประกัน นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา ผู้ต้องหาในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ กรณีแชร์ข่าวพระราชประวัติรัชกาลที่ 10 จากเว็บไซต์ข่าว BBC ไทย (ดู คำร้องขอถอนประกัน และคำสั่งถอนประกัน)
คำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลจังหวัดขอนแก่นดังกล่าว ขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิจารณาและมีคำสั่งกลับคำสั่งของศาลจังหวัดขอนแก่น โดยให้ยกเลิกคำสั่งถอนประกันฉบับลงวันที่ 22 ธ.ค. 59, ยกเลิกหมายขังผู้ต้องหา และมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหาไปในระหว่างพิจารณาคดีตามคำสั่งและสัญญาประกันตัวผู้ต้องหาในวันที่ 4 ธ.ค. 59 ทั้งนี้ คำร้องอุทธรณ์ระบุเหตุผลในข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง สรุปความได้ดังนี้
1.จากเงื่อนไขในการอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราวจตุภัทร์ เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.59 ที่กำหนดให้นายประกันและผู้ต้องหามาศาลตามนัด ห้ามเกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษ พยานหลักฐานในคดี หรือก่อความเสียหายใด ๆ นั้น ผู้ต้องหาไม่ได้กระทำการใด ๆ ผิดไปจากเงื่อนไขที่ศาลจังหวัดขอนแก่นกำหนดเลยทั้งสิ้น ซึ่งข้อเท็จจริงนี้ในชั้นไต่สวน พนักงานสอบสวน พยานผู้ร้องก็มิได้เบิกความใดๆ ต่อศาลเพื่อให้เห็นว่า ผู้ต้องหากระทำผิดเงื่อนไขดังกล่าวอย่างไร
2.กรณีที่ศาลจังหวัดขอนแก่นมีคำวินิจฉัยว่า ผู้ต้องหาไม่ได้ลบข้อความที่ถูกกล่าวหาเป็นคดีนี้บนเฟสบุ๊คของผู้ต้องหานั้น เป็นการยกเหตุนอกไปจากคำร้องขอถอนประกัน และกรณีที่ศาลจังหวัดขอนแก่นวินิจฉัยว่าการกระทำของผู้ต้องหาดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งศาลและไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขของศาลนั้น ศาลไม่เคยกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ต้องหาลบข้อความที่ถูกกล่าวหาเป็นคดีนี้แต่อย่างใด อีกทั้ง ในชั้นไต่สวน ผู้ต้องหาก็ได้ชี้แจงต่อศาลชัดเจนแล้วว่า เหตุที่ไม่ได้ลบข้อความดังกล่าว เนื่องจากมีความประสงค์ที่จะเก็บไว้เป็นพยานหลักฐานพิสูจน์ความบริสุทธิ์ว่า ผู้ต้องหาไม่ได้กระทำความผิด ซึ่งผู้ร้องก็มิได้คัดค้านแต่อย่างใด นอกจากนี้ กรณีที่ผู้ร้องอ้างว่า คดีนี้เป็นคดีร้ายแรง และผู้ต้องหามีประวัติการกระทำความผิดเกี่ยวกับคดีความมั่นคงหลายคดีนั้น เป็นข้ออ้างที่ไม่อาจนำมาเป็นเหตุที่ขอให้ศาลถอนประกันผู้ต้องหาได้ เนื่องจากศาลจังหวัดขอนแก่นก็ได้พิจารณาแล้วและอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหาไปแล้ว อีกทั้งข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นก่อนคดีนี้ และเป็นข้อหาที่ผู้ต้องหาเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อช่วยเหลือประชาชนและต่อต้านคณะรัฐประหาร ซึ่งทุกคดียังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด รวมทั้งศาลก็ได้ให้ปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหาแล้วในทุกคดี
3.ข้อวินิจฉัยของศาลจังหวัดขอนแก่นว่า ผู้ต้องหาได้แสดงออกถึงพฤติกรรรมในเชิงสัญลักษณ์เย้ยหยันอำนาจรัฐโดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง เป็นข้อวินิจฉัยที่คลาดเคลื่อน เพราะตามคำร้องขอถอนประกัน ผู้ร้องระบุว่าข้อความที่ผู้ต้องหาพิมพ์ในสื่อสังคมออนไลน์นั้นเป็นข้อความในเชิงเยาะเย้ยเจ้าพนักงาน เป็นคนละเรื่องกับการวินิจฉัยว่า ผู้ต้องหามีพฤติการณ์เย้ยหยันอำนาจรัฐโดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย อีกทั้ง พยานหลักฐานในชั้นไต่สวน ไม่มีประเด็นใดที่จะวินิจฉัยไปในทางนั้นได้เลย
4.นับแต่ที่ผู้ต้องหาได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวไปตั้งแต่วันที่ 4 ธ.ค. 59 นั้น ผู้ต้องหามิได้กระทำการใด ๆ ผิดจากข้อกำหนดและเงื่อนไขของศาลแต่อย่างใด ข้ออ้างของผู้ร้องขอถอนประกันนั้นเลื่อนลอยไม่มีเหตุไม่มีผลและไม่น่าเชื่อถือแต่อย่างใดทั้งสิ้น พยานหลักฐานที่ยื่นต่อศาลก็เป็นเพียงเป็นการแสดงออกของวัยรุ่นในชีวิตประจำวัน ทั้งการแสดงความยินดีและเห็นอกเห็นใจเพื่อนฝูง และการสนุกสนานกันในหมู่เด็กมหาวิทยาลัย ซึ่งทั้งหมดนี้พยานของผู้ร้องเองก็เบิกความชัดเจนว่า ไม่มีข้อความหรือลักษณะใด ๆ ที่เป็นการเยาะเย้ยถากถางเจ้าหน้าที่หรือเย้ยหยันอำนาจรัฐแต่อย่างใด อีกทั้งคดีนี้ยังไม่มีข้อบ่งชี้ว่าผู้ต้องหากระทำการอันเป็นความผิดจริงหรือไม่ มีเพียงคำกล่าวโทษของเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารซึ่งมีความขัดแย้งกับผู้ต้องหาอยู่ตลอดมา
5.การที่ศาลจังหวัดขอนแก่นวินิจฉัยว่า ผู้ต้องหาได้กระทำการอันก่อให้เกิดความเสียหายภายหลังจากการปล่อยตัวชั่วคราว เป็นการวินิจฉัยที่คลาดเคลื่อน เนื่องจากการปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหาในคดีนี้ที่ผ่านมาไม่เคยก่อให้เกิดความเสียหายแต่อย่างใด และไม่มีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดความเสียหายเลย เห็นได้จากในชั้นไต่สวน พยานผู้ร้องไม่ได้เบิกความและยืนยันให้ศาลเห็นว่ามีความเสียหายใด ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างที่ผู้ต้องหาได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวไป และมีแนวโน้มจะเกิดความเสียหายใด ๆ
ล่าสุดแล้ววันนี้ (27 ธ.ค. 2559) ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิจารณาว่าการออกคำสั่งถอนประกั นโดยศาลจังหวัดขอนแก่นนั้นเป็ นคำตัดสินโดยชอบแล้ว
00000
นักวิชาการเข้าเยี่ยม ยันไม่ได้มาให้กำลังเพราะ ไผ่ เข้มแข็งอยู่แล้ว แต่มาเพื่อแสดงความนับถือ
ขณะที่วานนี้ (26 ธ.ค. 2559) เวลา 11.00 น. ที่ทัณฑสถานบำบัด จังหวัดขอนแก่น กลุ่มนักวิชาการ ประกอบด้วย สุรพศ ทวีศักดิ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ผศ.ดร.คำแหง วิสุทธางกูร ทหาวิทยาลัยขอนแก่น ผศ.ปัญญาเสนาเวียง และ ผศ.ดร.สิบปีย์ ชยานุศาสนีย์ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม ได้เดินทางเข้าเยี่ยม จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ ไผ่ ดาวดิน หลังถูกเพิกถอนการประกันตั วในคดีแชร์บทความพระราชประวัติ รัชกาลที่ 10 จากเว็บไซต์ BBC Thai
สุรพศ ระบุหลังจากเข้าเยี่ยมว่า วันนี้ไม่ได้มาให้กำลังใจ เพราะเชื่อว่าไผ่ ดาวดิน มีกำลังใจและเข้มแข็งอยู่แล้ว แต่มาเพื่อแสดงความนับถื อในความกล้าหาญ และความยึดมั่นในการต่อสู้เพื่ อเสรีภาพและประชาธิปไตย และมาเพื่อขอบคุณที่สู้เพื่อทุ กคน
สุรพศ กล่าวด้วยว่า ทั้งตัวเองและกลุ่มนักวิชาการที่ มาในวันนี้เห็นว่าไผ่ควรได้รั บสิทธิประกันตัว เพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่ผู้มี อำนาจรัฐจะคุมขังเด็กหนุ่มคนหนึ่ งที่ยึดมั่นในอุดมการณ์ ในขณะรัฐยืนยันกับประชาชนว่ ากำลังเปลี่ยนผ่านประเทศสู่ ระบอบประชาธิปไตย
"ในความเห็นส่วนตัวผมและเพื่ อนอาจารย์ทุกคนเห็นว่า ไผ่ควรได้รับสิทธิประกันตัว สังคมเราปฏิเสธประชาธิปไตยไม่ ได้ เมื่อผู้มีอำนาจรัฐยืนยันว่ าจะเปลี่ยนผ่านประเทศสู่ประชาธิ ปไตย จึงไม่มีเหตุผลที่จะขังคุกเด็ กหนุ่มคนหนึ่งที่ยึดมั่นในอุ ดมการณ์ประชาธิปไตยและไม่ เคยแสดงออกทางการเมืองหรือเคลื่ อนไหวใดๆที่ขัดหลักเสรี ภาพและหลักสันติวิธี ถ้ามองจากเป้าหมายว่าสังคมเราต้ องเป็นประชาธิปไตยในอนาคตเราทุ กฝ่ายควรภูมิใจที่มีเยาวชนที่สู้ เพื่อประชาธิปไตยอย่างสันติ แบบไผ่ ดาวดิน" สุรพศ กล่าว
ทั้งนี้ไผ่ยังได้ฝากข้ อความออกมาเพื่อสื่อสารกับคนข้ างนอกด้วยว่า ถ้าสังคมเราปล่อยให้คนมี อำนาจใช้อำนาจ ทำอะไรเพื่อให้ถูกใจตัวเอง ความถูกต้องก็จะหายไปเรื่อยๆ
ประชาธิปไตยใหม่เขียนถึงไผ่ ระบุไม่ขอความเมตตาจากรัฐ แค่ขอให้ทำตามหลักการประชาธิ ปไตย
ขณะเดียวกันเฟซบุ๊กแฟนเพจ ขบวนการประชาธิปไตยใหม่ ได้เผยแพร่บทความขนาดสั้น เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. โดยระบุว่า
“เพื่อนเรายังยิ้มอยู่ ยิ้มเหมือนในรูปที่เราเห็นกั นอยู่ด้านล่างนี่แหละ แม้รูปจะหล่อกว่าตัวจริงไปนิด แต่รอยยิ้มแบบนี้แหละ ที่เราเห็นเขาล่าสุด ผ่านกระจกกั้นในห้องเยี่ยมญาติ
เข้าสู่วันที่ 5 หลังจากเขาถูกศาลสั่งเพิกถอนสั ญญาปล่อยตัวชั่วคราว ด้วยเหตุผลที่ว่า ไผ่ โพสต์เฟซบุ๊กเยาะเย้ย หรือเย้ยหยั่นอำนาจรัฐ และไม่ยอมลบโพสต์สเตตัสในเฟซบุ๊ กที่แชร์บทความพระราชประวัติรั ชกาลที่ 10 จากเว็บไซต์ BBC Thai ออกจากเฟซบุ๊ก
ไม่แน่ใจนักว่า โพสต์ เฟซบุ๊ก หลังจากที่เขาได้รับการประกันตั วทั้งหมดที่กลายเป็นประเด็นจะสั่ นคลอนความมั่นคงของรัฐเผด็ จการได้อย่างไร หรือเป็นการแสดงความคิดเห็นที่ ผิดกฎหมายข้อไหน หรือเป็นได้หรือไม่ว่า โพสต์เหล่านั้นมันกวนใจผู้มี อำนาจมากเกินไป
พวกเขาคงอยากเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ งที่ยึดมั่นในการต่อสู้เพื่ อประชาธิปไตย และสิทธิเสรีภาพคนหนึ่งสยบยอม และหยุดพูดในที่สุด นั้นอาจจะเป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่ ที่ครองอำนาจต้องการเห็น แต่เปล่าเลย อะไรที่เขาเชื่อว่ามันไม่ผิด เขาก็พร้อมยืนยันว่าสิ่งเหล่านั้ นยังทำได้
ลึกๆ แล้วเชื่อว่าในใจคนอีกหลายคนก็ มองเห็นว่าสิ่งที่เขาทำไม่เป็ นการกระทำอะไรที่รุ นแรงอะไรขนาดนั้น ไผ่ก็แค่พูดสิ่งเหล่านั้ นแทนพวกเรา เท่านั้นเอง
เขาถามเราหลายเรื่อง หนึ่งในนั้นคือคำถามที่ว่าคือ ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง เราพูดกับเขาตามตรงว่า ค่อนข้างเงียบ แต่ล่าสุดเมื่อวันเสาร์มีคนนั ดแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ว่ายังยื นเคียงข้างเขา โดยการไปยืนกินข้าวหลามที่หน้ าหอศิลป์ เขายิ้ม และหัวเราะออกมาเบาๆ เพราะข้าวหลามมันอยู่ ในกระบอกไม้ไผ่
ส่วนเรื่องข้างในเป็นอย่างไรบ้ าง เขาบอกว่าปรับตัวได้ ก็คงจะจริงอย่างที่พูด เขาเป็นคนกินง่าย นอนง่าย เข้ากับคนง่าย คุยกับคนเก่ง ไม่แปลกหรอกหากจะมีเพื่อนผู้ต้ องขังรักในความเป็นเพื่อนของเขา เหมือนกันกับที่พวกเราหลายคนรู้ สึก
แม้การอยู่ข้างในจะไม่ใช่เรื่ องยากสำหรับเขา แต่คำถามคือนั่นใช่ที่ที่คนหนุ่ มอย่างเขาควรอยู่อย่างนั้นหรือ
เราไม่ได้เรียกร้ องขอความเมตตาจากผู้มีอำนาจ หากจะมีการให้ประกันตัวเขาอี กครั้ง นั่นยอมเกิดจากการทำตามความถู กต้อง ผู้ต้องหาที่คดียังไม่มีสิ้นสุด เรายังถือว่าเขาคือผู้บริสุทธิ์ สิทธิในการประตัวเป็นเรื่ องของความถูกต้องตามหลั กการประชาธิปไตย ไม่ใช่ความเมตตาจากผู้ ครองอำนาจแต่อย่างใด
ขณะที่รัฐประกาศทุกเมื่อเชื่อวั นว่ากำลังเปลี่ยนผ่านประเทศสู่ การปกครองในระบอบประชาธิปไตย การคุมขังคนและเพิกถอนการประกั นตัว ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปในทิ ศทางเดียวกับการชวนเชื่อ
ไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่เขาคุ มขังเพื่อนเราไว้ข้างใน นอกเหนือไปจาก ความซะใจ
เพื่อนเอ้ย... ข้างในข้างนอกเจ็บปวดไม่ต่างกัน
ปณิธาน เมฆาวงษ์
26 ธ.ค. 2559
26 ธ.ค. 2559
เรือนจำพิเศษประเทศไทย”
แสดงความคิดเห็น